วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รวยแล้วไม่โกง เมื่อ 13 พ.ย.56

 เรียน คุณอัตถ์ฯ ที่นับถือ
    ขอแสดงความคิดเห็นสั้นๆ เกี่ยวกับคำพูดของท่านผู้แทนราษฎรและผู้บริหารที่ "ทรงเกียรติ" ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ชอบพูดว่าตนเป็นตัวแทนของประชาชน  ย่อมทำอะไรตามที่ตนเห็นควรได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น เข้าทำนองพวกมากลากไป ผมขอเล่าเรื่องที่คนพูดอ้างอิงถึงบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องตัวแทนของปวงชนกับกฎหมายว่าจะเอาอะไรเป็นตัวยึด เรื่องมีอยู่ว่าประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน ของประเทศสหรัฐเคยมีปัญหากับประธานศาลสูงสุด ซึ่งผู้แต่งตั้งก็คือตัวประธานาธิบดีนั่นเอง 
    ท่านประธานาธิบดีชอบพูดอยู่ตลอดเวลาว่าท่านได้รับเลือกตั้งจากประชาชน เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีความเห็นอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น แต่ตัวท่านประธานศาลตอบกลับไปว่า  ประชาชนทุกคนรวมทั้งตัวท่านประธานาธิบดีเองต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นหลักยึดให้ทุกคน ในที่สุดตัวประธานาธิบดีเองต้องยอมถอย เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบ จึงขอยกเรื่องที่ใกล้มาหน่อยอีกสักเรื่อง เราคงจำได้ถึงคดีวอเตอร์เกต ที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ต้องหลุดจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งถือว่ามีอำนาจสูงสุดในโลกในขณะนั้น ด้วยข้อหาว่าเป็นผู้บงการให้มีการจารกรรมข้อมูลการหาเสียงเลือกตั้งของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งประเทศเราคงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ ไม่กระทบกับปากท้องประชาชน แต่ประเทศเขากลับเห็นว่าสำคัญมาก ไม่สามารถปล่อยให้ผ่านไปได้อย่างเด็ดขาดเพราะผิดกฎหมาย
    เมื่อมาดูการพิจารณา (ซึ่งคงอนุมัติในที่สุด) พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของประเทศไทย คงกล่าวได้ว่าสิ่งดังกล่าวคงมีได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เพราะความผิดดังกล่าวศาลได้ตัดสินไปแล้ว โดยจำเลยมีสิทธิ์โต้แย้งทุกอย่างแต่สู้ไม่ได้  ถ้าเกิดขึ้นในประเทศเรา ซึ่งไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นประเทศล้าหลัง ไร้กฎระเบียบ ประเทศเราคงต้องถูกจัดใหม่ให้เป็นประเทศที่ทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ท่านมีเงิน ซึ่งจะได้มาอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะซื้อได้ทุกอย่างนอกจากความตาย
    ผมยังไม่เคยเห็นประเทศเราเสื่อมและถอยหลังในเรื่องศีลธรรมได้รวดเร็วขนาดนี้ โดยเริ่มตั้งแต่อัศวินควายดำได้อำนาจในประเทศของเรา โดยใช้คำโฆษณาตัวเอง (slogan)  ว่า "รวยแล้วไม่โกง" ผมคงไม่ต้องมาทบทวนประวัติของอัศวินควายดำท่านนี้ว่าเป็นอย่างไรตั้งแต่เด็ก เพราะครูเขาเคยบอกว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ แม้กระทั่งเปลี่ยนกฎใหม่ เพราะคติพจน์ของเขาคือ "ผู้ชนะเท่านั้นคือผู้เขียนกฎ" ซึ่งเราก็เห็นอยู่แล้วว่ากำลังเป็นเช่นนั้นอยู่ หรือเราทุกคนจะยอมรับสภาพนี้ต่อไปโดยดุษณีภาพ "ตราบใดที่ยังไม่กระทบถึงเราโดยตรง" ทั้งที่ทุกคนต้องจ่ายเงินที่หลวงได้ยึดมาแล้ว พร้อมกับดอกเบี้ยคืนให้แก่เขาทั้งที่เป็นเงินของเราทุกคน ไม่ต่างจากปล้นกลางแดดจากประชาชนทุกคน ไม่เว้นเด็ก คนชรา และคนเสื้อแดง
    มีทหารชายผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชาวอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งมาอยู่บริเวณเอเชียอาคเนย์ตั้งแต่ครั้งนั้นเล่าให้ผมฟังว่า เขาไม่เข้าใจในความอดทนของคนไทยต่อเรื่องคอร์รัปชันของนักการเมือง โดยยกตัวอย่างว่า คนไทยมีเงินอยู่ในกระเป๋าขวา ๙.๕๐ บาท นักการเมืองหยิบออกไป ๙ บาท เพราะกลัวจะรู้ตัว เสร็จแล้วนักการเมืองหยิบออก ๘.๕๐ บาท แล้วเอา ๐.๕๐ บาทที่เหลือใส่ในกระเป๋าซ้าย ทุกคนดีใจใหญ่ว่ารวยขึ้น ๐.๕๐ บาท เพราะเดิมทีกระเป๋าซ้ายไม่เคยมีสตางค์เลย ผมหัวเราะไม่ออกแต่นี่เป็นความจริง และเป็นการอธิบายบริบทของสังคมไทยในปัจจุบันได้ดีที่สุด คือเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียในระยะยาวต่อส่วนรวม.
                            โดยความนับถือ
                                              ศวอ.
    ไทยแลนด์แดนสยามของเรา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นเป็นไปได้มาเยอะแล้วครับ และคงจะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบครับ
    บอกตรงๆ ครับว่า แทบหมดกำลังใจกับการอยู่ร่วมกับสังคมที่โกงไม่เป็นไรขอให้แบ่งกัน แต่ต้องอยู่ให้ได้และต้องคอยเป็นหูเป็นตา เพื่อไม่ให้เสื่อมถอยไปกว่านี้ เหมือนที่แฟนๆ ไทยโพสต์ทุกคนกำลังทำอยู่นั่นแหละครับ
    คนที่เคยประกาศว่า "รวยแล้วไม่โกง" วันนี้ก็ได้รับรู้กันแล้วว่า เขาไม่ได้โกงแต่ "กินชาติ" ไม่ได้กินเฉพาะทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่กินกระทั่งจิตวิญญาณของผู้คน กินจนสังคมเสื่อมทรามลง น่าเสียใจครับมีคนจำนวนมากทนอยู่ได้  เพราะแบมือขอเสียจนเคยตัว.
                    แผน set zero?
เรียน คุณอัตถ์ ที่นับถือ
    มีเพื่อนส่งเมล์มาให้อ่านด้วยรู้ว่าผมปิดหูปิดตาช่องนี้ไปแล้ว
      ?????----สนธิ ลิ้มทองกุล---ผมคิดว่า---ทักษิณตั้งใจดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อจงใจให้ประชาชนไม่พอใจ เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย---แล้วทหารที่เป็นของทักษิณจะออกมาปฏิวัติ แล้ว set zero ให้ทุกฝ่าย ทักษิณจะพ้นผิดโดยปริยาย---ให้จับตา
         พ่อหมอ---อ่านเกมส์ขาดเสมอ ฟังแล้วคนไทยหนาว---ครับ?????
         ผมไม่ทราบว่าเจ้าของวจีกรรม แล้วยังงัย พูดอย่างนี้ที่ไหน เมื่อไหร่ และเพื่ออะไร แต่เมื่อได้อ่านข้อความแล้วก็ต้องถามว่า แล้วยังไง
      ถ้าประชาชนไม่ออกมาค้านมาต้าน พ.ร.บ.ผ่านฉลุยตามแผน...ทักษิณพ้นผิดอย่างเท่ๆ
      ถ้าประชาชนค้านไม่สำเร็จ จะโดยสภาฯ หรือโดยศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม ประชาชนก็คงไม่ยอม ออกมาคัดค้านอีก  แต่ก็จะมีเงื่อนไขของกฎหมายอ่อนน้ำหนักลง ปราบง่ายขึ้น...  ทักษิณพ้นผิด
      ถ้าเกิดความวุ่นวาย ทหารทักษิณปฏิวัติ...ทักษิณพ้นผิดตามคำทำนายของพ่อหมอ
      หรือถ้าบ้านเมืองจะต้องมีวิบากกรรม ทหารปฏิวัติแล้ว set zero ประชาชนจะสยบยอมหรือจะลุกขึ้นมาสู้กับทหารด้วย
      ประตูเดียวที่จะจับผิดทักษิณได้ก็คือ ประชาชนชนะเด็ดขาด ตระกูลชินและบริวารไม่มีที่อยู่หรืออยู่ในคุก
      คำถามต่อไปของผมก็คือ ประชาชนจะเอายังไง
      ก่อนจบ ผมขอถามปัญหาคุณอัตถ์หนึ่งข้อ รู้ไหมที่นั่งหน้าเวทีของราชดำเนินกับของกองทัพธรรมผิดกันอย่างไร?
      เฉลย เก้าอี้ของกองทัพธรรมมีพนักยาวกว่าและเอียงเล็กน้อย พอพักหลังได้ (เหมาะกับคนสูงวัย).
                                  ด้วยความนับถือ
                                      ป.ปฏัก
    ผมไม่ได้ยินกับหูคงให้ความเห็นลำบาก แต่ถามว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะที่ว่าได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่าได้ครับ  สร้างความวุ่นวายแล้วรัฐประหาร เป็นสูตรเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ แต่จะ set zero กันแบบไหนนั้นยากที่จะคาดเดา เพราะถ้าเล่นเกมนี้ก็หมายความว่า หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต้องพร้อมที่จะตายกันทั้งตระกูลครับ. 

การอ่านคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ในคดีที่กัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 เมื่อเย็นวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 แม้จะจบลงไปเปลาะหนึ่งแล้วก็ตาม  แต่มิใช่ว่าเรื่องนี้จบลงด้วยดีตามคำชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือแม้แต่กระทั่งนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่บอกว่าผลคำพิพากษาน่าพอใจ เพราะดูเหมือนคำชี้แจงจากฟากฝั่งไทยช่างแตกต่างจากสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ และนายฮอร์ นัมฮง  รองนายกฯ และรัฐมนตรีการต่างประเทศของกัมพูชา จนดูแทบจะเป็นเหรียญสองด้าน ทั้งที่ได้ฟังคำพิพากษาและมีเอกสารของศาลโลกจำนวน 39  หน้าเหมือนกัน
เราไม่ปฏิเสธว่าเรื่องอาณาเขตและดินแดนของประเทศใดๆ ในโลกต่างเป็นเรื่องอ่อนไหว และสามารถนำมาปลุกปั่นในแนวคิดชาตินิยมได้ง่ายมาก แต่มิได้หมายความว่า รัฐบาลจะหยิบใช้ความกลัวดังกล่าวสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง โดยปกปิดซ่อนเร้นข้อมูลที่แท้จริงที่คนในชาติควรรับทราบและรับรู้ เพราะสุดท้ายความจริงก็ย่อมปรากฏในไม่ช้าไม่นาน
ถ้อยแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งแต่เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 พ.ย. ตลอดจนการให้สัมภาษณ์อีกครั้งในวันที่ 12 พ.ย. ดูเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการกล่าวถึงการเสียพื้นที่หรือเสียดินแดนครั้งที่ 15 ของไทยให้กัมพูชา  โดยพยายามชูประเด็นในเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนที่ไม่มีผลกระทบแต่ถ่ายเดียว ทั้งที่ข้อเท็จจริงคำพิพากษาตั้งแต่แรกเริ่มก็แสดงให้เห็นว่าเราพ่ายไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องอำนาจที่ศาลโลกมีอำนาจตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ซึ่งเป็นข้อต่อสู้แรกของแต่ละประเทศ
ยิ่งพิจารณาคำพิพากษาในข้อ 98 หน้า 33-34 ที่ชี้ชัดในเรื่องดินแดน ว่าไทยต้องสูญเสียดินแดนชะง่อนผา หรือในคำตัดสินใช้ว่า Promontory ให้กัมพูชาทั้งหมด ก็เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง นี่ยังไม่รวมเรื่องของทางขึ้นอีกต่างหาก  แต่รัฐบาลพยายามใช้คำว่า “พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก” ซึ่งมีคำถามว่าแล้วพื้นที่เล็กมากนั้นเท่ากับสูญเสียหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หรือแม้แต่ผู้นำเหล่าทัพต่างๆ เคยยืนยันหลายครั้งหลายคราว่า ไทยจะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว คำถามคือ วันนี้ผู้นำเหล่าทัพและรัฐบาลจะยังกล้ายืนยันในคำมั่นสัญญาดังกล่าวอีกหรือไม่ อย่างไร 
    ที่สำคัญ การสูญเสียดินแดนที่รัฐบาลพยายามไม่พูดถึงครั้งนี้ ยังน่าคิดว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ว่าด้วยความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะในมาตรา 119  ที่ระบุว่าผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป  ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต, มาตรา 128 ผู้ใดตระเตรียมการหรือพยายามกระทำความผิดใดๆ ในหมวดนี้ ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น และมาตรา 129 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดใดๆ ในหมวดนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
เรื่องความผิดตามกฎหมายหรือไม่นั้น ยังคงต้องเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป แต่สิ่งที่รัฐบาลควรต้องเร่งทำอย่างยิ่งในปัจจุบันคือ การเปิดเผยคำพิพากษาที่แท้จริง โดยเฉพาะการถอดความเป็นภาษาไทย มิใช่เพียงนำต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเผยแพร่ในเว็บไซต์เท่านั้น เพราะยิ่งทอดเวลาออกไปเท่าใดก็ยิ่งสร้างความน่าสงสัยในสังคม และทำให้เกิดการตีความไปคนละทางมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญยังทำให้ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องอาจนำเรื่องดังกล่าวไปตีกินสร้างคุณค่าให้กับตนเอง ทั้งที่ต้นตอความสูญเสียเกิดจากเขาเหล่านั้น 
การที่ดึงเวลาจึงน่าคิดอย่างยิ่งว่า จะเดินตามคำพูดของอาจารย์สมปอง สุจริตกุล ที่ตั้งข้อสังเกตไว้น่าสนใจว่า “ศาลโลกไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะทำให้ไทยเสียดินแดนให้เขมร นอกจากไทยเต็มใจที่จะยกแผ่นดินไทยให้เขมร  โดยเอาคำตัดสินของศาลโลกมาเป็นข้ออ้าง” นั่นแล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น