วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

′ราชนาวี′ ทีมน้องใหม่ไทยลีกเปิดตัวสโมสรสุดยิ่งใหญ่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร (ชมคลิป) วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 13:54:07 น.

"ตะหานน้ำ" ราชนาวี น้องใหม่ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015 ทำคลิปวิดีโอเปิดตัวสโมสรฯ สุดบรรเจิด และสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการฟุตบอลไทย ด้วยการนำนักเตะราชนาวีมาแสดงร่วมกับกองทัพเรือ 

คลิปนี้มีความยาว 4.59 นาที ถ่ายทำกันบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในการปกป้องประเทศตามแบบฉบับของทหารและความเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพเรือ

คอนเซ็ปต์ของคลิปนี้คือ ยกพลขึ้นไทยพรีเมียร์ลีก ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านทาง "NavyChannel Thailand" และใช้ชื่อคลิปนี้ว่า "ลูกยิงอาวุธปล่อย สโมสรฟุตบอลราชนาวี"



ชีวิตดี้ดี! หนุ่มพิการชาวจีน ได้สาวสวยราวนางฟ้าเป็นคู่ชีวิต หลังรู้จักผ่านเน็ตได้3วัน!! วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18:00:00 น

ชีวิตดี้ดี! หนุ่มพิการชาวจีน ได้สาวสวยราวนางฟ้าเป็นคู่ชีวิต หลังรู้จักผ่านเน็ตได้3วัน!!

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18:00:00 น

ถือเป็นเรื่องของพรหมลิขิตจริงๆ สำหรับชีวิตของหนุ่มพิการชาวจีนที่ทำให้หลายคนต้องอิจฉา เพราะได้คู่ชีวิตที่สวยราวกับนางฟ้ามาครอง หลังรู้จักกันผ่านเน็ตได้เพียง 3 วันเท่านั้น!!
http://www.matichon.co.th/online/2015/02/14236393141423639328l.jpg


เว็บไซต์มิเรอร์เปิดเผยเรื่องราวนี้ว่าฝ่ายชายคือ นาย ค่ง ฉวง วัย 23 ปี นับเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด หลังพิชิตหัวใจของสาวสวย เสี่ยว ต้าน นักศึกษาสาววัย 22 ปี ที่ทั้งคู่รู้จักและพูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชั่นวีแชท เเละคุยกันในวันเเรกจนถึงเช้าของวันต่อมา

เสี่ยว ต้าน เผยว่า ตอนแรกที่คุยเพราะเห็นว่าฝ่ายชายเล่นเปียโนได้เก่ง และรูปดิสเพลย์ของเขาก็ดูคล้ายศิลปินชื่อดัง เจย์ โจว  แต่พอได้พูดคุยกันก็ยิ่งรู้สึกถูกคอ เห็นทัศนคติดีต่อชีวิตของชายหนุ่มก็ยิ่งประทับใจ เพราะไม่เคยเจอใครที่ดีเเบบนี้

จึงยอมตัดสินใจขาดเรียนเพื่อเดินทางมาพบฝ่ายชาย ทันที่ที่ได้เจอเเละพบว่าค่ง ฉวง เป็นคนพิการ ก็รู้สึกช็อกเล็กน้อย แต่ด้วยความดีเเละทัศนคติไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทางกายของชายหนุ่มที่ ทำให้ เสี่ยว ต้าน ไม่ลังเลที่จะมอบหัวใจให้ แถมยังโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่บอกว่าเธอตัดสินใจจะลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อจะมาแต่งงาน และคอยดูแลค่ง ฉวง อย่างใกล้ชิด

ขณะที่ ค่ง ฉวง ก็ได้เผยถึงความโชคดีนี้ว่า รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมาก ๆ ที่ เสี่ยว ต้าน เลือกจะใช้ชีวิตด้วย ทั้งๆที่เขาไม่ได้เหมาะสมกับเธอเลยเเม้เเต่น้อย

http://www.matichon.co.th/online/2015/02/14236393141423639339l.jpg


http://www.matichon.co.th/online/2015/02/14236393141423639334l.jpg




ขอบคุณภาพประกอบจาก  pc841.com

'ราชนาวี' ตั้งเป้า ติดท็อป 10 ไทยลีกให้ได้ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 ก.พ. 2558 06:00

'ราชนาวี' ตั้งเป้า ติดท็อป 10 ไทยลีกให้ได้

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 ก.พ. 2558 06:00

พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ภูมิใจที่ได้กลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้ง ประกาศจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีของกองทัพเรือ เชื่อว่าท็อป 10 ไม่ใช่เป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม ด้าน “โค้ชหมี” สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม เผยลูกทีม
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ พล.ร.อ. ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัว สโมสรราชนาวี เพื่อแข่งขันศึก “โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015” อย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “นาวี
สมาร์ท ทีม” โดยมี “บิ๊กอ้น” พล.ร.ท.ประพฤติพร อักษรมัต ประธานสโมสร, พล.ร.ท.รังสฤษดิ์ สัตยา-นุกูล ผู้จัดการสโมสร, “โค้ชหมี” สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม, นายสมชัย สุทธิกุลพานิช ประธานที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บ.ไทย-เบฟฯ ที่ให้การสนับสนุนจำนวน 10 ล้านบาท และ นายสมฤทธิ์ ศรีทองดี ประธานกรรมการบริษัท เอช-อาร์ โปรเฟสชั่นแนลฯ ที่ให้การสนับสนุนทางสโมสรปีละ 30 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวม 90 ล้านบาท ร่วมแถลง
พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้กลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้ง นอกจากนี้ ตนต้องการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของกำลังพลในการทำงานเป็นทีม ซึ่งกองทัพเรือ แม้ราชนาวีของเราไม่ใช่ทีมใหญ่ แต่บอกเลยว่า การกลับมาในปีนี้ เราจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีของกองทัพเรือ เราจะเดินได้อย่างไม่ต้องอายใคร และเชื่อว่าท็อป 10 ไม่ใช่เป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อมของเราแน่นอน
ขณะที่ พล.ร.ท. ประพฤติพร อักษรมัต ประธานสโมสรราชนาวี กล่าวว่า ต้องขอบคุณที่วางใจให้ผมทำหน้าที่ประธานสโมสร ซึ่งปีนี้นโยบายของทีมเราคือ “นาวี สมาร์ท ทีม” เราจะเน้นความเป็นสุภาพบุรุษของความเป็นทหารเรือ และการทำงานเป็นทีม โดยจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กันไปด้วย
ด้าน “โค้ชหมี” สุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม กล่าวภายในงานแถลงเปิดตัวสโมสรว่า “ความพร้อมของนักเตะราชนาวี ตอนนี้พร้อม 100% ไม่ต้องกลัวว่าราชนาวีจะไม่รอด ผมมั่นใจว่านักเตะทุกคนมีวินัยในการเล่น เหลือแต่การปรับความสัมพันธ์ภายในทีม แม้คนอื่นอาจจะมองราช-นาวีเป็นน้องใหม่ หรือทีมเล็กๆ แต่บอกได้เลยว่า มีเซอร์ไพรส์แน่นอน”

ไทยกับไพ่จีน-ไพ่สหรัฐ โดย : กาแฟดำ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 -



การมาเยือนไทยของรัฐมนตรีกลาโหมจีน พลเอกฉางว่านฉวน (常万全) พร้อมข้อเสนอให้มีการซ้อมรบร่วมกัน
   ระหว่างสองประเทศ และขยายความร่วมมือทางทหารสู่อุตสาหกรรมทหาร การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง และการปราบอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน ทำให้นักวิเคราะห์บางท่านบอกว่านี่คือการเล่น “ไพ่จีน” หรือ China Card อย่างเต็มรูปแบบ
    บางคนมองต่อไปด้วยว่านี่เป็นการถ่วงดุลหรือคานอำนาจทางทหารกับสหรัฐ ของรัฐบาลไทยยุคนี้ในยามที่วอชิงตันมีความสัมพันธ์เย็นชากับไทยเพราะความเห็นขัดแย้งกันเรื่องประชาธิปไตย เลือกตั้ง และเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น
    ผมมองว่าไทยจะเล่นไพ่จีนก็ทิ้งไพ่อเมริกันและไพ่ญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะเราผ่านโลกยุคสงครามเย็น ที่ไทยเคยเลือกข้างสหรัฐและอยู่คนละข้างกับจีนเต็มตัว
    วันนี้เข้าสู่โลกยุคที่ทุกประเทศต้องพึ่งพากันและกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นนโยบายการทูตจะต้องนำการทหาร และนโยบายเศรษฐกิจต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าความมั่นคงทางทหาร เพราะในท้ายที่สุดความมั่นคงของประเทศและโลกจะวัดด้วยเศรษฐกิจมากกว่าด้านอื่นใด
    การที่จีนกับไทยจะมีแผนซ้อมรบทวิภาคีไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจีนกับสหรัฐ ก็มีการเพิ่มความร่วมมือทางทหารมากขึ้นแล้วอย่างเห็นได้ชัด
    เดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา พลเอกฝางเฟิงฮุย (房峰辉)  ประธานเสนาธิการทหารของกองทัพจีน ได้รับเชิญให้ขึ้นไปตรวจเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์ USS Ronald Reagan ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทางการทหารสหรัฐเปิดกว้างสำหรับผู้นำทหารจีนระดับนี้
    มีเสียงวิพากษ์จาก ส.ส.บางคนในวอชิงตันว่า การที่กองทัพสหรัฐยอมให้นายทหารจีนขึ้นบนเรือบรรทุกเครื่องบินทันสมัยของสหรัฐ มิเป็นการเปิดทางให้มีการล้วงความลับทางทหารหรือ?
    การกระทำเช่นนั้นมิเป็นการละเมิดข้อบังคับให้กฎหมายที่ขีดเส้นจำกัดความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐกับจีนหรือ?
    แต่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็ยืนยันว่านี่เป็นยุคสมัยใหม่แล้ว ความร่วมมือระหว่างสองมหาอำนาจต้องยกระดับขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม ไม่อาจจะอยู่ด้วยความระแวงคลางแคลงกันได้อีกต่อไป แม้ว่าสองประเทศนี้จะมีความไม่เห็นพ้องกันในหลาย ๆ เรื่องก็ตาม
    จีนไม่รอช้า แสดงความใจกว้างเช่นกัน ส่งเทียบเชิญให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ขณะนั้นคือ นายชั๊ก เฮเกิล ไปตรวจเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีนที่ชื่อ “เหลียวหนิง” เป็นการแสดงท่าทีตอบสนองสหรัฐเช่นกัน
    ส่งสัญญาณว่าถ้าอเมริกาเปิดกว้าง จีนก็พร้อมจะตอบสนองในระดับเดียวกัน ไม่มีอะไรต้องเป็นความลับต่อกันแม้เรื่องทางทหารก็ตาม
    นายทหารสหรัฐที่รับผิดชอบย่านเอเชีย-แปซิฟิก ยืนยันว่าจะเดินหน้าสานสัมพันธ์ทางทหารกับจีน เพราะในโลกยุคนี้การเผชิญหน้าทางทหารเป็นอันตรายมากกว่าการร่วมมือกัน
    และเมื่อจีนมาร่วมการซ้อมรบ Cobra Gold ที่จัดขึ้นในไทยในสัปดาห์นี้เป็นครั้งแรก ก็เท่ากับว่าสหรัฐกับจีนก็มาร่วมกิจกรรมทางทหาร และรับรู้แผนยกพลขึ้นบก การต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ และแผนร่วมมือด้านมนุษยธรรมในกรณีเกิดภัยธรรมชาติร่วมกันแล้ว
    ดังนั้น หากจีนกับไทยจะมีความร่วมมือทางทหารเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐ จะต้องลดน้อยลงเมื่อสถานการณ์การเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
    เพราะต้องไม่ลืมว่าสหรัฐก็ต้องพึ่งพามิตรภาพของไทยในการดำเนินนโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” หรือ Pivot to Asia ขณะที่จีนก็ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของไทยในภาพความมั่นคงของภูมิภาคนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
    ไทยจึงต้องถือทั้งไพ่จีนและไพ่สหรัฐเอาไว้ทั้งคู่ ทิ้งใบใดใบหนึ่งก็จะเสียศูนย์ และผิดหลักการการทูตเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นแม่นมั่น

เริ่มอ่อนแรง โดย แม่ลูกจันทร์ 11 ก.พ. 2558 05:01



โดย แม่ลูกจันทร์ 11 ก.พ. 2558 05:01

วิกฤติ​ไฟ​ใต้​ลาก​ยาว​มา​ครบ 11 ปี​เต็ม มี​เหยื่อ​ความ​รุนแรง​เสีย​ชีวิต​ไป​แล้ว​เกือบ 4,000 ราย บาดเจ็บ​พิการ​ไป​แล้ว​กว่า 9,000 คน
ใช้​กำลัง​ทหาร ​ตำรวจ อส.​ลง​ไปรักษาความ​สงบ​ใน 3 จังหวัด​ภาค​ใต้​กว่า 60,000 นาย
ใช้​งบ​ดับ​ไฟ​ใต้​ไป​แล้ว​กว่า  2.3  แสน ​ล้าน​บาท
สถานการณ์​ยืดเยื้อ​มา​แล้ว 6 รัฐบาล 6 นายกรัฐมนตรี ยัง​ไม่​มี​รัฐบาล​ไหน​ดับ​ไฟ​ใต้​ได้​สำเร็จ​อย่างที่คุย
ด้วย​เหตุ​นี้ “แม่​ลูก​จันทร์” จึง​ไม่​คาด​หวัง​ว่า​รัฐบาล คสช.​ของ “พล.อ.​ประยุทธ์ จันทร์​โอชา” จะ​สามารถดับ​ไฟ​ใต้​ได้​สำเร็จ​อย่าง​ที่​ฉาย​หนัง​โฆษณา
เพราะ​นายกฯ​บิ๊ก​ตู่ เป็น​อดีต ผบ.ทบ.​รับหน้า​เสื่อ​ดูแล​แก้​ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้​ มา​แล้ว​หลาย​ปี ยัง​ไม่​มี​ผลสำเร็จ​เป็นรูปธรรม
และ​รัฐบาล คสช.​ก็​ไม่ได้​เปลี่ยนแปลง​ ยุทธศาสตร์​แก้​ปัญหา​ชาย​แดน​ใต้​ที่​แตกต่าง​ ไป​จาก​ที่​แนวทาง​เดิม
แต่​การ​ที่​สังคม​ไม่​คาด​หวัง...กลับ​เป็น​เรื่อง​ดี
ดี...เพราะ​ไม่​มี​แรง​กดดัน​รัฐบาลให้​ต้อง​รีบ​ร้อน​แก้​ปัญหา 3 จังหวัด​ภาค​ใต้​ให้​เข้า​ตา​ประชาชน
ไม่​ต้อง​เร่งรัด​เปิด​เวที​พูด​คุย​สันติภาพ​ให้​อึกทึก​ครึกโครม
“แม่​ลูก​จันทร์” ย้ำ​อีก​ครั้ง​ว่าการที่​สังคม​ไม่​คาด​หวัง​กลับ​ทำให้​วิกฤติ​ไฟใต้​ เริ่ม​คลี่คลาย​ขึ้น​เห็น​ทันตา
สถิติ​การ​ก่อ​เหตุ​รุนแรง​ใน​ช่วง 3 เดือน​ ล่า​สุด (พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม) ลด​ลง​จาก​ช่วง​เดียวกัน​ของ​ปี​ที่​แล้ว​อย่าง​ชัดเจน
การ​ก่อ​เหตุ​ลอบ​วาง​ระเบิด ซุ่ม​โจมตี​เจ้าหน้าที่ และ​ลอบ​ทำร้าย​ประชาชน​ผู้​บริสุทธิ์ ลด​ลง​เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลข​ผู้​เสีย​ชีวิต และ​บาดเจ็บ​ ก็​ลด​ลง​เป็น​ประวัติการณ์
กลาย​เป็น​ผล​งาน​สำคัญ​ที่​รัฐบาล​บิ๊ก​ตู่​เอา​ไป​โฆษณา​เพิ่ม​เรตติ้ง​ได้​อย่าง​สะดวก​โยธิน
“แม่​ลูก​จันทร์” ยัง​วิเคราะห์​หา​สาเหตุ​ที่แท้​จริงๆไม่ได้​ว่า​เหตุ​ใด​วิกฤติ​ไฟ​ใต้​จึง​ดี​ขึ้น​ผิดหูผิดตา??
จะ​ว่า​ดี​ขึ้น​เพราะ​เจ้าหน้าที่​กวาด ล้าง​จับกุม​แกน​นำ​และ​แนวร่วมได้​มาก​กว่า​ที่​ผ่าน​มา ก็​ไม่​ใช่คำ​ตอบ​ที่แท้​จริง
เนื่องจาก​สถิติ​การจับกุม​ผู้​ต้อง​หา​ที่​มี​หมายจับ​คดี​ความ​มั่นคง​ใน 3 จังหวัด​ภาค​ใต้​ไม่ได้​เพิ่ม​ขึ้น​อย่าง​มี​นัย​​สำคัญ
แถม​การ​เจรจา​สันติสุข​รอบ 2 ที่​รัฐบาล​มาเลเซีย​เป็น​คนกลาง​ก็​ยัง​ไม่ได้​เริ่ม​เดิน​หน้า​เต็มตัว
ถาม​ว่า​อะไร​เป็น​เงื่อนไข​ที่​ทำให้​ สถานการณ์ 3 จังหวัด​ภาค​ใต้​ที่​ลาก​ยาว​มา 11 ปี เริ่ม​มี​แนวโน้ม​ที่​ดี​ขึ้น​อย่าง​รวดเร็ว?
“แม่​ลูก​จันทร์” มอง​ว่า​สาเหตุ​สำคัญ​ที่​ทำให้​วิกฤติ​ไฟ​ใต้​คลี่คลาย​เกิด​จาก​ปัจจัย 3 ประการ
1, การ​ต่อสู้​ที่​ยืดเยื้อ​กว่า 11 ปี ทำให้​ได้​พบ​คำ​ตอบ​ที่แท้​จริง​ว่าความ​พยายาม​แบ่งแยก 3 จังหวัด​ภาค​ใต้​ออก​จาก​ประ-เทศไทย​เป็น​เรื่อง​เพ้อเจ้อ ไม่​มี​โอกาส​สำเร็จ​แน่นอน
ความ​จริง​ข้อ​นี้​ทำให้​กลุ่ม​ผู้​ก่อเหตุ​ ท้อถอย​หมด​กำลังใจ
2, รัฐบาล​กำชับ​ฝ่าย​ความ​มั่นคงให้​ระมัดระวัง​อย่า​สร้าง​เงื่อนไข​ให้​ฝ่าย​ตรง​ข้าม​เอา​ไป​บิดเบือน​โจมตี​ใส่ร้าย​เจ้าหน้าที่​อย่าง​ที่​ผ่าน​มา
เมื่อ​ไม่​มี​เงื่อนไข​ปลุกระดม​แย่งชิง ​ประชาชน กลุ่ม​ผู้​ก่อ​เหตุ​ก็​ไม่​สามารถ​สร้าง​แนวร่วม​เพิ่มเติม
3, กลุ่ม​แกน​นำ​แยก​ดิน​แดน​ขาด เอกภาพ​  มี​ปัญหา​ขัดแย้ง​แตกแยก​เรื้อรัง มีการ​แย่ง​ชิง​การ​นำ​กันเอง ทำให้​พลัง​เสื่อม​ถอย​ลง
สรุป​ว่า​วัน​นี้ วิกฤติ​ไฟ​ใต้​ยังไม่สิ้น ​ควัน...แต่​กอง​ไฟ​เริ่ม​เล็ก​ลงๆ และ​เริ่ม​มอด​ลงๆอย่าง​รวดเร็ว
นี่​คือ​สัญญาณ​บวก​ที่​ดี​ที่สุด​ใน​รอบ 11 ปี​เชียว​นะ​โยม.
"แม่ลูกจันทร์"

'หนึ่งพี่-หนึ่งน้อง' ครรลองคุก เปลว สีเงิน เมื่อ 11 ก.พ.58



'หนึ่งพี่-หนึ่งน้อง' ครรลองคุก

   เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมว่า "ผู้บริหาร" ระดับ "ประธานกรรมการ" ต้องพิจารณาการทำงานของตัวเอง และแสดงความรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน อย่างกรณีไฟไหม้ อาคารสำนักงานใหญ่ "ธนาคารไทยพาณิชย์" ย่านรัชดาฯ วันก่อน เป็นต้น
    ไฟไหม้เป็นเหตุการณ์ "เฉพาะเหตุ" ก็จริง แต่ที่ไหม้อาคาร SCB ตึก A เมื่อคืนวันเสาร์ที่ ๗ ก.พ.๕๘ นั้น
    ปรากฏว่า สร้างประเด็น สร้างข้อสงสัย และสร้างคำถาม ให้สังคมเชื่อมโยงไปหลายเหตุ หลายกรณี 
    แต่ละกรณี ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อภาพลักษณ์สถาบันการเงินทั้งสิ้น ซึ่งต้องมีสิ่งที่เรียกว่า "ธรรมาภิบาล" ในการบริหารอันดับต้นๆ ให้เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของประชาชน
    แต่ขณะนี้ ทั้งเรื่องที่ สจล. (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) ข้องใจการบริหาร ถึงขั้นแสดงความไม่วางใจ ปิดบัญชีที่มีกับไทยพาณิชย์ทั้งหมด 
    กรณีมีคนโกงเงินฝาก ๑,๖๐๐ ล้าน! 
    ทั้งยังเป็นชนวนให้เท้าความไปถึงคดีกุหลาบแก้วในอดีต ที่ SCB มีหุ้น ๑๐% โยงถึงทักษิณ ซึ่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว กรณีขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กเมื่อปี ๒๕๔๙  กว่า ๗ หมื่นล้าน 
    ประกอบกับตัวประธานกรรมการบริหารกรณีนั้นในอดีต  กับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดปัจจุบัน เป็น "คนเดียวกัน"
    คือ "ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย"
    ทั้งหลาย-ทั้งปวงนี้ จึงเกิดเป็น "ภาพลบ" ต่อองค์กรโดยตรง!
    ภาพ ดร.วิชิต เป็นภาพลบทางด้านความโปร่งใส เป็นภาพให้ความรู้สึกหวาดระแวง-ไม่ไว้วางใจ
    ภาพ ดร.วิชิตจึงทอดเงาไปทาบเป็น "ภาพลักษณ์" แบงก์ไทยพาณิชย์ ในสายตาและทัศนคติสังคมไปด้วย!
    ดังนั้น เมื่อไฟไหม้ สังคมเห็นหน้า "ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย" ในฐานะประธานกรรมการบริหาร "ไทยพาณิชย์" ออกมาแถลงแจงข่าว
    แทนที่จะเชื่อถือ.......
    ด้วย "ภาพลบ" จากบทบาทบริหารของ ดร.วิชิตในอดีต ที่สังคมมีคำถาม การแถลงข้อเท็จจริง จึงกลายเป็นให้ภาพคลางแคลง "ระแวงใจ" ต่อกรณีไฟไหม้ จนถึงขั้น บางคน-บางพวกต่อจิ๊กซอว์ไปต่างๆ นานา 
    ล้วนเป็นอันตรายต่อความเชื่อถือและภาพลักษณ์ "ไทยพาณิชย์" ด้านธรรมาภิบาลทั้งสิ้น!
    ครับ...ก็สะท้อนทัศนคติสังคมให้คิดเพื่อปรับปรุงแก้ไข เพราะสถาบันการเงิน "ภาพลักษณ์" สำคัญสุด
    ยิ่ง "ไทยพาณิชย์" เป็นแบงก์แห่งแรกของประเทศไทย  ก่อตั้งโดยพระบรมราชานุญาต ใน "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๙ นั่นยิ่งต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
    ในปัจจุบัน "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ถือหุ้น  ๒๑.๓๐% ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 
    ฉะนั้น การปล่อยให้ไทยพาณิชย์ถูกบริหารอยู่ใต้ความคลุมเครือของบทบาทคนเป็นประธานบริหาร จึงพูดได้คำเดียวว่า "อันตราย" สุดๆ!
    พูดถึงกุหลาบแก้ว การเทขายหุ้นชินคอร์ป และเทมาเส็กในอดีต ก็มีตัวละครในอดีตโผล่ออกมาให้พูดถึงอีกรายพอดี
    ชาย (ชรา) คนหนึ่งในชุดสูทน่าเวทนา หัวโต ตัวลีบ  ช่วงสะโพกและขายิ่งลีบจนดูผิดสัดส่วน แทบเป็น "คนละคน" กับคนนั้น
    ยืนยิ้มแห้งแล้ง สวมสูทซึ่งส่อว่า อดีตคงพอดีตัว แต่ตอนนี้กลับหลวมโพรก จนไหล่และแขนเสื้อยาวลงมาคลุมมือทั้งสองข้างหายเข้าไปอยู่ข้างในเหมือนคนมือกุด
    "เขาคนนั้น" นั่นแหละครับ!
    มีคนเขาถ่ายจากล็อบบีโรงแรมเพนนินซูลา ฮ่องกง ส่งมาให้ดู นัยว่าบินมารอน้องสาวที่จะเหมาลำเรือบินมากินโจ๊ก
    อืมมมม...เห็นแล้วก็เวทนา หมดความอยากรวยไปโดยอัตโนมัติ ขอจนโดยสุจริตอยู่เมืองไทยสบายกว่า มื้อไหนไม่มีกิน ยังพอค้นหาหูฉลามจากถังขยะมาปิ้งจิ้มน้ำปลาแบ่งกะหมากินกันตายพอได้
    ต่างกับรวยแล้วต้องหกระเหเร่ร่อน ถึงนั่งกระดกไวน์แกล้มเกี้ยมฮื้อแหม่มขวดละหมื่น-ละแสนก็หามีความสุขไม่ ย้ำให้เห็นถึงสัจธรรมที่ว่า...รวยที่ไม่มีรากฐานมาจากคุณธรรม
    ลงท้าย ต้องตายแบบ "ระกำใจ" แทบทั้งนั้น!
    เออ...เมื่อวาน (๑๐ ก.พ.) ประธาน ป.ป.ช. "นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ" ออกมาชี้ขาดประเด็นยิ่งลักษณ์ไปนอกช่วงนี้ได้หรือไม่ สรุปลงตัวแล้ว โดยแถลงว่า    
    "วันนี้เลขาฯ ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ไปรายงานตัวต่อ อสส.ในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘  เวลา ๑๐.๐๐ น. เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว"
    แปลไทยเป็นไทยก็คือ วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ก.พ. ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ฤกษ์นำคดียิ่งลักษณ์ผิดกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ พรบ.ป.ป.ช.มาตรา ๑๒๓/๑ ในคดีรับจำนำข้าวขึ้นฟ้องศาลแล้ว
    ป.ป.ช.แจ้งให้ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลย ไปรายงานตัวต่ออัยการสูงสุด ตอน ๑๐.๐๐ น.เพื่อให้ทาง อสส.นำตัวไปฟ้องศาล!
    ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่ไปรายงานตัววันที่ ๑๙ ก.พ.ล่ะ?
    นี่ ตรงนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า เธออาจไม่ไปรายงานตัว แต่ก็ไม่เป็นปัญหา คดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้น วันส่งฟ้องไม่ต้องมีจำเลยไปก็ส่งฟ้องได้     
    จนกว่าตั้งองค์คณะผู้พิพากษาขึ้นพิจารณาพิพากษาคดี และประทับรับฟ้องแล้วนั่นแหละ วันนัดคู่ความขึ้นศาลในการพิจารณาครั้งแรก
    ยิ่งลักษณ์ต้องไปศาล!
    ถ้าไม่ไป ก็เป็นจำเลยหนีศาล ศาลจะจำหน่ายคดีชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวมาขึ้นศาล
    ถ้าเป็นเช่นนั้น ยิ่งลักษณ์ก็จะเหมือน "สัมภเวสีตัวเมีย" ประเภทเดียวกับพี่ชายที่เป็น "สัมภเวสีตัวผู้" หนีคดี-หนีศาล ลอยไป-ลอยมา 
    ถ้าหนีไปลอยอยู่นอกประเทศ ก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าลอยอยู่ในประเทศ คงลอยไปไม่ถึง "ถนนลอยเคราะห์" ด้วยซ้ำมั้ง?
    แต่ตอนนี้เห็นว่าลอยอยู่ "สันกำแพง" เชียงใหม่ ภายใต้การถนอมกล่อมเกลี้ยงของทหารจากกองทัพภาค ๓ ยิ่งกว่าไข่ในตูดแม่ไก่
    ก็ดีนะ....ใครก็อย่าไปมองว่าถูกทหารคุม สถานการณ์อย่างนี้ ถ้าไม่คอยดูแลยิ่งลักษณ์ไว้ 
    เผลอๆ พวกมือที่ ๓ ทั้งมีเล็บและไม่มีเล็บ จะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ เอามดมาไต่-เอาไรมาตอม หรือตัวเธอหายไป มีใครนำไปหลบซ่อนไว้ที่ฉิมพลีไหน ในระยะนี้
    คสช.รับเต็มๆ เนื้อๆ แต่ผู้เดียว!
    พี่รัสเซล กับพี่เมอร์ฟี เป็นต้องรับลูก นปช.เพื่อไทย ทลายห้างลุงตู่หงายท้องแหงแก๋ ชนิดจะนุ่ง-จะแก้ก็ยังไม่ทัน
    ฉะนั้น ทำหน้าที่มดแดงเฝ้าไว้ จนถึงวันที่ ๑๙ กุมภา จนกว่าตะละแม่นางเนื้อนิ่มไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุดนั่นแหละ
    เออ....มาทายกันซิว่า ๑๙ กุมภา ยิ่งลักษณ์จะไปรายงานตัวให้ อสส.ส่งฟ้องต่อศาลหรือไม่?    
    เอามื้อเย็นที่ "ศรทอง" ข้างไทยโพสต์คนละมื้อเป็นไง  แต่บอกก่อน จะกินร้านศรทองต้องจองข้ามเดือนนะ เพราะพวกนักกินลิ้นมาตรฐาน ฝรั่งยุโรป ญี่ปุ่น แขก รัสเซีย จีน ตกเย็นมาเข้าคิวรอโต๊ะ ยาวจากฟุตปาทล้นลงถนน
    พูดถึงยิ่งลักษณ์ ถ้าจะหาตัวเธอ หาได้ ๒ ที่ ใน ๒ สถานการณ์
    สถานการณ์กดดันในสภาฯ......โน่น เธอจะเป็นแม่บ้านแสนดี นวยนาดไปช็อปปิงตามห้าง และโพสต์ท่าให้ แชะ..แชะ..ชิงพื้นที่ข่าว
    สถานการณ์กดดันในคดี....โน่น...จะเห็นเธอถอยฉากไป "สันกำแพง" ไปทำหน้าที่บุตรหลานกตัญญู ไหว้บรรพบุรุษที่วัดโรงธรรมสามัคคี ให้สื่อแชะ..แชะ ชิงพื้นที่ข่าว!
    นี่ก็เหมือนกัน อดไปกินโจ๊กฮ่องกง เมื่อวาน เลยไปไหว้บรรพบุรุษแทน นั่งรถตู้ทะเบียน ๗๗ ใครอยากรวย-อยากเจ๊ง ก็แทงกันให้จั๋งหนับเลยนะ 
    เฮ้อ...คิดแล้วก็ปลง.....!
    อีกคน ชะเง้อคอยอยู่ฮ่องกง แต่อีกคน กำลังจะเข้าห้องกรง...โลกนี้ เหมือนโรงละคร ช่างดูยอกย้อน ยับเยิน ซะจริงๆ
    นับจากวันนี้ก็อีก ๘ วัน จะถึงพฤหัสฯ ที่ ๑๙ กุมภา "ตามนัด" นับว่าเป็น "๘ วันอันตราย" น่าเสียวไส้
    จะมีอะไรเกิดเพื่อ "แปร-เปลี่ยน" สถานการณ์หรือไม่  หรือแบบไหน อย่างไร...ก็น่าลุ้น น่าระวัง "นั่งไม่ติด" ทีเดียว....คุณเอ๋ย.

สรุปข่าวที่น่าสนใจ เมื่อ 11 ก.พ.58



สรุปข่าวที่น่าสนใจ
ผัดฟ้องฝากขัง 2 ผู้ต้องหาคดีหมิ่นแถลงการณ์ปลอม
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีของนายกฤษณ์ บุดดีจีน สมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จ.เพชรบูรณ์ ที่โพสต์แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 13 ปลอม หลังจากนั้นนายวิญญัติเผยว่า เบื้องต้นศาลทหารรับคำร้องที่พนักงานสอบสวนยื่นเรื่องขอฝากขังนายกฤษณ์ เนื่องจากเห็นว่าทางพนักงานสอบสวนต้องสอบสวนพยานอีก 10 ปาก และตรวจสอบทางด้านเทคนิค ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา ศาลพิจารณาแล้วให้ฝากขังผัดแรกระหว่างวันที่ 10-21 ก.พ. เป็นระยะเวลา 12 วันที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยทนายความไม่ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว เพราะมีปัญหาเรื่องเอกสารไม่สมบูรณ์ แต่หากพร้อมเมื่อใดจะรีบดำเนินการยื่นต่อศาลขอปล่อยตัวชั่วคราวทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 12 วัน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  วันที่ 11/02/2015
ผบช.น.เร่งคดี! ไปป์บอมบ์อืด
พล.ต.ท.ศรีวราห์  รังสิพราหมณกุล  ผบช.น. กล่าวว่า  ขณะนี้คดีคืบหน้าค่อนข้างเยอะ สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับคดีไปหลายปากแล้ว เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหาที่ออกหมายจับตามภาพกล้องวงจรปิด ส่วนที่มีข้อมูลว่า คนร้ายเดินทางมาจากปริมณฑลขณะนี้ตรวจสอบเพิ่มเติมอยู่ แต่ไม่เหมาะที่จะเปิดเผย การแจ้งเบาะแสคนร้ายขณะนี้พอมีแต่ไม่ได้ประโยชน์มาก การตรวจสอบข้อมูลกับฐานข้อมูลคดีเก่ายังคงต้องรอกองพิสูจน์หลักฐาน เมื่อถามถึงกรณีมีทหารพรานฉายาดราก้อนเกี่ยวข้องด้วย พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า มีการดำเนินการในคดีที่เกี่ยวเนื่องขออนุมัติศาลออกหมายจับ แต่บางส่วนยังไม่ให้ ส่วนการตรวจสอบเส้นทางหลบหนีเพิ่มเติมจากจุดที่พบครั้งสุดท้ายตรงข้ามห้างมาบุญครองขณะนี้ไปไกลกว่านั้นมากแล้ว มีภาพชัดเจน แต่อยู่ในสำนวนยังเปิดเผยไม่ได้ ส่วนการออกหมายจับเพิ่มเติมอยู่ระหว่างดำเนินการ ภาพจากกล้องวงจรปิดมีเพียงผู้ต้องสงสัย 2 คน ชื่อยังไม่ได้ระบุลงไปเพราะต้องชัดเจนกว่านี้ จึงจะขออนุมัติหมายจับศาลเพิ่มเติมได้ ส่วนเป็นอดีตทหารหรือไม่ คงพูดแบบนั้นไม่ได้ แต่คดีมีคืบหน้าไปแล้วกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  วันที่ 11/02/2015
ทภ.3 ชี้แค่ รปภ. อดีตนายกปัดค้นรถปูรีบขอโทษ ยันให้เกียรติ
พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  กล่าวถึงกรณีมีทหารเข้าตรวจค้นรถยนต์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จ.เชียงใหม่ ว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ เดี๋ยว จะสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องดู  คงไม่มีอะไร เขาคงเป็นกังวล ก็คงไม่มีอะไร เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจรถทุกคัน มันก็ต้องตรวจ ซึ่งบังเอิญเจอรถอดีตนายกฯ พอดี เจอแล้วเขาคงไม่ค้นต่ออะไรมากมาย อยู่แล้ว จะไปค้นอะไรกันนักหนา   เมื่อถามว่า มีการมองว่าการกระทำดังกล่าวเหมือนไม่ให้เกียรติอดีต นายกฯ  พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ให้เกียรติมาโดยตลอด นี่ก็ให้เกียรติ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงทหารตรวจขบวนรถของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ จ.เชียงใหม่ว่า ไม่ได้ตรวจค้นหรือควบคุมตัว แต่เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัย ขอยืนยันเจ้าหน้าที่ไม่มีความคิดจะทำอย่างนั้น แต่การดำเนินการดังกล่าวเพราะกลัวมือที่สามจะมาทำให้เกิดความเสียหาย และถ้าหนักหนาอะไรตนจะพิจารณาอีกที   เมื่อถามว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์รู้สึกไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า  แม่ทัพภาคที่ 3 คงจะขยับขยายจุดตรวจ ดังกล่าวแล้ว จะติดตามดูอีกที ยืนยันไม่ใช่คำสั่งของคสช. เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ คสช.ดูแลในภาพรวม ตลอดจนการรักษาความปลอดภัยบุคคลระดับวีไอพี  (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)  
พล.ท.สาธิต  พิธรัตน์  แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ขอยืนยันว่าทหารไม่ได้ตรวจค้นรถของอดีตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพียงแต่ทางทหารของมณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33) ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยตั้งจุดตรวจจุดสกัดดูแลความมั่นคงเท่านั้น
พล.ต.ธนา จารุวัต โฆษกกองทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า การตรวจค้นรถของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และผู้ติดตาม เป็นการตั้งด่านลอยเพื่อตรวจค้นตามปกติ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคันเดียว ยอมรับว่าช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงค่อนข้างเข้มงวดเพื่อป้องกันการก่อเหตุวางระเบิดอย่างที่สยามพารากอน กรุงเทพฯ ได้ ดังนั้นทหารกองทัพภาคที่ 3 โดยมณฑลทหารบกที่ 33 กองพันทหารราบที่ 7 และกองพลพัฒนาที่ 3 จึงร่วมกับตำรวจ จ.เชียงใหม่ ตั้งด่านลอยในพื้นที่ถนนสายหลักหลายอำเภอของ จ.เชียงใหม่ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ตรวจค้นอาวุธและยาเสพติด ซึ่งเป็นการตั้งด่านตามปกติ
พล.ต.ศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 (ผบ.มทบ.33) กล่าวว่า ทหารไม่ได้ตรวจค้นรถ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพราะให้เกียรติ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยเมื่อเข้าพื้นที่ แต่ยอมรับว่ามีการตรวจค้นรถในขบวน แต่ไม่ได้แตะต้องรถอดีตนายกรัฐมนตรีเลย รวมทั้งการจัดรถทหารตามประกบก็เป็นเพียงการดูแลรักษาความปลอดภัยเมื่อมีบุคคลระดับวีไอพีเข้าพื้นที่เท่านั้น  (หนังสือพิมพ์มติชน)   
ปปช.ยื้ออีก คดีสลายม็อบ “99ศพ
นายปานเทพ  กล้าณรงค์ราญ  ประธานป.ป.ช.  กล่าวภายหลังการประชุมว่า  ที่ประชุมป.ป.ช.ยังไม่มีมติว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาคดีถอดถอนทั้งสามคนหรือไม่ เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ และยังมีกรณีต้องพิจารณาข้อกฎหมายตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 17 จึงให้เจ้าหน้าที่ไปสรุปสำนวนเสนอให้องค์คณะป.ป.ช. พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 24 ก.พ.นี้ เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ในวันที่ 26 ก.พ. ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญาการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.นั้น ขณะนี้ข้อมูลและ ข้อเท็จจริงยังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะนำมาพิจารณาได้ ต้องรอการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมก่อน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์ข่าวสด  วันที่ 11/02/2015
โผล่ไหว้บรรพบุรุษ ยิ่งลักษณ์เจอทหาร ตร.ค้นรถ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 10 ก.พ. น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร อดีตนายกฯ มีกำหนดการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยระหว่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมผู้ติดตาม นั่งรถโฟล์กตู้ ทะเบียน กธ 77 เชียงใหม่ เดินทางไปทำบุญ ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตั้งจุดตรวจที่บริเวณหน้าหมู่บ้าน และขอทำการตรวจค้นรถยนต์ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจเปิดกระจกให้ตรวจค้นแต่โดยดี หลังจากนั้น อดีตนายกฯเดินทางไปวัดโรงธรรมสามัคคีและเยี่ยมชมตลาดสันกำแพง โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตามประกบความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  วันที่ 11/02/2015
ชงปปง.เช็กบัญชีหัสดิน
พล.ต.ท.ประวุฒิ  ถาวรศิริ  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ตร.  กล่าวว่า   จากการสืบสวนทราบว่าเป็นหัวหน้าขบวนการที่ใหญ่ที่สุดในเครือข่ายบรรพต และเป็นผู้ใช้นามแฝง บรรพต จริงโดยเป็นการขยายผลจากที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายนี้ได้ 6 คน และทุกคนให้การยืนยันว่า นายหัสดิน  เป็นระดับผู้สั่งการ แต่ทางตำรวจยังไม่พบการกระทำผิดที่เชื่อมโยงกับกลุ่มใด  หลังจากนี้จะประสานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)  เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายดังกล่าว พร้อมทั้งติดตามผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน
อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  วันที่ 11/02/2015
นัดฟ้อง ยิ่งลักษณ์” 19 ก.พ.
นายปานเทพ  กล้าณรงค์ราญ  ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งหนังสือเรียกตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  อดีตนายกฯ ที่ถูกชี้มูลความผิดคดีอาญา กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวให้แก่อัยการสูงสุด (อสส.)  เพื่อดำเนินการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ในวันนี้ (10 ก.พ.)  เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์  เพื่อให้ไปรายงานตัวต่อ อสส. ในวันที่ 19 ก.พ. นี้ เวลา 10.00 น. เพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ

อ่านเพิ่มที่  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  วันที่ 11/02/2015

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูชัดๆ !! สตช.นำตัว "บรรพต" แถลงหลังถูกจับเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นสถาบัน เมื่อ 11 ก.พ.58



ดูชัดๆ !! สตช.นำตัว "บรรพต" แถลงหลังถูกจับเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นสถาบัน




โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติควบคุมตัว  "หัสดิน" หรือนามแฝงว่า "บรรพต" ผู้ต้องหาทำคลิปวิดีโอหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ในมาตรา 112  เข้ามาแถลงหลังถูกจับกุมเมื่อวานนี้

วันนี้  (11 ก.พ.58)   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ควบคุมตัว นายหัสดิน หรือผู้ใช้นามแฝงว่า บรรพต  ผู้ต้องหาฐานความผิดหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อแถลงความคืบหน้าของเครือข่ายบรรพตหลังที่ได้เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบันสูง

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ร่วมกันควบคุมตัวนายหัสดิน อุไรไพรวัน หรือนามแฝงบรรพต ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 112 ได้ที่โรงแรมเอ-วัน ย่านพระราม 9 แขวงบางกะปิ  เขตห้วยขวาง กทม.












'นรวิชญ์'ฉุน'ปู'ถูกคุกคามเสรีภาพ ชี้เหมือนควบคุมทางอ้อมวอนยุติ เมิื่อ 11 ก.พ.58



'นรวิชญ์'ฉุน'ปู'ถูกคุกคามเสรีภาพ ชี้เหมือนควบคุมทางอ้อมวอนยุติ
 
11 ก.พ. 58 นายนรวิชญ์  หล้าแหล่ง ทนายความ ของนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
ภายหลังที่ คสช. ไม่ได้อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปต่างประเทศตามคำขอแล้ว จึงได้เดินทางไปที่จ.เชียงใหม่ เพื่อทำบุญไหว้ บรรพบุรุษ แต่ในระหว่างการเดินทาง ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพภาคที่ ๓ และตำรวจหลายนาย เข้าทำการตรวจค้นรถยนต์ ของนส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะที่นั่งอยู่ในรถ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจตรวจค้นรถยนต์ได้ หลังจากนั้นแม้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไปที่ใดก็ตาม ในจ.เชียงใหม่ ก็จะสังเกตเห็นว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ได้คอยติดตามตลอดทั้งวัน และก่อนหน้านี้นั้นในช่วงเวลากลางคืน  ก็จะมีทหารมาเฝ้าหน้าบ้านพัก โดยนำรถทหารมาจอดในสนามหญ้า บริเวณหมู่บ้าน ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว แม้จะไม่เป็นการควบคุมตัวโดยตรง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการควบคุมตัวโดยทางอ้อมแล้ว อันเป็นการลิดรอนสิทธิความเป็นส่วนตัว และในขณะเดียวกันยังเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย อย่างไรก็ตามหากมีการดูแลวีไอพีตามที่ฝ่ายความมั่นคงได้ให้สัมภาษณ์เป็นข่าว นั้น ก็ขอให้ประสานงานโดยตรงเพื่อให้เกิดความสบายใจกันทั้งสองฝ่าย
 
นายนรวิชญ์ กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่มีการยึดอำนาจ และประกาศใช้กฎอัยการศึก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นลูกความของตน ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของ คสช. ด้วยดีตลอดมา ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศ หรือการเดินทางไปต่างประเทศ ไม่เคยทำอะไรให้เกิดความวุ่นวาย ในทางการเมืองแต่อย่างใด
 
นายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการฟ้องคดีที่ถูกกล่าวหาในโครงการรับจำนำข้าวเป็นที่ทราบกันดีว่า 
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.58   สำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงว่าจะใช้เวลาร่างฟ้องประมาณ 1 เดือน หรือจะฟ้องคดีไม่เกินเดือนมีนาคม 58 น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเข้าใจว่าในช่วงระหว่างวันที่ 10-21ก.พ. 58 สามารถที่จะใช้สิทธิและเสรีภาพในการเดินทางไปต่างประเทศได้ จึงได้ยื่นขออนุญาตเดินทางตามเงื่อนไขของ คสช. ประกอบกับสำนักงานอัยการสูงสุดเองก็แถลงชัดเจน แล้วว่า อัยการสูงสุดไม่มีอำนาจในการห้ามการเดินทาง เว้นแต่จะมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  ซึ่งก็เป็นอำนาจของศาลฎีกา ดังนั้นในขณะนี้จึงยังไม่ถึงขั้นตอนตามกฎหมายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องเดินทางไปศาล และในทางปฏิบัติที่ผ่านมาในการยื่นฟ้องคดี ของอัยการสูงสุด ก็ไม่เคยมีการนำตัวจำเลยมาพร้อมกับการยื่นคำฟ้องแต่อย่างใด  ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ผู้ดูแลงานฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลและ คสช. ก็ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องมาในวันที่อัยการยื่นฟ้อง” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวโดยทั่วไปเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว 
 
นายนรวิชญ์ กล่าวต่อว่า ในฐานะทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทหาร และตำรวจ ยุติการคุกคามสิทธิและเสรีภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่ได้รับการรับรอง คุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญ  และควรปล่อยให้คดีเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายต่อไป
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า 

"บิ๊กป้อม"เหน็บสื่อ"อย่ามโน"กระแส"ปู"ขอลี้ภัยไปสหรัฐฯ เมื่อ 11 ก.พ.58



"บิ๊กป้อม"เหน็บสื่อ"อย่ามโน"กระแส"ปู"ขอลี้ภัยไปสหรัฐฯ
 

"บิ๊กป้อม"เหน็บสื่อ"อย่ามโน"กระแส"ปู"ขอลี้ภัยไปสหรัฐฯ ชี้ค้นรถแค่รักษาความปลอดภัย

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าค้นรถส่วนตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า

เรื่องนี้ได้พูดกันไปหลายครั้งแล้วซึ่งไม่ได้มีอะไร และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้พูดไปแล้ว และยืนยันอีกครั้งว่าเป็นการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับวีไอพี่ทุกคนเพราะ บุคคลวีไอพีมีความสำคัญเราก็มีความกลัวกันว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งการดูแลกรักษาความปลอดภัยก็ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงน.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคน เดียวเจ้าหน้าพร้อมดูแลและให้ความปลอดภัยกับทุกคน
เมื่อถามว่าแสดงว่ากลัวว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวยอมรับว่า "ก็กลัวสิครับ กลัวทั้งนั้นกลัวทุกคนไม่อยากให้มีและเกิดเหตุอะไรขึ้น"

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่กระแสข่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอลี้ภัยทางการเมืองนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวปฏิเสธว่า "ไม่มี ผมไม่รู้ก็ต้องไปถามอดีตนายกฯ เองจะมาถามผมได้อย่างไร รอให้มันเกิดขึ้นมาก่อนค่อยมาถามคสช.ว่าจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไร สื่ออย่าเพิ่งมโนถามไปข้างหน้าก่อน" 

ต่อข้อถามว่าแล้วจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ก่อนถึงจะค่อยแก้ปัญหาหรือ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "โอ๊ย ไม่มีอะไรหรอกตอนนี้เราก็ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกๆ คน"

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

มท.1 ยันรบ.ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร เมื่อ 11 ก.พ.58



มท.1 ยันรบ.ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
 
‘บิ๊กป๊อก’ ชี้ รบ.ไม่เป็นศัตรูกับใคร กำชับข้าราชการมท.ต้องไม่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้ง พร้อมสั่งเร่งทำความเข้าใจปชช.ในการปฏิรูปกับปชช. ระบุ คงกฎอัยการศึก เพื่อดูแลสถานการณ์ ไม่ให้เกิดขัดแย้งรุนแรง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 11 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์  เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
เป็นประธานในการประชุมหารือข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่ว ประเทศ โดย พล.อ.อนุพงษ์  กล่าวว่า ได้เน้นย้ำถึงการแแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยให้ทุกจังหวัดสำรวจแหล่งน้ำและ พื้นที่เกษตรทั่วประเทศ  ทั้งนี้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งที่จะถึงนี้ สำหรับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับน้ำเพื่อการเพาะปลูกขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเอาใจใส่ดูแล ติดตามสถานการ์ให้ดี  นอกจากนี้ สำหรับการปราบปรามยาเสพติด ขอให้ผวจ.ใช้กลไกของฝ่ายปกครองดูแลโดยให้ท้องที่มีส่วนทำกิจกรรมรณรงค์ ส่วนปราบปรามให้ดำเนินการควบคู่ไปกับงานป้องกันการค้ามนุษย์ รวมถึงเรื่องแรงงาน การค้านประเวณี การขอทาน การย้ายถิ่นฐาน และยาเสพติด
พล.อ.อนุพงษ์  กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการสร้างความปรองดองในวันนี้ 11 ก.พ. จะมีการหารือกับหน่วยงานความมั่นคง ในช่วงบ่าย
ซึ่งตนขอย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นศัตรูกับฝ่ายใด เรามาช่วยทำงานให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ไม่ได้ต้องการอะไร ขออย่าเอาความเห็นต่างเป็นข้อขัดแย้ง โดยเฉพาะการเอาผลประโยชน์มาเป็นที่ตั้ง ขอให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยไม่ทำตัวเป็นผู้สร้างความขัดแย้ง ให้สร้างความเข้าใจ เพื่อลดความขัดแย้งรุนแรง และขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจ เรื่องการปฏิรูปกับประชาชน สำหรับการใช้กฎอัยการศึกที่รัฐบาลคงไว้ เพื่อเป็นมาตรการดูแลสถานการณ์ รัฐบาลไม่ได้ต้องการใช้ เพื่อทำให้เกิดมาตรการรุนแรง ซึ่งจะเห็นรัฐบาลไม่เคยออกกฎระเบียบอะไรออกมา. 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สาวเมาเจอด่าน-ไม่ยอมลง เจอลากรถมาโรงพัก เมื่อ 11 ก.พ.58



สาวเมาเจอด่าน-ไม่ยอมลง เจอลากรถมาโรงพัก
 
สาวขับรถเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ หนีเข้าซอย เจ้าหน้าที่เรียกเปิดกระจกกลิ่นเหล้าหึ่ง ปฎิเสธเป่าวัดความเมา ขังตัวในรถนาน 3 ชม. ตร.ต้องยกรถมาโรงพัก
เมื่อเวลา 02.30 น.วันที่ 11 ก.พ. ขณะที่ ร.ต.ท.รัฐกร โอษฐ์เจษฎา รองสว.จร.สน.บางโพงพาง 
พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.บางโพงพาง กำลังตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อยู่บริเวณถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ใกล้กับปากซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 แขวงช่องนนทรี เขตยานาวา กรุงเทพฯ พบหญิงรายหนึ่งทราบชื่อต่อมา คือ น.ส.ชุติมา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ชาวจ.นครพนม ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า บริโอ สีขาว หมายเลขทะเบียน 1 กอ-xxxx กทม. เลี้ยวเข้าซอยเพื่อเลี่ยงด่านตรวจ พร้อมทั้งพยายามจะขับผ่านเจ้าหน้าที่ที่กำลังตรวจรถคันอื่นอยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องไปเคาะกระจกให้หยุดรถ เพื่อขอตรวจใบอนุญาตขับขี่ บัตรประชาชน ปรากฏว่าภายในรถมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง จึงขอให้เป่าเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่น.ส.ชุติมาไม่ยอม ทั้งยังนั่งอบู่บนเบาะไม่ยอมลงจากรถ พร้อมกับต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่มีมารยาทที่ไปเคาะรถ
จนถึงเวลา 03.00 น.เจ้าหน้าที่จะเลิกตั้งด่านตรวจ จึงขอให้ น.ส.ชุติมา ลงมาจากรถแต่ก็ไม่เป็นผล 
จึงต้องใช้รถยกลากรถคันดังกล่าวมาไว้ที่ สน.บางโพงพาง เจ้าหน้าที่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลงจากรถ จนกระทั่งถึงเวลา 06.30 น. น.ส.ชุติมาถึงจะยอมลงมาพบกับพนักงานสอบสวน โดยให้การว่า ทำอาชีพขายของ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เพิ่งไปดื่มกับเพื่อนมา แต่คิดว่ายังสามารถขับรถได้ สาเหตุที่ไม่ยอมลงจากรถเนื่องจากแต่งตัวไม่เรียบร้อย และเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ส่วนใบขับขี่รถยนต์กับบัตรประชาชนนั้นไม่ได้เอามาเนื่องจากเปลี่ยนกระเป๋า ถือ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ขับรถยนต์ขณะมึนเมาสุราหรือเมาอย่างอื่น, ขับรถขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ, ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์, ไม่แสดงใบอนุญาตขับขี่และไม่แสดงบัตรประจำตัวประชาชน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เปิดประวัติ “บรรพต” ผู้ผลิตคลิปหมิ่น กว่า 400 ตอน เมื่อ 11 ก.พ.58



เปิดประวัติ “บรรพต” ผู้ผลิตคลิปหมิ่น กว่า 400 ตอน
 
เลวยันกระดูก!!! กับประวัติ บรรพต ผู้ผลิตคลิปหมิ่น กว่า 400 ตอนในอินเตอร์เน็ต 
สืบเนื่องจากในปัจจุบันได้มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นสื่อในการยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย และความเกลียดชังขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการหมิ่นสถาบันฯ
 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคง สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดดังกล่าวมาลงโทษตามกฎหมาย
จากความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและ หน่วยงานทหาร และหน่วยงานความมั่นคง ได้ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่า
กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” มีการร่วมกันกระทำความผิดเป็นเครือข่าย ที่มีลักษณะในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย และความเกลียดชังขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งในเครือข่ายนี้ได้แบ่งหน้าที่ในการดำเนินการอย่างเป็นขบวนการ ประกอบด้วย ผู้บงการ, ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยากร, ผู้ปฏิบัติการ, แนวร่วม และผู้แสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการจับกุมกลุ่มบุคคลที่อยู่ในส่วนผู้ปฏิบัติการ, แนวร่วม และผู้แสวงหาผลประโยชน์ ได้หลายราย ได้แก่
 - กลุ่มปฏิบัติการ ประกอบด้วย นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค, นางศิวาพร ปัญญา, นายเงินคูณ อุดมคุณากร, นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ ,นายสุรัช สมิตชาติ และนางอัญชัญ ปรีเลิศ
 - กลุ่มแนวร่วม ประกอบด้วย นายชโย อัญชลีพัชระ,นายราชกวี ปรางค์ชัยกุล, นายเฉลียว จันเขียด และนายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง
 - กลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ ได้แก่ นายธารา วานิชพงษ์พันธุ์
ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลจนสามารถทราบตัวบุคคลระดับ ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยาการ และจับกุมตัวผู้ต้องหาระดับ กลุ่มผู้ปฏิบัติการ ได้เพิ่มอีกจำนวน ๒ ราย ได้แก่
 ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยาการ
 ๑) ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “บรรพต” คือ นายหัสดิน อุไรไพรวัน จึงได้ดำเนินการออกหมายจับนายหัสดินฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ได้มีการสนธิกำลังกันระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ เข้าตรวจค้นบ้านที่นายหัสดินฯ หรือ บรรพต ใช้เป็นที่พักและที่ผลิตสื่อ ได้ตรวจพบทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสื่อที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค อุปกรณ์ การบันทึกเสียง เอกสารร่างเพื่อใช้ในการบันทึกเสียง เอกสารทางการเงิน เอกสารของกลุ่มเครือข่าย และแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมากที่นายหัสดินฯ หรือ บรรพต ใช้ทำสำเนา จำหน่ายให้กับกลุ่มแนวร่วมเมื่อเป็นทุนในการเคลื่อนไหว
ประวัติ “บรรพต”
 ผลการสืบสวนสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของบรรพต คือนายหัสดิน อุไรไพรวัน ซึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมิรซ์ และไม่ได้จบการศึกษาปริญญาใดๆ นอกจากการไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ เมื่อกลับมาได้เข้าทำงานที่โรงแรมวินเซอร์ และย้ายสถานที่ทำงานหลายครั้ง นายหัสดินได้ร่วมกับนางสายฝน อินทรสร ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง จัดตั้งบริษัท แต่ประสบขาดทุนจึงเลิกกิจการ ต่อมาเมื่อปี 2548 ได้ถูกฟ้องล้มละลาย นายหัสดินจึงไม่ได้ประกอบสัมมาชีพใดๆ นอกจากขอเงินจากบุตรทั้ง 3 คน ทั้งที่บุตรทั้งสามคนไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูจากนายหัสดินตั้งแต่ยังเยาว์วัยเลย ปล่อยให้ภรรยาเก่าเป็นผู้เลี้ยงดู ขณะที่นายหัสดินกลับใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ใช้ของราคาแพง เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมือง นายหัสดินเคยไปร่วมชุมนุมของกลุ่ม นปช. และมีความคิดต่อต้านสถาบันฯ จึงเลียนแบบการจัดรายการวิทยุของบุคคลต่างๆ อาศัยที่นายหัสดินเป็นผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา จึงนำข้อมูลต่างๆ มาเรียบเรียงและแต่งเรื่องเพิ่มเติมขึ้นใหม่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เพื่อให้มีเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจ แล้วชี้นำปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แสร้งทำเป็นบุคคลที่เทิดทูนต่อพระราชวงศ์บางพระองค์ เพื่อให้เกิดภาพว่าตนเองมีความจงรักภักดี แต่ที่แท้จริงนายหัสดินมีทัศนะที่ต้องการล้มล้างสถาบันหลักของชาติ การเผยแพร่คลิปเสียงจึงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและใช้เวลาหลายปีจนถึงปัจจุบัน
นายหัสดินอวดอ้างกับเครือข่ายว่า ตนเองใช้ชีวิตหรูหราเพราะมีพื้นฐานทางครอบครัว แต่ที่แท้จริงเป็นบุคคลล้มละลาย หย่าขาดกับภรรยาคนแรกกว่า 30 ปี เนื่องจากภรรยาจับได้ว่านายหัสดินมีภรรยาคนใหม่ และนายหัสดินยังมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคนเพื่อหลอกขอเงินใช้ตลอดมา รวมทั้งใช้ให้เครือข่ายตัวเองหลอกลวงบรรดาสมาชิก ให้หลงเชื่อ จัดทำสินค้า ยาดมสมุนไพรจำหน่าย เพื่อเอาเงินมาใช้ในการเช่าบ้านอยู่ และค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อสุราดื่มทุกวัน ทำให้นายหัสดินมีโรคประจำตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ต้องกินยาควบคุม และเป็นโรคปวดหลังต้องนอนกับพื้นห้อง ขณะที่นายหัสดินกลับโฆษณากับสมาชิกว่า สมุนไพรที่ตนเองแนะนำสามารถรักษาได้ทุกโรค
กลุ่มผู้ปฏิบัติการ
 ๑) น.ส. สายฝน อินทสร เป็นผู้ดำเนินการเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี แววทราย อินทสร เพื่อให้ผู้อื่นโอนเงินมาช่วยเหลือการกระทำผิด
 เป็นการสนับสนุนให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิดในการโพสต์คลิปเสียงชื่อว่า“บรรพต” (Banpodj) ทางเวปไซต์เฟสบุ๊กที่ใช้ ชื่อว่า “บรรพต” (Banpodj) มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันทำการอัพโหลดคลิปเสียง และโพสต์ต่อกันไปอีกหลายทอดในลักษณะของเครือข่ายกระจายกันออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ อันเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
 ๒) นายนที ผสมทรัพย์ เป็นผู้ส่งสินค้าและซีดีคลิปเสียงบรรพต โดยได้รับค่าจ้าง เป็นการ สนับสนุนให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิด ในการโพสต์คลิปเสียงชื่อว่า“บรรพต” (Banpodj) ทางเว็บไซต์เฟสบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” (Banpodj) มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาด ร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันทำการอัพโหลดคลิปเสียง และโพสต์ต่อกันไปอีกหลายทอดในลักษณะของเครือข่ายกระจายกันออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ อันเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการนำเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ทั้ง นางสาวสายฝนฯ และนายนทีฯ สองคนมีความผิดฐานสนับสนุน ผู้กระทำผิดกรณี หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และในวันที่ ๗ ก.พ.๒๕๕๘ ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้นำตัวไปศาลทหารเพื่อฝากขังเรียบร้อยแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า นายหัสดินมิได้เป็นบุคคลที่มีอุดมการณ์ หรือเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีเทิดทุนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามนายหัสดินเป็นบุคคลที่เป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่ใกล้ชิดและผู้ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ทั้งจากการบริจาคเงิน หรือการโพสต์แสดงความคิดเห็นสนับสนุน ซึ่งจะถือว่ามีความผิดในฐานะผู้ร่วมในเครือข่ายบรรพตด้วย
 ทั้งนี้ล่าสุด (9 ก.พ.) เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ยืนยันว่า ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายมั่นคงได้จับกุม นายหัสดิน อุไรไพรวัน เจ้าของนามแฝง “บรรพต” ผู้ต้องหาตามหมายจับคดี 112 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผลิตคลิปเสียงหมิ่นสถาบันเบื้องสูงได้แล้วที่โรงแรมเอวัน ย่านพระราม9 โดยจะนำตัวไปสอบสวนก่อนสืบหาผู้บงการต่อไป