วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

Wake Up Thailand ประจำวันที่ 1 เมษายน 2556 : แค่จะเข้า ม.1 ยังต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์




Wake Up Thailand ประจำวันที่ 1 เมษายน 2556 : แค่จะเข้า ม.1 ยังต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เรื่องเล่าเช้านี้ 1 เมษายน 2556 : ไฟไหม้ กองสืบสวน สระบุรี




เรื่องเล่าเช้านี้ 1 เมษายน 2556 : ไฟไหม้ กองสืบสวน สระบุรี

ตะลึง พบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ร้ายแรงกว่า"ซารส์" สังเวยไปแล้ว 11 ราย "ฮู"หวั่นระบาดทั่วโลก วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17:00:55 น.


ตะลึง พบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ร้ายแรงกว่า"ซารส์" สังเวยไปแล้ว 11 ราย "ฮู"หวั่นระบาดทั่วโลก

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17:00:55 น.



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ว่า ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า ขณะนี้มีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่ร้ายแรงกว่าโรคซาร์ส ที่เคยระบาดอย่างรุนแรงเมื่อปี 2003  โดยมีต้นกำเนิดในภูมิภาคตะวันออกกลาง และส่งผลให้มีชาวอังกฤษเสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย ในสภาพที่รุนแรงกว่าเชื้อโรคซาร์ส โดยเชื้่อดังกล่าวจะโจมตีระบบทางเดินหายใจ และแพร่ลามกระทบอวัยวะภายในต่าง ๆ ทำลายเซลล์และภูมิคุ้มกันต่างๆ และส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

รายงานระบุว่า จากการเปิดเผยขององค์การอนามัยโลกระบุว่า เชื้อดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย โดยหากไวรัสสายพันธุ์นี้ เกิดการกลายพันธ์ต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบเกิดภาวะระบาดจากคนสู่คนได้อย่างรุนแรง โดยไวรัสนี้ร้ายแรงกว่าซาร์สเพราะสามารถติดเชื้อในเซลล์หลายประเภทในร่างกายมนุษย์ และจะฆ่าเซลล์เหล่านี้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เชื้อไวรัสซาร์สจะทำลายเพียงบางเซลล์เท่านั้น

ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้อยู่ในสถานะ"เฝ้าระวัง"และได้เตือนภัยเชื้่อไวรัสนี้ตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว โดยการระบาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และล่าสุด ยังมีชายสูงวัยตะวันกลางอายุ 73 ปี เสียชีวิตเพราะไวรัสนี้ด้วย หลังจากส่งถูกตัวเข้าโรงพยาบาลในเมืองมิวนิคของเยอรมันเมื่อสัปดาห์ก่อน และเสียชีวิตเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่วนรายแรกที่ติดเชื้อ เชื่อว่าเป็นชาวกาตาร์ ที่เดินทางไปซาอุดิอาระเบีย และในปี 2012 ปรากฎว่า มีชาวซาอุฯติดเชื้อและเสียชีวิตเพราะไวรัสสายพันธุ์อันตรายนี้ 

ระทึก ชาวมะกันนับร้อย"แห่ไปตรวจเชื้อเอดส์ หลังรับบริการจากหมอฟันอันตรายเสี่ยงแพร่เชื้่อ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:00:38 น


ระทึก ชาวมะกันนับร้อย"แห่ไปตรวจเชื้อเอดส์ หลังรับบริการจากหมอฟันอันตรายเสี่ยงแพร่เชื้่อ

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:00:38 น



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ว่า ชาวเมืองทุลซ่า ในรัฐโอคลาโฮม่า ของสหรัฐ จำนวนกว่า 200 ราย ซึ่งเป็นคนไข้ของสถานบริการโรคฟันแห่งหนึ่ง ต่างรุดเดินทางไปตรวจว่า พวกเขาติดเชื้อเอดส์หรือไม่ ภายหลังมีการเปิดเผยว่า คลีนิกสาธารณสุขด้านทำฟันของนายแพทย์สก๊อต ฮาร์ริงตัน มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อเอดส์ให้แก่ผู้ให้บริการของคลีนิก ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นจำนวน 7,000 กว่าราย จากพฤติกรรมเสี่ยงใช้เข็มฉีดยาใช้แล้ว และเครื่องมือแพทย์ที่สกปรก

โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐพบว่า สถานบริการทำฟันของนายแพทย์ดังกล่าวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อเอดส์ต่อคนไข้ โดยพบมอร์ฟีนหมดอายุและสกปรก เครื่องมือแพทย์ที่เปื้อนฝุ่น ที่นำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีโรคติดเชื้อ ทำให้คนไข้กว่าเจ็ดพันคนเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับเอกสาร หรือไวรัสที่สามารถกลายเป็นเอดส์ได้ และสาธารณสุขได้เริ่มส่งจดหมายให้แก่อดีตคนไข้ของสถานทำฟันแห่งนี้ เตือนว่าพวกเขาอาจภัยเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพจากการรักษาฟันที่สถานทำฟันดังกล่าว

ตีความ...′เงินกู้2ล้านล.′ ขวากหนาม′รบ.ปู′ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:46:23 น.


ตีความ...′เงินกู้2ล้านล.′ ขวากหนาม′รบ.ปู′

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:46:23 น.



หมายเหตุ - มุมมองภายหลังร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... วงเงินกู้กว่า 2 ล้านล้านบาท ผ่านหลักการในวาระที่ 1 ซึ่งฝ่ายค้านเตรียมยื่นเรื่องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหลังจากที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาแล้ว

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ

จากกรณีล่าสุดที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ได้อ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 โดยนำรายชื่อ ส.ว. 43 คน และ ส.ส. 33 คน รวม 76 คน ร่วมกันเสนอความเห็นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้ส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (ซึ่งเป็นร่างกฎหมายคนละฉบับกับกรณีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แต่มีความเกี่ยวเนื่องกัน) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169, มาตรา 75 วรรค 1, มาตรา 78 วรรค 4 และ 5, มาตรา 84 วรรค 11, มาตรา 87 วรรค 1 2 และ 3 หรือไม่นั้น

ข้อสังเกตเบื้องต้น 1.กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว.มีสิทธิเสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้หรือไม่

หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 แล้ว เห็นว่าการเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายต่อประธานรัฐสภาเพื่อจะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้นั้น จะต้องเป็นกรณีของ "ร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯทรงลงพระปรมาภิไธย..." ดังนั้น สำหรับกรณีร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐนั้น เมื่อได้ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว จึงสามารถเสนอความเห็นเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ และถือเป็นกรณีที่กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว.ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่

สำหรับร่างกฎหมายอีกฉบับที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคมคือร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (วงเงิน 2 ล้านล้านบาท) อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาและการใช้เงินดังกล่าวย่อมต้องอาศัยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้วยนั้น ตราบใดที่รัฐสภายังไม่ได้เห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวสิทธิในการเสนอความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่เกิดขึ้น

ข้อน่าสนใจก็คือ หากมีผู้เร่งเสนอความเห็นไปก่อน จะเกิดปัญหาตามมาว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีแนวปฏิบัติอย่างไร ข้อน่ากังวลก็คือ หากศาล ′รับเอกสาร′ ความเห็นไว้ แต่ยังไม่มีคำสั่งรับหรือไม่รับคำร้อง และศาลรอจนรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมาย จากนั้นศาลจึงสั่งว่า ′รับคำร้อง′ หากศาลปฏิบัติเช่นนี้ จะเกิดสิ่งที่น่ากังวลในทางรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ศาลอาจลดทอนความสำคัญของการเจรจาในฝ่ายนิติบัญญัติ โดยทำให้ ส.ส. ส.ว.วางคำร้องไว้ล่วงหน้าและอาจทำให้ความพยายามในการพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายร่วมกันของรัฐสภามีความสำคัญน้อยลง ถือเป็นการบั่นทอนคุณค่าของฝ่ายนิติบัญญัติไปโดยปริยาย

ดังนั้น หากมี ส.ส. หรือ ส.ว.รายใดเร่งเสนอความเห็นกรณีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทก่อนจะมีการพิจารณาเสร็จสิ้นนั้น ประธานรัฐสภาย่อมไม่อาจส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และหากส่งไปศาลก็ควรมีคำสั่งไม่รับคำร้องในชั้นนี้

2.ศาลรัฐธรรมนูญสามารถนำ "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" มาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติได้หรือไม่ ในกรณีร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐนั้น กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว.เห็นว่ามีบางมาตราที่ขัดแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงควรวินิจฉัยว่ามีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี นักนิติศาสตร์หลายคนมีความเห็นตรงกันว่า บทบัญญัติในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" เป็นเพียง "เจตจำนงให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน" โดยบทบัญญัติเหล่านี้จะมีข้อความในเชิงนโยบายที่มีความหมายกว้างและเป็นการทั่วไป เช่น การใช้ถ้อยคำว่า "รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" หรือ "สนับสนุนให้มีการใช้หลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการประกอบกิจการ" หรือ "ดำเนินการให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม" ไม่อาจชี้ได้ชัดในทางกฎหมายว่าสิ่งใดขัดแย้งต่อข้อความเหล่านี้หรือไม่

ดังนั้น การจะพิจารณาว่าสิ่งใดขัดแย้งต่อ "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" หรือไม่นั้น จึงต้องอาศัยกลไกการตรวจสอบทางการเมืองเป็นการเฉพาะ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และชี้แจงให้ชัดแจ้งว่าจะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครั้ง

น่าสังเกตว่า เคยมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันบางท่านที่เคยเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนในทำนองที่เข้าใจได้ว่าศาลสามารถนำบทบัญญัติในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" มาเป็นประเด็นวินิจฉัยคดีได้ หากศาลทำเช่นนั้นจริง จะทำให้ศาลมีอำนาจมหาศาลสามารถยกบทบัญญัติที่มีความกว้างและเป็นการทั่วไปมาวินิจฉัยได้จนรัฐสภาไม่อาจคาดการณ์ได้เลยว่าจะ ′เดาใจ′ ศาลอย่างไร ว่ากฎหมายฉบับใดจะดีพอในสายตาของศาลหรือไม่ อันอาจจะทำให้เกิดการขยายอำนาจตุลาการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้มีการปรับแก้ภาษาบางช่วงบางตอนของหมวดดังกล่าวให้เป็นภาษาที่มีลักษณะบังคับและมีเนื้อหาเจาะจง เช่น รัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (11) (ซึ่งกลุ่ม ส.ส. และ ส.ว.ได้ยกขึ้นอ้างในกรณีด้วย) ที่บัญญัติว่า

"การดำเนินการใดที่เป็นเหตุให้โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน หรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด จะกระทำมิได้"

ภาษาลักษณะบังคับเจาะจงเช่นนี้ ไม่ปรากฏมาก่อนในหมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ของรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา และย่อมทำให้เกิดความสับสนว่า ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ แต่ในหลักการแล้วภาษาลักษณะบังคับเจาะจงเช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้ว่ามุ่งหมายให้รัฐสภาตรวจสอบการตรากฎหมายและนโยบายของคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น แต่มิได้มุ่งหมายให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้แต่อย่างใด

3.ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด

อีกประเด็นสำคัญที่กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว.ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้ตราขึ้นโดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 หรือไม่นั้น นับว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและถกเถียงได้ โดยในทางหนึ่งอาจมีผู้มองว่า มาตรา 169 เป็นบทบัญญัติที่วางเงื่อนไขเกี่ยวกับการตรากฎหมายการเงินการคลังอย่างเฉพาะเจาะจง ต่างจาก "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ซึ่งศาลย่อมสามารถนำมาพิจารณาเกี่ยวกับร่างกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินแผ่นดิน และย่อมเป็นการดีที่กลุ่ม 76 ส.ส. ส.ว.ได้พยายามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการตรากฎหมาย

ในอีกทางหนึ่ง อาจมีผู้มองว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมิได้มีสาระเป็นการจ่ายเงินแผ่นดิน เพียงแต่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจ่ายเงินแผ่นดิน จึงมิได้เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขในการตรากฎหมาย หากแต่เป็นเรื่องการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น หากจะมีประเด็นกฎหมายต้องวินิจฉัย ก็ย่อมไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อาจเป็นกรณีเขตอำนาจของศาลหรือองค์กรอิสระอื่นที่มีอำนาจตรวจสอบว่าการจ่ายเงินแผ่นดินนั้นชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่มีการทุจริตหรือไม่

ฉันใดก็ฉันนั้น หากในอนาคตจะมีการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกรณีร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ศาลย่อมต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง และพึงระลึกว่า คำว่า "วินัยการเงินการคลัง" หรือคำอื่นๆ ที่มีความหมายกว้างและทั่วไปนั้น อาจมิได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลที่จะรับพิจารณาได้เสมอไป

แน่นอนว่าการตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ล้วนสำคัญยิ่ง แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพึงระวังไม่ขยายอำนาจของตนจนไปกระทบดุลพินิจทางการเมืองของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ตลอดจนไม่ไปก้าวก่ายกระบวนการตรวจสอบของศาลอื่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นด้วย มิเช่นนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็จะตอกย้ำความเป็น "องค์กรภิรัฐธรรมนูญ" ที่ยกตนให้อยู่เหนือหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอันเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะนำความเสื่อมกลับมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญเองในที่สุด


วราเทพ รัตนากรรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 
ต้องยืนยันอีกครั้งว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดทุกอย่าง ส่วนที่มีผู้จะไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญคงจะได้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมากับการวินิจฉัยในเรื่องนี้ สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน โดยไม่ใช้เงินในงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ประชาชนสงสัย ก็ต้องขอชี้แจงว่า หากเกิดความผันผวนทางการเมืองก็อาจทำให้การนำเงินไปใช้สะดุดลงได้ และงบประมาณรายจ่ายประจำปียังต้องมีการลงทุนในด้านอื่นๆ อีก เช่น การศึกษา การพัฒนาคน ดังนั้น การออก พ.ร.บ.กู้เงินจะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และมั่นใจได้ว่าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะได้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการออกพระราชบัญญัตินี้เป็นการตีเช็คเปล่า คงต้องยืนยันว่าไม่ได้เป็นการตีเช็คเปล่า เพราะที่ผ่านมาการออกพระราชกำหนดแต่ละครั้ง มีเพียงเอกสารที่เรียกว่าเป็นมาตราและไม่มีโครงการรายละเอียดใดๆ ให้สภาพิจารณาเลย การที่รัฐบาลเลือกที่จะออกมาเป็นพระราชบัญญัติ เพราะรัฐบาลเห็นปัญหาแล้วว่าสภานี้รับไม่ได้กับการที่จะไปขออนุมัติขอเงินกู้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงเลือกที่จะออกมาเป็นพระราชบัญญัติ เพื่อที่จะให้สภาได้พิจารณาในรายละเอียด และมีการแปรญัตติได้ก่อนที่จะให้ความเห็นชอบได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน การที่รัฐบาลทำบัญชีแนบท้ายเข้าไปนั้นเป็นหลักประกันว่าการจะแก้ไขใดๆ โดยรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารนี้ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้เรากำหนดยุทธศาสตร์ว่าแผนงานที่จะดำเนินการ คือเรื่องของการคมนาคมขนส่ง และการคมนาคมขนส่งระบุชัดเจนว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้นในอนาคตใครก็ตามเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจ เลือกโครงการนี้เข้า โครงการนั้นออก คิดว่าประชาชนหรือว่าสภาที่มีเอกสารโครงการทั้งหมดก็คงไม่ยอมปล่อยให้ไปดำเนินการอย่างไรตามใจชอบอย่างแน่นอน

สำหรับขั้นตอนภายหลังจาก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทผ่านวาระแรกไปแล้ว ในชั้นกรรมาธิการการแปรญัตติก็สามารถดำเนินการได้ตามปกติเหมือนกับกฎหมายอื่นๆ ทั่วไป แต่ทั้งนี้จะต้องเสนอความเห็นกับสภาผู้แทนราษฎรว่ามีเหตุและมีผลอย่างไรในการแปรญัตติ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเห็นด้วย เป็นไปตามข้อเสนอของผู้แปรญัตตินั้น แต่ถ้าไม่เห็นด้วย กลับไปเป็นตามร่างเดิม ส่วนประเด็นเรื่องความโปร่งใสของการเบิกจ่ายเงินในโครงการ 2 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้คำนึงถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการประกาศราคากลาง อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้ย้ำในความโปร่งใสอย่างต่อเนื่อง จะมีการวัดผลของโครงการ โดยแต่ละหน่วยงานจะต้องเสนอเรื่องเสนอโครงการต่างๆ และเมื่อสิ้นปีงบประมาณจะต้องรายงานผลต่อสภาทุกปี ทำให้มีการตรวจสอบต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะกรรมาธิการสามารถเรียกตรวจสอบได้ทุกคณะอยู่แล้ว ส่วนหลายฝ่ายเกรงว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวจะสร้างหนี้ให้ประชาชนในอีก 50 ปีนั้น อยากให้ดูทั้ง 2 ด้าน โดยเฉพาะระบบการขนส่งถือว่าเป็นทรัพย์สินที่จะสร้างรายได้ด้วย รัฐบาลไม่ได้กู้เงินมาแจก แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วทรัพย์สินจะอยู่กับประเทศเป็นร้อยๆ ปี สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศเป็นอย่างมาก


(ที่มา:มติชนรายวัน 31 มีนาคม 2556)

"สุริยะใส" จ่อชงป.ป.ช. เอาผิดครม.-ส.ส.โหวตหนุนร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ยันขัดรธน. วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17:23:00 น.


"สุริยะใส" จ่อชงป.ป.ช. เอาผิดครม.-ส.ส.โหวตหนุนร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ยันขัดรธน.

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17:23:00 น.


วันที่ 31 มี.ค. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ระบุถึงร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านว่า เป็นร่างที่จงใจละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในสัปดาห์นี้ กลุ่มกรีนจะร่วมกับหลายองค์ก ยื่นเรื่องให้ผู้ตรววจการแผ่นดิน เพื่อพิจารณานำเรื่องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว และอาจจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนเอาผิดกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ส.ส.ทั้ง 284 คน ที่ยกมือสนับสนุนผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ กลุ่มกรีนเตรียมทำสมุดปกดำ เปิดโปงวาระซ่อนเร้นเงินกู้ 2 ล้านล้าน กับแผนกินรวบประเทศไทย เพื่อแจกจ่ายประชาชนให้รู้เท่าทันในวงกว้าง พร้อมกับทำจดหมายเปิดผนึกถึงภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย เพื่อขอทราบจุดยืนที่ชัดเจน ต่อประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือมีมาตรการตรวจสอบและป้องกันเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทอย่างไร ซึ่งการบอกว่าจะไม่มีการทุจริตในโครงการต่างๆ แม้เป็นเรื่องที่ดูดี แต่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

หนุ่มวัย 18 ปี หวังข่มขืนสาวรุ่นพี่แต่ไม่สำเร็จ ตัดสินใจกดหัวจมน้ำดับ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:49:49 น.




หนุ่มวัย 18 ปี หวังข่มขืนสาวรุ่นพี่แต่ไม่สำเร็จ ตัดสินใจกดหัวจมน้ำดับ

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:49:49 น.
  

วันที่ 31 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.วสันต์ ปทุมภักดิ์ พงส.ผนพ.สภ.เสลภูมิ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุหญิงสาวถูกฆ่าตกรรม บริเวณร่องน้ำข้างถนนสายเสลภูมิ-โพนทอง ใกล้ปากทางเข้าบ้านหนองสิม ต.นาแซง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด จึงไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.อ.สามารถ แก้วเนตร ผกก.สภ.เสลภูมิ พ.ต.ท.ภูมิวิทย์ เวชกามา รอง ผกก.ป.สภ.เสลภูมิ พ.ต.ท.ธีรเชษฐ์ กำทรัพย์ หน.พงส.สภ.เสลภูมิ พร้อมด้วยกำลังชุดสืบสวน และหน่วยกู้ชีพ ที่บริเวณร่องน้ำข้างถนนพบร่างนางฉวี มุงโพธิ์ อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 13 หมู่ที่ 3 ต.นาแซง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด นอนเสียชีวิตในสภาพสวมเสื้อยืดแขนสั้นลายดอก ผ้าถุงมีสายรัดคล้ายกระโปรง เสียชีวิตจมอยู่ในโคลน ลำคอมีรอยข่วน เบ้าตาช้ำ ไม่พบร่องรอยถูกข่มขืน คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ ใกล้ที่เกิดเหตุพบรอยลากจากศาลาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานและติดตามหาข้อมูล

ต่อมาพบผู้ต้องสงสัย เนื่องจากมีผู้แจ้งว่าที่จักรยานยนต์มีรอยเปื้อนโคลน ทราบชื่อผู้ต้องสงสัยต่อมาคือ นายเอ (สงวนนามสกุล) อายุ 18 ปี ชาวต.โนนชัยศรี อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุตนและผู้ตายได้ดื่มสุราด้วยกันในหมู่บ้าน กระทั่งดึกผู้ตายจึงขอตัวกลับบ้านตนจึงไปส่งโดยขี่จักรยานยนต์คนละคัน พอมาถึงที่เกิดเหตุเป็นศาลาจึงบอกให้ผู้ตายหยุดนั่งคุยกันก่อน คุยไปคุยมาถูกคอกันตนจึงเข้าโอบกอดด้วยอารมณ์เปลี่ยว แต่ผู้ตายขัดขืนทำให้ตนโมโห ก่อนจะใช้กำลังปล้ำแล้วลากลงจากศาลาหวังจะข่มขืนแต่ผู้ตายไม่ยอม จึงตัดสินใจกดหัวลงน้ำจนแน่นิ่ง ก่อนหนีไป เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาต่อไป

พี่สาววัย 14 ช่วยน้องวัย 9 ขวบจมน้ำดับทั้งคู่ เมื่อ 31 มี.ค.56



พี่สาววัย 14 ช่วยน้องวัย 9 ขวบจมน้ำดับทั้งคู่
 
ภาพจาก เดลินิวส์
ภาพจาก เดลินิวส์

เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (31 มี.ค.) ร.ต.อ.ศักดิ์อนันต์ ด้วงโยธา พนักงานสอบสวน สภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุเด็กจมน้ำหายไปในคลองพุนพิน  พื้นที่หมู่ 5 เขตเทศบาลเมืองท่าข้าม จึงรายงานผู้บังคับบัญชา พร้อมประสานนักประดาน้ำ มูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี เข้าให้การช่วยเหลือ
ที่เกิดเหตุเป็นคลองขนาดใหญ่ ติดกับหมู่บ้านสายน้ำผึ้ง สอบถามเบื้องต้นทราบว่า มีเด็กผู้หญิง 2 คน จมหายไปขณะลงไปเล่นน้ำในคลองกับเพื่อน ๆ อีก 3 คน นักประดาน้ำจึงได้ทำการค้นหา ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นคุ้งน้ำ และมีกระแสน้ำวนลักษระเป็นแอ่งก้นกระทะ โดยนักประดาน้ำจำนวน 5 คน ได้ดำน้ำลงไปค้นหา  ท่ามกลางญาติ ๆ และเพื่อนบ้านที่มาเฝ้ารอการค้นหาด้วยความกระวนกระวาย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็พบร่างผู้เสียชีวิตอยู่บริเ0วณแอ่งกระทะ ห่างจากจุดที่ลงไปเล่นน้ำประมาณ 50 เมตร ทราบชื่อต่อมาคือ ด.ญ.ญาสุมินทร์ อินทร์ดำ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนพุนพินพิทยาคม และ ด.ญ.กัญญาณัฐ อินทร์ดำ อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนเทศบาล เมืองท่าข้าม 5

สอบสวนนายสุริยา อิทร์ดำ อายุ 37 ปี และ นางสุภาวดี อายุ 35 ปี พ่อและแม่ของเด็กที่เสียชีวิตทราบว่า มีอาชีพรับเหมาก่อสร้างตนและภรรยามีลูกด้วยกัน 5 คน ที่เสียชีวิตเป็นบุตรสาวคนโต และคนรอง โดยได้มาเช่าบ้านในหมู่บ้านสายน้ำผึ้ง ซึ่งอยู่ติดกับคลองพุนพิน ตามปกติลูกๆ ไม่เคยลงไปเล่นน้ำในคลองแม้แต่ครั้งเดียวเนื่องจากว่ายน้ำไม่เป็น และก่อนเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้าตนได้ออกไปทำงาน ส่วนภรรยาก็ออกไปขายของ ปล่อยให้บุตรสาวคนโต คือ ด.ญ.ญาสุมินทร์ ซึ่งอยู่ระหว่างปิดภาคเรียน เลี้ยงน้องอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งได้รับแจ้งจากเพื่อนบ้านว่าลูกๆตกน้ำ
ขณะที่เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ แจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุเห็น ด.ญ.กัญญาณัฐ พร้อมเพื่อน ๆ อีก 4-5 คนไปเที่ยวเล่นอยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่ริมคลอง โดยไม่มีใครคาดคิดว่าเด็ก ๆ จะลงไปเล่นน้ำ จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องโวยวายว่า ด.ญ.กัญญาณัฐ ตกน้ำ แต่เมื่อเพื่อนบ้านจะเข้าไปช่วยกลับเห็น ด.ญ.ญาสุมินทร์ ได้พยายายามเข้าไปช่วยน้องที่กำลังตกน้ำและพากันจมหายไปดังกล่าว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไฟไหม้รถตู้หวิดย่างสด4ชีวิต เมื่อ 31 มี.ค.56



ไฟไหม้รถตู้หวิดย่างสด4ชีวิต
 
ภาพจาก คมชัดลึก
ภาพจาก คมชัดลึก

หนุ่มเมืองกรุงฯ ขับรถตู้ไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ระหว่างทางเกิดไฟลุกไหม้กระทันหัน จนหวิดย่างสด 4 ชีวิต คาดสาเหตุน่าจะมาจากคอมแอร์ ทีี่เพิ่งไปเปลี่ยนมา


          
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 31 มี.ค.56 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีเหตุเพลิงลุกไหม้รถตู้ เหตุเกิดบนถนนสายเอเชียขาขึ้นนครสวรรค์ หลักกิโลเมตรที่ 52-53 หมู่2 ต.ตลาดกรวด อ.เมือง จ.อ่างทอง หลังรับแจ้งเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยรถดับเพลิงจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านอิฐ เมื่อไปถึงพบเพลิงกำลังลุกไหม้รถตู้ ยี่ห้อโฟล์ก สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ภม-4717 กรุงเทพ อย่างรุนแรง โดยระหว่างที่เพลิงลุกไหม้มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ
          
จากการสอบถามนายอาทิตย์ ทองวชิระ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 161/1 ซ.จรัญสนิทวงษ์ 63 แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. ทราบว่า ได้เดินทางออกจากบ้านพักที่กรุงเทพ พร้อมด้วยน้องชาย ภรรยา และลูก เพื่อจะไปเยี่ยมบิดาที่ป่วย อยู่ในห้องไอซียูที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ระหว่างที่ขับรถมารู้สึกเหมือนแอร์รถยนต์จะมีปัญหา กระทั่งขับมาถึงที่เกิดเหตุแอร์มีกลิ่นเหม็นไหม้ จากนั้นก็มีควันพวยพุ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บริเวณข้างทางเป็นร้านซ่อมแอร์รถยนต์พอดี ดังนั้น จึงพยายามขับรถเข้าไปในร้านดังกล่าว แต่พักเดียวไฟก็ลุกขึ้นทันที ตนพร้อมด้วยญาติๆ จึงรีบวิ่งลงมาจากรถ แล้วรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือ
          
นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนเพิ่งไปเปลี่ยนคอมแอร์ที่ร้านแห่งหนึ่งแถวบ้านในกรุงเทพฯ ซึ่งร้านดังกล่าวก็เคยเปลี่ยนพัดลมแอร์มาให้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ใส่พัดลมกลับด้าน เบื้องต้นคาดว่า สาเหตุที่เกิดไฟลุกไหม้น่าจะมาจากที่ไปเปลี่ยนคอมแอร์มา โดยไฟได้ลุกลามไปติดระบบแก๊สของรถ ซึ่งตนได้ติดตั้งแก๊ส LPG มา จนทำให้ไฟลุกไหม้รถทั้งคันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่ตนและญาติๆ รวม 4 ชีวิต สามารถหลบหนีออกมาได้ทัน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มติ'ปชป.'ไม่รับร่างแก้ไขรธน.ทั้ง3ฉบับเมื่อ 31 มี.ค.56



มติ'ปชป.'ไม่รับร่างแก้ไขรธน.ทั้ง3ฉบับ
 
ภาพจาก คมชัดลึก
ภาพจาก คมชัดลึก

'ปชป.' มีมติไม่รับร่างแก้ไขรธน.รายมาตรา ทั้ง 3 ฉบับ ชี้ 'จำกัดสิทธิประชาชน-หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ'



31 มี.ค. 56  นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือ ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่จะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ฉบับ ในวันที่ 1 ถึง 3 เม.ย. นี้ โดยที่ประชุมได้มีมติสอดคล้องกับมติที่ประชุมพรรคฝ่ายค้าน โดยยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่รับหลักการร่างทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กำชับ ส.ส.ทุกคนว่า ให้อภิปรายอย่างชัดเจนถึงเหตุผลว่าการแก้ไขรัฐธรรมจะสร้างความเสียหายอย่างไร เช่นการที่รัฐบาลจะแก้ไขมาตรา 68 นั้น ถือเป็นการลดอำนาจของประชาชน ที่ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า ถือเป็นสิทธิชอบธรรมในการตรวจสอบพรรคการเมือง ที่สามารถยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้  พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะตัดสิทธิของประชาชน
                        
 นายชวนนท์กล่าวต่อว่า หรือการแก้ไขมาตรา 190 ที่พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่เป็นรัฐบาลเคยแก้ไขมาแล้ว ซึ่งเป็นการแก้ไขเพื่อให้มาตรานี้มีความกระชับและการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่การที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแก้ไขมาตรา 190 โดยตัดคำว่า “อำนาจอธิปไตยนอกอาณาเขต” ออกนั้น แสดงให้เห็นว่า หากรัฐบาลมีการร่วมลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่จะเป็นต้องผ่านร่างให้สภาเห็นชอบ หรือเปิดเผยต่อประชาชน รวมทั้งการรัฐบาลจะตัดคำว่า “หนังสือสนธิสัญญาที่มีผลต่อการกระทำด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง” ออกนั้น เท่ากับว่ารัฐบาลจงใจปิดหูปิดตาประชาชน เพราะหากตัดคำดังกล่าวออกนั้น รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องนำหนังสือสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับใด ให้สภารับทราบอีกต่อไป
                         
นายชวนนท์ กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขมาตรา 237 แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค แต่การที่รัฐบาลจะแก้ไขโดยไม่ให้เอาผิดกับกรรมการบริหารพรรค หรือหากสมาชิกกระทำผิดก็จะไม่เชื่อมโยงไปสู่โทษการยุบพรรค ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า กรรมการบริหารพรรคต้องมีส่วนรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการทุจริตในการเลือกตั้ง หรือการซื้อขายเสียง และการเมืองไทยจะกลับไปสู่วังวนเดิม
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

พ่อตากระหน่ำยิงลูกเขยกับพ่อดับคาโรงพัก-หลังถูกตามมาชกขณะแจ้งความคดีทำร้ายร่างกาย เมื่อ 31 มี.ค.56



พ่อตากระหน่ำยิงลูกเขยกับพ่อดับคาโรงพัก-หลังถูกตามมาชกขณะแจ้งความคดีทำร้ายร่างกาย
 
ภาพจากข่าวสด
ภาพจากข่าวสด

เมื่อ 31 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุชาวบ้านทะเลาะวิวาทและยิงกันบริเวณหน้าโรงพักใกล้กับประตูทางเข้าห้องพนักงานสอบและห้องของผู้กำกับ สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา ท่ามกลางสายตาของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในโรงพัก โดยหลังเกิดเหตุ ร.ต.ต.สุวิชา ปราบณรงค์ ร้อยเวร พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก ศรีคำอ้าย  ผกก. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตภูมิ ที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้าไปควบคุมเหตุการณ์ 

โดยจุดเกิดเหตุ พบร่างของผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 คนนอนจมกองเลือดอยู่หน้าสถานีตำรวจ คือ นายพิศ ทองรุจิ อายุ 50 ปี และนายภัสกร ทองรุจิ อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นพ่อลูกกัน จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลรัตภูมิ แต่เนื่องจากอาการสาหัสกระสุนถูกเข้าจุดสำคัญ แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยนายพิศ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม.เข้าที่ลำตัว จำนวน 2 นัด ส่วน นายภัสกร ลูกชาย ถูกยิงเข้าบริเวณลำตัว จำนวน 6 นัด  

ในที่เกิดเหตุยังพบปลอกกระสุนปืน 9 มม.ตกอยู่ จำนวน 8 ปลอก และหัวกระสุนปืนอีก 2 หัวและซองใส่ปืนอีก จำนวน 1 ซอง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนมือปืนที่ก่อเหตุคือ นายเจริญ ธรรมราช อายุ 60 ปี อดีตตำรวจที่ถูกให้ออกจากราชการ หลังก่อเหตุได้ยอมมอบตัวกับตำรวจแต่โดยดีพร้อมอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมได้ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 

โดยนายเจริญ มือปืนที่ก่อเหตุนั้นนอกจากเคยเป็นอดีตตำรวจแล้วยังเคยเป็นอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.5 ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ ซึ่งคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมีสายสัมพันธ์เป็นดองกัน โดยนายเจริญ มีศักดิ์เป็นพ่อตาของ นายภัสกร ที่ถูกยิงเสียชีวิตโดยแต่งงานอยู่กินกับลูกสาวจนมีลูกด้วยกัน 1 คน 

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายเจริญ ได้พา นายสถาพร ธรรมราช อายุ 21 ปี ลูกชาย มาแจ้งความที่ สภ.รัตภูมิ เนื่องจากถูกนายภัสกร ลูกเขย ทำร้ายร่างกายโดยตีด้วยค้อนเข้าที่ศรีษะจนเลือดอาบหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเกี่ยวกับปัญหารถจักรยานยนต์ที่นายภัสกร ยืมไป  เมื่อแจ้งความเสร็จ จึงได้ออกมายืนอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ เพื่อรอเดินทางไปโรงพยาบาลรัตภูมิระหว่างนั้น นายพิศ ก็ได้พา นายภัสกร มาที่สถานีตำรวจเช่นกันเพื่อแจ้งความฐานถูกทำลายทรัพย์สิน

ทั้งสองฝ่ายจึงได้เกิดมีปากเสียงกันอีกครั้ง  นายพิศ และนายภัสกร ลูกชาย จึงได้เข้าไปชกต่อยนายเจริญ และนายสถาพร  เมื่อถูกชกนายเจริญ ชักอาวุธปืนที่พกมากระหน่ำยิงใส่ในระยะเผาขนจนหมดแม็กกาซีนต่อหน้าต่อตาตำรวจและชาวบ้านที่อยู่ภายในโรงพัก ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ตำรวจไม่ทันได้เข้าไปแยก 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

หนุ่มเครียดหึงหวงเมียสาว-เมาไปปรึกษาแม่โดนด่าซ้ำ-จ้วงแทงแม่แท้ๆ ดับสยอง เมื่อ 31 มี.ค.56



หนุ่มเครียดหึงหวงเมียสาว-เมาไปปรึกษาแม่โดนด่าซ้ำ-จ้วงแทงแม่แท้ๆ ดับสยอง
 
หนุ่มเครียดหึงหวงเมียสาว-เมาไปปรึกษาแม่โดนด่าซ้ำ-จ้วงแทงแม่แท้ๆ ดับสยอง
หนุ่มช่างเชื่อม โครงเหล็ก เกิดอาการเครียดเมื่อเมียรักที่เพิ่งอยู่กินด้วยกันได้เพียงเดือนเดียว เริ่มตีตัวออกห่าง ไปปรึกษาแม่ก็ถูกแม่ด่าว่าทำตัวไม่เอาไหน เลยกลับไปกินเหล้าแก้เครียด เมาได้ที่กลับไปหาแม่อีกรอบ คราวนี้ทะเลาะกันรุนแรง ฝ่ายแม่กำลังทำกับข้าวในครัว ลูกชายคว้ามีดปลายแหลมจ้วงแทงไปที่แผ่นหลัง 3 ที คมมีดเจาะชายโครงทะลุปอด อาการสาหัสไปเสียชีวิตที่ ร.พ. เผยลูกชายรายนี้หลังก่อเหตุฆ่าบุพการี ได้ว่าจ้างรถสามล้อไปหาหัวหน้างานอีกคนที่คิดว่าเป็นชู้กับเมีย เพื่อแก้แค้นแต่ถูกตำรวจตามรวบไว้ได้เสียก่อน รับสิ้นทะเลาะกับแม่มาตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม เคยทะเลาะทุบตีแม่จนต้องขึ้นโรงพักมาแล้วหลายรอบ จนล่าสุดดื่มหนักไปหน่อย พร้อมทั้งอารมณ์เครียดหึงหวงเมียสาว เลยจ้วงแทงแม่จนเสียชีวิต

เมื่อ เวลา 11.10 น. วันที่ 31 มี.ค. ที่ชุดสืบสวนพิรุณ พ.ต.อ.สุรินทร์ ชัยชมพู รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.โกวิท เจริญวัฒนศักดิ์ ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ท.ขจรฤทธิ์ วงษ์ราช รอง ผกก.สส.ฯ พ.ต.ท.ประเสริฐ ธรรมชัย สว.สส.ฯ ร.ต.อ.สุรพัศ เพ็ญศรี ร.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาฆ่าบุพการี แม่แท้ๆของตัวเอง ผู้ต้องหาคือนายวัชระ หรือตั้ม อินตระกูล อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 61 ม.11 บ้านข้องโป้ ต.บ้านขาม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู พร้อมด้วยมีดทำครัวยาวประมาณ 25 ซม.จำนวน 1 เล่ม หลังก่อเหตุจ้วงแทงบริเวณแผ่นหลัง ชายโครงขวา แขนขวา ของนางลำปรางค์ สีม่วง อายุ 41 ปี แม่แท้ๆจนเสียชีวิต

ทั้งนี้สืบเนื่อง จากเมื่อช่วงเวลาประมาณ 19.25 น.วันที่ 30 มี.ค.56 พ.ต.ท.สิงหราช แก้วเกิดมี นายร้อยเวร สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งมีเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างแม่กับลูกมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ห้อง เช่าไม่มีเลขที่ข้างวัดบ้านถ่อน ซ.สุวรรณชาติ 1 ถ.อุดร-กุดจับ ต.บ้านเลื่อม จึงได้พร้อมด้วยหน่วยกู้ชีพ ร.พ.ศูนย์อุดรธานี มูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี และกำลังจำนวนหนึ่งรุดไปที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บนอนจมกองเลือดอยู่ข้างๆห้อง ครัว ทราบชื่อคือนางลำปรางค์ สีม่วง อายุ 41 ปี มีบาดแผลถูกแทงเข้าที่กลางหลังแผลยาวประมาณ 5 ซม. ที่ชายโครงขวาแผลกว้างประมาณ 10 ซม.ลึกมากและที่ต้นแขนขวาแผลกว้างประมาณ 15 ซม. หน่วยกู้ชีพได้รีบนำตัวส่งร.พ.ศูนย์อุดรธานี และหลังจากปฐมพยาบาลห้ามเลือดและเตรียมเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน นางลำปรางค์ ทนพิษบาดแผลไหวได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบ สวนในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่นางลำปรางค์ กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว นายวัชระ ลูกชายได้เข้าไปหาปรึกษาเรื่องที่ ภรรยาที่เพิ่งอยู่กินด้วยกันได้เพียงเดือนเดียว กำลังตีตัวออกห่างจนเกิดความเครียด แต่ถูกนางลำปรางค์ ผู้เป็นแม่ดุด่า ว่าไปไหนไม่รอดก็ต้องซมซานกลับมาหา ทำตัวไม่เอาไหนกินแต่เหล้า เมียก็จะหนี ทำให้เกิดความเครียดหนักและอยู่ในอาการเมาเหล้า จึงคว้ามีดขึ้นมาขู่แม่ให้เลิกด่า แต่แม่ก็ไม่ยอมหยุดดุด่าสั่งสอนต่อ ทำให้นายวัชระ โมโหจ้วงแทงผู้เป็นแม่ที่ด้านหลัง 3 ครั้ง แล้ววิ่งหลบหนีไปว่าจ้างรถสามล้อเครื่องหลบหนีไป และในคืนเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามไปจับกุมนายวัชระ ได้ที่บ้านพักคนงานก่อสร้างในหมู่บ้านพลอยวิลล่า 2 ถ.มิตรภาพ อุดร-หนองคาย ต.หนองบัว

นายวัชระ ได้ให้การรับสารภาพว่า พ่อกับแม่แยกทางกันได้ร่วม 20 ปีแล้วตนเป็นลูกคนโตมีน้องสาวอีก 3 คน ตนกับแม่มักทะเลาะกันเป็นประจำตั้งแต่เรียนหนังสือชั้นมัธยม ทำอะไรก็ไม่ถูกใจแม่ เคยทะเลาะกันรุนแรง จนแม่แจ้งความจับขึ้นโรงพักเมืองหนองบัวลำภู มาแล้วถึง 2 ครั้ง ช่วงนี้ตนตกงานและเพิ่งมีแฟนสาวอายุ 23 ปี คบหากันได้เพียงเดือนเดียว ก็ผิดสังเกตุคิดว่าแฟนสาวแอบปันใจให้ชายอื่น หลังจากดื่มเหล้าหมดไป 1 ขวด ก็ไปหาแม่เพื่อขอสมัครงานกับพ่อเลี้ยง แต่ถูกแม่ดุด่า จังหวะนั้นมีแต่ความเครียดทั้งเรื่องหึงหวงและมาถูกแม่ด่า จนเกิดอารมณ์ชั่ววูบบันดาลโทสะคว้ามีดมาจ้วงแทงจนแม่เสียชีวิต จากนั้นก็ว่าจ้างรถสามล้อให้ไปส่งที่บ้านพักคนงานที่ตนพักอยู่ เพื่อกลับไปเคลียร์เรื่องที่แฟนสาวแอบปันใจให้หัวหน้าคนงาน แต่ถูกตำรวจตามไปจับกุมได้เสียก่อน

เจ้าหน้าที่ ตำรวจได้คุมตัวนายวัชระ ไปตรวจหาสารเสพติดแต่ไม่พบความผิดปกติ มีเพียงการดื่มเหล้าและมีอาการทางประสาทเล็กน้อย และพูดย้ำบ่อยๆว่า เก็บความแค้นไว้นานกว่า 10 ปีที่ถูกแม่ดุด่ามาจนโตเป็นหนุ่ม ทั้งๆที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรมากนัก 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

อดีตผู้เข้าประกวด มิสทีนไทยแลนด์ 2008 ขับ ซีอาร์วี ชนเสาไฟฟ้าดับ เมื่อ 31 มี.ค.56



อดีตผู้เข้าประกวด มิสทีนไทยแลนด์ 2008 ขับ ซีอาร์วี ชนเสาไฟฟ้าดับ
 
อดีตผู้เข้าประกวด มิสทีนไทยแลนด์ 2008 ขับ ซีอาร์วี ชนเสาไฟฟ้าดับ
เมื่อ 01.55 น.วันที่ 31 มี.ค. 2556  ร.ต.ต.สง่า ยานะโส พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้ รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์ชนเสาไฟฟ้า มีคนติดในรถอาการสาหัส เหตุเกิดหน้าเซเว่นฯ ก่อนถึงตลาดประตูเชียงใหม่เล็กน้อย คูเมืองด้านใน อ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยพิงค์นคร และกู้ภัยรวมใจได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมอุปกรณ์ตัดถ่าง ที่เกิดเหตุ พบรถยนต์ CR-V หมายเลขทะเบียน กษ 4954 เชียงใหม่ ชนอัดกับเสาไฟฟ้า ด้านข้างคนขับยุบเกือบครึ่งคัน

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ภายในรถพบผู้โดยสารเป็นชายสองคน ได้รับบาดเจ็บ คนหนึ่งขาหัก อีกคนแขนหักกู้ภัยจึงรีบเร่งนำส่ง รพ.ส่วนที่ตำแหน่งคนขับพบคนขับขี่เป็นหญิงสาว เสียชีวิตคาที่ 1 ราย ทราบชื่อคือนางสาวชาลินี แสงน้อย หรือน้องน้ำหวาน อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 296/126 หมู่ที่ 2 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง กว่าจะงัดร่างอันไร้วิญญาณออกมาได้

ที่เกิดเหตุ ยังพบรถจักรยานยนต์ของพนักงานเซเว่นฯ ที่จอดอยู่หน้าร้าน ถูกชนได้รับความเสียหายด้วยรวม 4 คันโดยมี 1 คันกระเด็นไปยังร้านขายก๋วยเตี๋ยวนำชัย ที่เปิดขายอยู่ใกล้ๆ จนลูกค้าและคนขายต้องกระโดดหนีตายกันจ้าละหวั่น โต๊ะก๋วยเตี๋ยวล้มระเนระนาด โชคดีที่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บเพิ่มเนื่องจากกระโดดหนีได้ทัน  จากการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ได้ให้การว่ารถคันที่ประสบอุบัติเหตุนี้ หักหลบรถอีกคันหนึ่งตัดหน้า ทำให้รถของผู้ตายเสียหลักและรถได้พุ่งชนดังกล่าว 

เบื้อง ต้นทางตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจตกใจมีรถตัดหน้าและได้เหยียบคันเร่ง โดยคิดว่าเป็นเบรค ทำให้รถพุ่งออกไปด้วยความแรง ทำให้เกิดเสียหลักฟาดกับเสาไฟฟ้าและรถใกล้เคียงดังกล่าวก็อาจจะเป็นได้ อย่างไรก็ตามตำรวจจะได้สอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุที่ แท้จริงต่อไป

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบคนขับ รถ ทราบว่า น้องน้ำหวาน ผู้เสียชีวิตนั้นเคยเป็นผู้สมัคร "มิสทีนไทยแลนด์ ปี 2008 และผ่านการคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 22 คน เป็นตัวแทนของภาคเหนือเข้าไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ที่กรุงเทพในปีนั้นด้วย แต่ไม่ได้รับตำแหน่ง
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

"ปึ้ง" เตรียมถ้อยแถลงคดี "พระวิหาร" แจง ครม.รับทราบ ช่อง 11 ยิงสด เมื่อ 31 มี.ค.56



"ปึ้ง" เตรียมถ้อยแถลงคดี "พระวิหาร" แจง ครม.รับทราบ ช่อง 11 ยิงสด
 
31 มี.ค. 56 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในถ้อยแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลก ในคดีปราสาทพระวิหาร ระหว่างวันที่ 15-19 เมษายน ว่า จะนำถ้อยแถลงด้วยวาจาชี้แจงในที่ประชุมให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อทราบ และคณะที่จะร่วมเดินทางไปศาลโลกเพื่อพิจารณาคดี หลังจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยถ้อยแถลงดังกล่าวได้เตรียมต่อสู้ในทุกประเด็นที่ทุกฝ่ายมีความห่วงใย ทั้งนี้ ตนมีความมั่นใจในการต่อสู้คดี และประเด็นที่มีความอ่อนไหวจะมีการเตรียมคำอธิบาย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนด้วย

“รายละเอียดจะเตรียมการไว้จะเป็นหัวข้อ เพราะทีมทนายที่ปรึกษาได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ก็จะเป็นภาพกว้างๆเท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดเราไม่สามารถระบุได้ เพราะยังถือเป็นความลับอยู่ เราได้เตรียมทุกประเด็นที่ทุกฝ่ายมีข้อห่วงใยว่าเราจะไม่หยิบยกประเด็นนั้นประเด็นนี้ขึ้นมาต่อสู้ เราก็ได้หยิบยกทั้งหมดมาไว้เรียบร้อยแล้ว” นายสุรพงษ์ กล่าว

นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการแถลงต่อศาลโลกครั้งนี้
และอยากจะให้ประชาชนร่วมติดตามการถ่ายทอดสดการในการพิจารณาคดี ซึ่งจะมีการส่งสัญญาณถ่ายทอดสดจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์มายังประเทศไทย โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือช่อง 11 พร้อมทั้งมีการแปลภาษาแบบคำต่อคำตลอดการพิจารณาคดี โดยเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ ที่เราว่าจ้างในการทำงาน และจะมีเจ้าหน้าที่ในการแปลสารผ่านสัญญาณดาวเทียมทั้ง2 ประเทศ เพื่อให้มีความถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งจะมีทีมกฎหมายทำการสรุปประเด็นสำคัญทุกช่วงเย็นของแต่ละวันผ่านทางช่องทางที่มีการส่งสัญญาณเพื่อป้องกันความผิดพลาดในถ้อยแถลงเนื่องจากเป็นถ้อยแถลงบางคำเป็นคำพูดในข้อกฎหมาย

“ที่พิจารณาคดีจะมีการแปลคำต่อคำ เพราะว่าจะมีการถ่ายทอดจากศาลโลกอยู่แล้ว ศาลจะดำเนินการถ่ายทอดสดผ่านทางเว็บไซต์ เราก็จะดำเนินการแปลคำต่อคำ” นายสุรพงษ์ กล่าว
 

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า 

เอาแน่"บีอีซีแอล"ขึ้นค่าทางด่วน ยื่นเรื่องกทพ. ดีเดย์ขยับ1ก.ย. เสนอปรับตั้งแต่ 5,10,15 บาท เมื่อ 31 มี.ค.56



เอาแน่"บีอีซีแอล"ขึ้นค่าทางด่วน ยื่นเรื่องกทพ. ดีเดย์ขยับ1ก.ย. เสนอปรับตั้งแต่ 5,10,15 บาท
 

เมื่อ วันที่ 30 มี.ค.นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีซีแอล กล่าวว่า บริษัทได้ส่งหนังสือไปยังการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อขอขึ้นค่าผ่านทางพิเศษหรือทางด่วนแล้วหลังจากจะครบกำหนด 5 ปี ตามสัญญาสัมปทานคือ วันที่ 1 กันยายนนี้ที่ให้บริษัทสามารถปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ ส่วนจะปรับขึ้นเท่าไหร่จะต้องมีการหารือร่วมกันก่อน โดยตัวเลขที่เสนอไปจะเป็นการปรับขึ้นตั้งแต่ 5 บาท 10 บาท หรือ 15 บาท เป็นต้น

"การปรับขึ้นค่าผ่านทางคงจะไม่ใช่การปรับขึ้น 1 บาท หรือ 2 บาท แต่จะเป็นการปรับขึ้นครั้งละ 5 บาท เช่น อาจจะเป็น 5 บาท ก็ได้ หรือถ้าจะคิดมากกว่านั้นก็ต้องเป็น 10 บาท จะไม่ใช่ 7 บาท หรือ 8 บาท เป็นต้น โดยจะต้องเจรจาร่วมกันให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนสิงหาคม เพื่อให้ทันการประกาศใช้ในวันที่ 1 กันยายน" นางพเยาว์กล่าว

นาง พเยาว์กล่าวว่า ทั้งนี้ การพิจารณาว่าจะขึ้นราคาเท่าไหร่ บริษัทได้พิจารณาจากดัชนีผู้บริโภค และฐานของค่าผ่านทางที่ปรับขึ้นล่าสุดเป็นหลัก หลังจากนั้นจึงจะมีการคำนวณตัวเลขออกมา ซึ่งวิธีคิดของบริษัทจะแตกต่างจาก กทพ. คือ หากคำนวณแล้วมีเศษทางบริษัทจะปรับขึ้น เช่น หากคำนวณแล้วได้ตัวเลข 8 บาท ก็จะปรับขึ้นเป็น 10 บาท แต่ กทพ.จะปรับลงเหลือ 5 บาท ซึ่งก็ต้องมีการเจรจาร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปในตัวเลขที่ตรงกันต่อไป

นาง พเยาว์กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนหลังจากเจรจาจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็จะนำเรื่องเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณา เพื่อออกเป็นประกาศกระทรวงคมนาคม ให้สามารถปรับขึ้นค่าผ่านทางได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจำนวนรถที่ใช้บริการทางด่วนในปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 1.084 ล้านคันต่อวัน มีการเติบโตจากปี 2554 ประมาณ 5.8% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 2% โดยจะมีรถใช้บริการ 1.105 ล้านคันต่อวัน เพราะมีฐานผู้ใช้บริการสูงมากอยู่แล้ว การเติบโตจึงไม่สูงมากนัก

"ตอนนี้การเติบโตของผู้ใช้บริการจะอยู่นอก เมืองมากกว่า เพราะในเมืองการจราจรติดขัด โดยนอกเมืองเฉลี่ยมีการเติบโตประมาณ 7% ส่วนในเมืองจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% เท่านั้น" นางพเยาว์กล่าว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

ออสเตรเลียคว่ำบาตรโสมแดงก่อสงคราม เมื่อ 31 มี.ค.56



 ออสเตรเลียคว่ำบาตรโสมแดงก่อสงคราม
 
ออสเตรเลียประณามเกาหลีเหนือคุกคามเกาหลีใต้เตรียมพิจารณาคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อนายบ็อบ คาร์ รมว.ต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ประณามการคุกคามครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้และภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก แม้ยอมรับว่าสถานทูตออสเตรเลียในกรุงโซลยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับการเตรียม การทางทหารของเกาหลีเหนือพิ่มขึ้นก็ตาม         
“ผมขานรับข้อเรียก ร้องของจีนและรัสเซียสำหรับความอดกลั้นของทุกฝ่าย และพันธสัญญาของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวกับการปกป้องเกาหลีใต้และญี่ปุ่น" นายคาร์กล่าวในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง         
เขากล่าวว่า "เกาหลีเหนือยังคงก่อภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความปลอดภัยของประชาชนหลายล้านคนในภูมิภาคของเรา"         
“มาตรการ คว่ำบาตรของสหประชาชาติได้ห้ามการจัดหาอาวุธและอุปกรณ์นิวเคลียร์แก่เกาหลี เหนืออย่างเข้มงวด ขณะที่ออสเตรเลียอยู่ระหว่างการพิจารณาคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อเกาหลีเหนือ และได้เรียกร้องให้ทุกประเทศสร้างความมั่นใจในการบังคับใช้มาตรการที่มีอยู่ ในปัจจุบันอย่างจริงจัง"          
การเปิดเผยของรมว.ต่างประเทศ ออสเตรเลียมีขึ้นหลังจากสำนักข่าวกลางของเกาหลีเหนือ หรือ KCNA รายงานว่าเกาหลีเหนือประกาศภาวะสงครามกับเกาหลีใต้แล้ว โดยเกาหลีเหนือระบุในแถลงการณ์พิเศษว่า เกาหลีเหนือจะทำการรบอย่างเต็มรูปแบบที่เหนือกว่าการรบในพื้นที่ หากเกาหลีใต้และสหรัฐยังคงทำกิจกรรมทางทหารรอบๆเขตปลอดทหารระหว่างเกาหลี เหนือและเกาหลีใต้

“ปู”เซ็งโฟส”เฟสบุ๊ค”แจงสร้างรถไฟความเร็วสูงกันผักเน่า ดูถูกเกษตรกร เมื่อ 31 มี.ค.56



“ปู”เซ็งโฟส”เฟสบุ๊ค”แจงสร้างรถไฟความเร็วสูงกันผักเน่า ดูถูกเกษตรกร
 
เมื่อเวลา 12.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสข้อความชี้แจง การออกพ.ร.บ.
ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. วงเงิน 2 ล้านล้านบาทผ่านทางเฟสบุ๊กยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากที่นายกฯได้พูดถึงประโยชน์ของประเทศที่จะได้จากการกู้เงิน 2 ล้านล้านครั้งนี้ โดยเฉพาะการขนส่งผัก ผลไม้ที่รวดเร็วขึ้น ทำให้ผักไม่เน่าเสีย จนมีคนนำไปวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า สร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อขนผัก ไม่ให้เน่าเสีย
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ขอขยายความเข้าใจเพิ่มเติม เรื่องแนวคิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน
ในการนำประเด็นเรื่องการขนส่งสินค้าเกษตรทางรถไฟความเร็วสูงว่า การขนส่งสินค้าโดยรถไฟความเร็วสูงเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เศรษฐกิจเติบโตรองรับอนาคตและความเจริญ นอกจากนั้นยังเป็น การต่อยอดเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพที่ดี สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูง และผู้บริโภคได้รับสินค้าสินค้าที่สดใหม่ ไม่เน่าเสีย ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติในการส่งสินค้าเกษตรโดยใช้การขนส่งที่รวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น การขนส่งดอกไม้ด้วยเครื่องบิน (ซึ่งประเทศไทยทำมานานแล้ว) และในยุโรปก็ได้พัฒนาโครงการ Euro Carex (ยูโร แคเร็กซ์) โดยใช้รถไฟความเร็วสูงสำหรับขนถ่ายสินค้าโดยเฉพาะ ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นการวาดฝัน แต่เป็นจริงในหลายๆประเทศแล้ว และทำให้เกษตรกรสามารถส่งออกสินค้าเกษตรที่ต้องการมาตรฐานสูง ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ

นายกฯ กล่าวด้วยว่า รถไฟความเร็วสูงเป็นการเชื่อมโยงแหล่งการผลิตระดับท้องถิ่นภายในประเทศสู่ ภูมิภาคอาเซียน
ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าทางการเกษตรในการส่ง ถึงตลาดและผู้บริโภค ตลอดจนเพื่อให้ผู้โดยสารโดยเฉพาะคนในต่างจังหวัดประหยัดเวลาในการเดินทางมา ทำงานจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น

“ดิฉันเห็นว่า การนำคำพูดของดิฉันไปบิดเบือนเพื่อใช้เป็นประเด็นทางการเมือง เหนือประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประชาชน เป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ เป็นการดูถูกเกษตรกรที่ควรจะได้ลืมตาอ้าปากเสียที รถไฟความเร็วสูงจึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนไทยมีโอกาสอย่างเท่าเทียมและ ทั่วถึง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ แจงในเฟสบุ๊ค

มะกันแห่ตรวจหวั่นติดเอดส์จากคลินิกศัลยกรรม เมื่อ 31 มี.ค.56



มะกันแห่ตรวจหวั่นติดเอดส์จากคลินิกศัลยกรรม
 
ประชาชนหลายพันคนในสหรัฐ ที่เคยเป็นคนไข้ของคลินิกศัลยกรรมในเมืองทุลซา เข้ารับการตรวจร่างกาย หวั่นติดเชื้อไวรัสเอดส์และตับอักเสบ จากการให้บริการที่ไม่ถูกสุขอนามัย


สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองทุลซา รัฐโอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่า 
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐ เริ่มส่งจดหมายตั้งแต่วันศุกร์ ถึงคนไข้ประมาณ 7,000 คน ที่เคยใช้บริการในคลินิกศัลยกรรมช่องปากและใบหน้า ของ นายแพทย์ ดับเบิลยู. สก๊อต แฮร์ริงตัน ในเมืองทุลซา รัฐโอกลาโฮมา ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ให้เข้าทำการตรวจสุขภาพ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ และเชื้อไวรัสตับอักเสบ จากการให้บริการที่ไม่ถูกสุขอนามัยของคลินิกดังกล่าว โดยข้อมูลขนาดความยาว 1 หน้ากระดาษในจดหมาย ระบุวิธีการและสถานที่ ที่ผู้รับควรเข้ารับการตรวจเช็ค แต่ไม่ชี้แจงรายละเอียดว่าเหตุใดทางการจึงกล่าวหาว่าคลินิกของนายแพทย์แฮร์ริงตันไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี รวมทั้งไวรัสเอชไอวี สำหรับประชาชนที่ได้รับแจ้งชุดแรกหลายร้อยคน
เริ่มต้นเมื่อเวลา 10.00 น. ของวันเสาร์ แต่หลายคนไปถึงที่นัดหมายก่อนเวลา ต้องยืนเข้าแถวรอด้านนอกท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขทุลซา เผยว่า ในวันเสาร์มีประชาชนเข้ารับการตรวจ 420 คน ที่ศูนย์สาธารณสุขเขตเหนือ และที่ศูนย์เวลล์เนส การตรวจรอบต่อไปจะเริ่มในตอนเช้าวันจันทร์

รายงานระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการทันตแพทย์รัฐโอกลาโฮมา 
สั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของนายแพทย์แฮร์ริงตัน ซึ่งจะมีการไต่สวนประเด็นนี้ในศาล ในวันที่ 19 เม.ย. หลังจากได้รับการร้องเรียนจากคนไข้ 17 ราย เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในคลินิก รวมถึง การใช้เข็มฉีดยาซ้ำด้วยการเสียบในขวดยา หลังจากใช้เข็มนั้นแล้วกับคนไข้รายอื่นๆ หลายคน มีการตรวจพบยารักษาหมดอายุ ในตู้เก็บยาของคลินิก หรือผู้ช่วยทันตแพทย์เป็นผู้ฉีดยาชาให้คนไข้ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของแพทย์ เป็นต้น.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วอนช่วย2หนูน้อยโรคดักแด้ เมื่อ 31 มี.ค.56



วอนช่วย2หนูน้อยโรคดักแด้
 
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่าที่บ้านเลขที่ 55 ม.4 บ.หนองไผ่ ต.วังหิน อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ
มีพี่น้องคู่หนึ่งมีอาการผิดปกติตามผิวหนัง เกิดแผลลักษณะคล้ายเกล็ดปลา หรือเกล็ดงู ขึ้นเต็มทั่วร่างกาย หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า โรคเด็กดักแด้ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบ ด.ญ.สายสวรรค์ ดวนใหญ่ อายุ 9 ขวบ และด.ช.อภินันท์ ดวนใหญ่ อายุ 3 ขวบ น้องชาย โดยเด็กทั้งสองคนอาศัยอยู่กับน.ส.หนูพันธ์ สมนึก อายุ 35 ปี ทั้งนี้ ตามร่างกายของเด็กทั้งสองคนเป็นแผลคล้ายเกล็ดปลา ซึ่งขณะนี้อากาศร้อนอบอ้าวอย่างหนัก ทำให้เด็กทั้งสองคนเจ็บปวดจากบาดแผลตามร่างกายเป็นอย่างมาก

น.ส.หนูพันธ์ แม่ของเด็กทั้งสอง เผยว่า ตอนที่ตนคลอดลูกสาวคนแรกพบว่าลูกสาวของตนมีอาการผิดปกติตามผิวหนัง
โดยหมอวินิจฉัยว่าลูกสาวของตนเป็นโรคเด็กดักแด้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ต่อมาตนมีลูกอีกหนึ่งคน คือด.ช.อภินันท์ ซึ่งพอคลอดออกมาพบว่าลูกชายก็เป็นโรคเด็กดักแด้อีก โดยในแต่ละเดือนตนและสามีต้องจ้างรถยนต์รับจ้างครั้งละ 400 บาท พาลูกทั้ง 2 คนไปพบแพทย์ที่ โรงพยาบาลศรีสะเกษ เนื่องจากผิวหนังของเด็กไม่สามารถถูกแสงแดด ได้มาก เพราะจะมีอาการแสบร้อนและคันตามผิวหนัง ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงนี้ส่งผลให้ลูกทั้ง 2 คนทรมานเป็นอย่างมากกับอาการเจ็บแสบบริเวณผิวหนัง ซึ่งในแต่ละวันตนต้องอาบน้ำให้ลูกทั้งสองวันละหลายสิบรอบ เพื่อบรรเทาอาการ แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

น.ส.หนูพันธ์กล่าวต่อไปว่า อยากให้หน่วยงานของรัฐ หรือผู้ใจบุญ เข้ามาให้การช่วยเหลือ 
เพราะที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเหลียวแล หรือยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือเพื่อให้การรักษาลูกของตนเลย รู้สึกสงสารลูกที่ต้องทรมานเช่นนี้ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกเกิดมาเป็นเช่นนี้ ทุกวันนี้ตนได้แต่ภาวนาว่าสักวันหนึ่งลูกจะหายจากโรคนี้

สำหรับผู้ที่ต้องการให้การช่วยเหลือโอนเงินผ่านทางบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี น.ส.หนูพันธ์ สมนึก เลขที่บัญชี 557-239770-5
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

แม่น้ำชีแห้งขอด รพ.ระวังเตือนโรคตาแดงระบาด เมื่อ 31 มี.ค.56



แม่น้ำชีแห้งขอด รพ.ระวังเตือนโรคตาแดงระบาด
 
แม่น้ำชีแห้งขอดเดินข้ามได้ประชาชนแห่ลงเล่นน้ำคลายร้อนขณะที่ รพ.เตือนโรคตาแดงระบาด วันนี้ ( 31 มี.ค.)  ที่แม่น้ำชีที่ไหลผ่านจังหวัดมหาสารคาม ระหว่างเขตอำเภอเมืองข้ามสะพานไปยังเขตอำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยปกติแม่น้ำชีมีน้ำ ลึกถึง 15 เมตรไม่สมารถลงไปเล่นได้ แต่ปัจจุบันแม่น้ำชีได้แห้งขอดจนเห็นสันทรายสามารถ เดินข้ามไปได้ ประกอบกับในช่วงนี้ได้มีอากาศที่ร้อน มากจึงทำให้ประชาชนออกมาเล่นน้ำเพื่อคลายร้อน และมีชาวบ้านบางกลุ่มลงหาปลา หาหอย เพื่อนำไปขายเพื่อสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว
 

ขณะที่นายสุนทร  ยนต์ตระกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาสารคาม  เปิดเผยว่า มนช่วงเดือนมีนาคม 2556 มีผู้ป่วยมารักษาที่เกิดจาโรคตาแดงแล้ว 25 ราย
เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีมีอากาศร้อนมาก ทำให้หลายคนได้ไปลงเล่นน้ำคลายร้อยตามที่ต่างๆ อาจเป็นน้ำที่ไม่สะอาด อาจจะเข้าตาทำให้ติดเชื้อ ยิ่งในช่วงนี้แม่น้ำชีที่แห้งขอดอาจจะเป็นน้ำที่ยังไม่สะอาดอาจมีเชื้อโรคปนเปิ้นอยู่ โรงพยาบาลมหาสารคามจึงฝากเตือนประชาชนให้ระวังเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับน้ำ เสี่ยงที่จะป่วยด้วยอาการเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง โดยปกติผู้ที่ป่วยด้วยโรคตาแดงอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากยังมีอาการเคืองตาเหมือนมีทรายเข้าตา ตามัว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนคือตาดำอักเสบ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด และให้การรักษาที่เหมาะสม ที่สำคัญอย่าซื้อยามาหยอดตาเอง โดยเฉพาะยาหยอดตาที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต หรือที่วางขายตามตลาดนัด รวมทั้งไม่ควรทำตามความเชื่อผิดๆ เช่น ใช้น้ำนมหยอดตา เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อถึงขั้นตาบอดได้

สำหรับสาเหตุของโรคตาแดงส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางการสัมผัสน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วย อาการสำคัญคือ ตาแดง
อาจมีเลือดออกที่เยื่อบุตาขาว ตาขาวบวม มีขี้ตาเป็นเมือกใสหรือเหลืองอ่อน น้ำตาไหล เคืองตา และอาจเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ข้างหู โดยอาการจะลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน บางรายอาจมีตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราวได้โรงพยาบาลมหาสารคามจึงขอแนะนำการป้องกันที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้มือแคะ แกะ เกาหน้า ตา สำหรับผู้ที่กำลังป่วยแนะนำให้หยุดเรียนหรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน ห้ามใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

จับได้แล้ว "ไอ้บอย มหาภัย" ข่มขืนชิงทรัพย์นศ.สาวเชียงใหม่ - ยิงอดีตนายอำเภอ เมื่อ 31 มี.ค.56



จับได้แล้ว "ไอ้บอย มหาภัย" ข่มขืนชิงทรัพย์นศ.สาวเชียงใหม่ - ยิงอดีตนายอำเภอ
 
ภาพจากข่าวสด
ภาพจากข่าวสด

จากกรณี นายธีรศักดิ์  มโนรส หรือ บอย อายุ 34 ปี  คนร้ายโรคจิต ก่อเหตุจับนักศึกษาสาว ป.ตรี สถาบันมีชื่อของเชียงใหม่ มัดมือมีดจี้คอ และข่มขืนในหอพักแล้วยังเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายหลบหนีไป ก่อนหน้านั้นก่อคดีชิงทรัพย์ผู้อื่นในเขตท้องที่ สภ.ภูพิงค์ เชียงใหม่ ร่วมกับน้องชาย ชื่อ "แบงก์" ใช้อาวุธปืนยิงใส่อดีตนายอำเภอบ้านธิ เจ้าของหอพัก กระสุนเฉียดศีรษะ แล้วชิงเอาทรัพย์หลบหนี

ล่าสุดนายแบงก์  หรือนายธนาคาร มโนรส น้องชาย อายุ 27 ปี ถูกจับกุมตัวได้ก่อน ส่วนนายบอย ก็มาก่อคดีซ้ำที่เขตท้องที่ สภ.ช้างเผือก เชียงใหม่ ข่มขืนชิงทรัพย์แบบไม่เกรงกลัวกฏหมายและตำรวจ ซ้ำยังประกาศกับเพื่อนๆ  ว่าจะไม่ขอเข้าไปในคุกอีก  โดยคดีนี้พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็วรอง ผบช.ภาค 5 ลงมาสั่งการและควบคุมคดีด้วยตนเองพร้อมทั้งให้ตำรวจตามล่าและให้ระมัดระวังตัวในการไล่ติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 30 มี.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า  พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบช.ภาค 5 พล.ต.ต.เกษมสันต์ บุญญกาญจน์ ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ พ.ต.อ.วีระวุฒิ เนียมน้อย รอง ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ พ.ต.ท.ไกรศรี จุฬพรรค์ สว.สส. พ.ต.ต.ยุทธการ เมธา สว.สส. พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมอาวุธครบมือ 10 นาย บุกไปล้อมหอพักมีสุข หมู่ 4 ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ภายหลังได้รับแจ้งว่า นายธีรศักดิ์ หรือบอย มโนรส คนร้ายโรคจิตมายังหอพักดังกล่าว ที่ห้องหมายเลข 205 โดยกบดานอยู่ภายในห้อง  

เจ้าหน้าที่ตำรวจด้ตรวจสอบจนแน่ชัดว่านายบอ อยู่ภายในห้อง จังหวะนั้น แฟนสาวของนายบอยมาหาที่หอพอดี ทางตำรวจจึงบุกเข้าชาร์จ  พบนายธีรศักดิ์ หรือบอย นอนอยู่ภายในห้อง  และยอมให้จับกุมแต่โดยดี ตรวจค้นภายในห้องพบทรัพย์สินที่นายธีรศักดิ์ และนายธนาคาร น้องชาย ได้ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ มาอยู่ภายในห้องจำนวนมาก พร้อมอาวุธปืนขนาด .22 ชนิดลูกโม่ ยี่ห้อราม่า 1 กระบอก  และกระสุนขนาด .22 อีก จำนวน 8 นัด ชนิดหัวระเบิด กระสุนปืนขนาด .38 อีก 2 นัด จึงยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมด

ตำรวจได้ตั้งข้อหา นาบอย กระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต "ร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัยพ์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม และพยายามฆ่าผู้อื่น ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.147/2556  และหมายจับ "ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสและทำให้เสียทรัพย์ ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่อีกหมาย เลขที่ จ.159/2556 

รสอบสวนนายบอย รับสารภาพว่า ร่วมกับน้องชายที่ถูกจับก่อนหน้า ตระเวนลักทรัพย์ชิงทรัพย์ในหอพักและบ้านจัดสรรต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ รวมที่ก่อเหตุจำได้ 9 ครั้ง และที่เขต สภ.ภูพิงค์ ตนเองได้ยิงปืนใส่ อดีตนายอำเภอบ้านธิ จริง เมื่อครั้งไปชิงทรัพย์ในหอพักของอดีตนายอำเภอ โดยยิงปืนใส่นายอำเภอไป 3 นัด แต่ไม่ถูกใคร่  กระทั่งน้องชายของตนถูกจับไปได้ก่อน ช่วงที่ตำรวจนำตัวน้อง คือ นายธนาคาร มโนรส ไปแถลงข่าวที่ สภ.ภูพิงค์ เชียงใหม่ ตนยังไปดักที่ซุ่มที่ร้านขายของในโรงพัก ดูการแถลงข่าวการจับกุมน้องชายของตน จากนั้นก็มาก่อเหตุแอบปีนขึ้นไปที่หอพักของนักศึกษาสาวดังกล่าว และรอจนนักศึกษาสาวกลับเข้ามาที่ห้อง จึงข่มขืนและเอาทรัพย์สินไป สาเหตุเพื่อต้องการหาเงินมาประกันตัวน้องชาย ส่วนนักศึกษาสาวนั้นตนได้ใช้เสื้อในห้องมัดมือนักศึกษาสาวแล้วข่มขืน โดยใช้อาวุธมีดจี้คอ

นายบอย กล่าวว่า เมื่อตนถูกจับแล้วหากพ้นโทษแล้วก็จะกลับมาทำอย่างเดิมอีก สาเหตุที่ครั้งนี้ไม่ต่อสู้ เพราะเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาปิดล้อมที่หอพักแล้ว จึงโทรศัพท์แจ้งให้กับแม่ เพื่อให้มาหาที่โรงพัก เพื่อมาทำเรื่องประกันตัวรวมทั้งแฟนสาวให้มาหาที่หอ  ต้องรีบแจ้งให้กับแม่กับพ่อ เพราะคิดว่าตำรวจต้องจับตายตนแน่ จึงรีบโทรศัพท์แจ้งพ่อแม่ก่อน แล้วก็ยอมให้ตำรวจจับกุมตัวแต่โดยดี โดยเอาปืนไว้ในลิ้นชักหัวเตียง ไม่คิดต่อสู้ 

ด้าน พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบช.ภาค 5 ได้เปิดเผยว่า คนร้ายรายนี้ก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเช่ารถเก๋งหรู ยี่ห้อโตโยต้าอัสติส สีดำ บางครั้งก็ใช้จักรยานยนต์  และเมื่อเจอเจ้าทรัพย์ก็จะใช้อาวุธปืนยิงและทำร้ายเจ้าทรัพย์   โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลเกี่ยวกับนายธีรศักดิ์ หรือบอย  เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ สภ.ภูพิงค์เชียงใหม่ ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายธนาคาร หรือแบงก์ มโนรส น้องชายของนายธีรศักดิ์ ซึ่งนายแบงก์ นั้นเป็นคนร้ายที่จะเอาภาพเหยื่อมาสำเร็จความใคร่ยังจุดที่เกิดเหตุ ทางตำรวจเมื่อจับกุมนายแบงก์ ได้แล้วก็สืบสวนตรวจสอบจนทราบประวัติของนายบอย พี่ชายและสืบสวนติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว ถือว่านายบอย และน้องชาย คือ นายแบงก์ นั้นถือว่าเป็นบุคคลอันตรายอย่างมาก  

ด้าน พล.ต.ต.เกษมสันต์  บุญญกาญจน์ ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่าจากการขยายผลการกระทำผิดของนายธีรศักดิ์ หรือนายบอย พบว่า ได้ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ชิงทรัพย์ ทำร้ายผู้อื่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ถึง 9 ครั้ง ประกอบด้วย ก่อเหตุลักทรัพย์ที่หมู่บ้านสุเทพาลัย ต.สุเทพ เมืองเชียงใหม่,ก่อเหตุลักทรัพย์ที่หมู่บ้านทิพย์ภมร ต.แม่เหียะ เมืองเชียงใหม่ ก่อเหตุลักทรัพย์ที่หมู่บ้านพิมุกต์ ต.สันทรายน้อย อ.สันทรายเชียงใหม่  ก่อเหตุลักทรัพย์ที่ หอพัก หน้ามหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทรายเชียงใหม่ ก่อเหตุลักทรัพย์ที่ หอพัก หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อเหตุลักทรัพย์ที่บ้านพักแพทย์ ใน โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ก่อเหตุลักทรัพย์ที่ หมู่บ้านศิริวัฒนา เขต สภ.แม่ปิงเชียงใหม่ ก่อเหตุลักทรัพย์ชิงทรัพย์ที่บริเวณ วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ เมืองเชียงใหม่ และล่าสุดก่อเหตุชิงทรัพย์และข่มขืน นักศึกษาสาว ป.ตรี ในหอพัก เขตท้องที่ สภ.ช้างเผือกเชียงใหม่ และยังประกาศกับเพื่อนว่า จะไม่ยอมติดคุกอีก กระทั่งมาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด 

 จากการตรวจสอบประวัติยังทราบอีกว่านายธีรศักดิ์ เคยถูกจับกุมในคดีปล้นทรัพย์และลักทรัพย์ และคดียาเสพติด ถูกจำคุก 8 ปี  เพิ่งพ้นโทษมา เมื่อเดือนกันยายน 2555