วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556
ผ่าประเด็นร้อน เมื่อ 29 มี.ค.56
ผ่าประเด็นร้อน
หากนับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นานนักที่ไทยต้องกลับมาสู่โหมดของการลุ้นระทึก ว่าจะเสียดินแดนที่เป็นพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร หลังจากฝ่ายกัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงพื้นที่โดยรอบด้วยหรือไม่ ทั้งที่เรื่องผ่านมาแล้วกว่า 50 ปี และที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาก็ไม่เคยสงสัย ทุกฝ่ายยอมรับในคำพิพากษาดังกล่าวที่ระบุเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นเป็นของกัมพูชา
แต่แล้วเมื่อมาในยุคที่ในเครือ ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจ และต่อเนื่องมาถึงยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีคู่หู ทั้งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ทำให้ไทยต้องมีแนวโน้มเสียดินแดนขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี หากเกิดเหตุการณ์อัปยศดังกล่าวขึ้นมาจริงๆคนไทยก็ต้องประณามทั้ง 2 พรรคดังกล่าวไม่ได้แตกต่างกัน แต่ที่ต้องประณามเพิ่มขึ้นให้หนักกว่าเดิมก็ต้องเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเพราะถือว่าจงใจปล่อยให้เกิดการเสียดินแดน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์บางอย่างประกอบทั้งในเรื่องการลงทุนในด้านพลังงานในอ่าวไทย สัมปทานในเกาะกง รวมไปถึงธุรกิจข้ามชาติหลายอย่างที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตรที่เป็นเจ้าของรัฐบาลนี้ หรือแม้แต่เรื่องการ “เป็นดอง” เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเขมร เมื่อลูกสาวของ “น้องสาว” ทักษิณ คือ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กำลังจะร่วมหอลงโรงกับนักการเมืองกัมพูชาในเดือนพฤษภาคม ทำให้หลายคนอดที่จะตั้งคำถามตามมาไม่ได้ว่านี่คือ ความสัมพันธ์ย้อนยุคไม่ต่างจากสมัยโบราณ
เมื่อพิจารณาเฉพาะคดีที่เวลาเริ่มงวดเข้ามาทุกที เพราะตามกำหนดฝ่ายไทยจะต้องไปแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกในวันที่ 16 เมษายน ซึ่งฝ่ายรัฐบาลไทยตั้งแต่ตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรลงมา ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล หรือใครก็ตามต่างก็ท่องเหมือนกัน คือ “สู้เต็มที่” ไม่เสียเปรียบอะไรทำนองนั้น แต่ประเด็นก็คือทำไมต้องไปสู้แบบนั้นให้เสี่ยงทำไม เพราะสิ่งที่คนไทยต้องการก็คือการประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ไม่ยอมให้ศาลโลกมายุ่มย่ามเกี่ยวกับอธิปไตยของไทยนี่ต่างหาก เราต้องแสดงท่าทีแบบนี้ให้ชัดเจนตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เล่นตามเกมเขมร หรือ “แกล้งโง่” อย่างที่เป็นอยู่ หรือไม่ก็พยายามหลอกคนไทยว่าถ้าเราถอนตัวจากศาลโลกแล้วจะ“ไม่มีใครคบ” ซึ่งมันไม่จริง เพราะการพิจารณาคดของศาลโลกจะมีผลก็ต่อเมื่อประเทศคู่กรณีให้การยอมรับเท่านั้น
สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้ไม่ต่างจากการตบตายกดินแดนให้กับกัมพูชา โดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือ พยายามอ้างว่าเมื่อศาลตัดสินแล้วต้องยอมรับ พยายามแสดงให้เห็นว่าศาลโลกไม่ต่างจาก “ศาลยุติธรรมของไทย” ที่เมื่อตัดสินเรื่องใดออกมาแล้วก็ต้องยอมรับแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีทุกคนในรัฐบาลต่างออกมาพูดทำนองเดียวกันแบบนี้ ทั้งที่มันคนละเรื่อง และไทยต้องประกาศท่าทีให้ชัดเจนตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าเราไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลกที่เกี่ยวกับอธิปไตยเป็นอันขาด
หากรัฐบาลไม่ดำเนินการและยังเดินหน้าตบตาด้วยการใช้คำพูดสัญญาด้วยน้ำลายสกปรกว่า “สู้เต็มที่” และให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกแบบนี้ถือว่ามีเจตนา “ขายชาติ” และต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาในทุกกรณีจะบิดพลิ้วลอยตัวไม่ได้ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีรวมไปถึงคณะรัฐมนตรีทั้งหมดทุกคน เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของชาติ ไม่ใช่จะต้องมาเกรงใจหรือเกรงจะกระทบกระทัั่งกับกัมพูชา ที่มักจะอ้างเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้าอยู่ตลอดเวลาอย่างที่เป็นอยู่
ดังนั้น หากรัฐบาลไม่มีเจตนาตบตาเพื่อยกดินแดนให้กับกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของคนในครอบครัวของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย รวมไปถึงที่อื่นๆ อย่างที่กำลังสงสัยกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่กำลังดำเนินมาถึงตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการชักใยของ ทักษิณ ทั้งสิ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องพิสูจน์ให้ได้
ที่สำคัญต้องถอนตัวและไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกทันที เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พูดว่า “สู้เต็มที่” เพื่อตบตาคนไทยอย่างที่เป็นอยู่!!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น