วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ 2 ลำเข้าทะเลจีนใต้ “รักษาสันติภาพ” เมื่อ 1 ต.ค.55



เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ 2 ลำเข้าทะเลจีนใต้ “รักษาสันติภาพ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์1 ตุลาคม 2555 04:10 น.

เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้นนิมิตซ์ (Nimitz Class) จอห์น ซี สเตนนิส (USS John C Stennis) CVN 74 ขณะแล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุช วันที่ 12 พ.ย.2554 ช่วงที่อิหร่านประกาศจะยิงเรือสหรัฐฯ ที่กลับเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย์อีก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสร็จภารกิจในตะวันออกกลางเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ถูกส่งไปประจำการกองทัพเรือที่ 5 มหาสมุทรแอตแลนติค และถูกเรียกคืนถิ่นเก่าแปซิฟิกตะวันตกก่อนกำหนดถึง 4 เดือน CVN 74 นำกองเรือโจมตีเข้ามาอย่างเงียบเชียบขณะนี้อยู่ในทะเลจีนใต้แล้ว. -- REUTERS/US Navy Photo/Mass Communication Specialist 3rd Class Kenneth Abbate.

       .
      
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ขณะนี้กองเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ จำนวน 21 ลำ พร้อมเรือรบอื่นๆ อีกหลายลำกำลังปฏิบัติการอยู่ในย่านแปซิฟิกตะวันตก ในภารกิจปกป้องพิทักษ์สินติภาพที่ผูกพันกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ กับพันธมิตรในย่านนี้ อันเป็นประโยคที่สหรัฐฯ มักจะหมายถึงเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก ตลอดจนพิทักษ์รักษาสันติภาพในภูมิภาค
      
       กองทัพเรือประกาศเรื่องนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในวันศุกร์ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาในสหรัฐฯ โดยไม่ได้ระบุว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบินทั้งสองลำแล่นเข้าสู่ทะเลแห่งความขัดแย้งตั้งแต่วันใด
      
       กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี (Carrier Strike Group) กองแรกนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินจอร์จ วอชิงตัน (George Washington CSG) CVN 73 เรือลาดตระเวนคาวเพ็นส์ (USS Cowpens) CG-63 ชั้นติคอนเดโรกา (Ticonderoga) ติดอาวุธนำวิถี กับเรือพิฆาตแม็คแคมป์เบล (USS McCampbell) DDG 85 ซึ่งเป็นเรือพิฆาตชั้นอาร์ลีห์เบิร์ค (Arleigh Burke-class) 1 ในจำนวนกว่า 60 ลำ ของสหรัฐฯ
      
       กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีกองที่ 2 นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินจอห์น ซี สเต็นนิส (USS John C Stennis) CVN-74 กับเรือลาดตระเวนโมไบล์เบย์ (USS Mobile Bay) CG 53 “ทั้งหมดกำลังปฏิบัติการในแปซิฟิกตะวันตก และเป็นกองกำลังพร้อมรบที่ปกป้อง และป้องกันผลประโยชน์ทางทะเลของสหรัฐฯ กับพันธมิตร และหุ้นส่วนต่างๆ” กองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง
      
       เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า กองทัพเรือที่ 7 ที่เป็นส่วนหนึ่งของเรือแปซิฟิกสหรัฐฯ มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นต่างๆ ประจำการนับสิบลำ และเป็นนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะไม่เปิดเผยเกี่ยวกับเส้นทางหรือการเคลื่อนไหวของ “มฤตยูใต้ผืนน้ำ” เหล่านั้น
      
       กองทัพเรือที่ 7 ยังมีเรือพิฆาตชั้นอาร์ลีห์เบิร์คติดจรวดร่อนโทมาฮอว์กอีกกว่า 10 ลำ ทั้งที่ปฏิบัติการโดยอิสระ และในสังกัดกองเรือบรรทุกเครื่องบิน รวมทั้งปฏิบัติการเป็นกองเรือพิเศษเพื่อภารกิจจำเพาะอีกด้วย
      
       การปรากฏตัวของกองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ยังมีขึ้นในสัปดาห์เดียวกับที่ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นยังคงตึงเครียดเกี่ยวกับเกาะพิพาทที่อยู่ใกล้กับเกาะกวม ที่ตั้งฐานทัพส่วนหน้าของกองทัพเรือที่ 7 และยังมีขึ้นในสัปดาห์เดียวกับที่จีนได้จัดทำพิธีนำเข้าประจำการอย่างเป็นทางการเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง ซึ่งเป็นลำแรกของประเทศอีกด้วย
      
       นอกจากนั้น ก็ยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฟิลิปปินส์ได้ประกาศจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์เกาะพิพาทกับจีนในหมู่เกาะสแปร็ตลีย์
      
       เรือบรรทุกเครื่องบินทั้งสองลำล้วนคุ้นเคยกับทะเลจีนใต้เป็นอย่างดี และต่างเคยไปแวะเยี่ยมเยือนนครด่าหนังของเวียดนาม
      
       สำหรับเรือจอห์น ซี สเต็นนิส CSG ภารกิจล่าสุดประจำการอยู่กองทัพเรือที่ 5 ในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ถูกสับเปลี่ยนให้กลับสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอีกครั้งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นการกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในแปซิฟิก ก่อนกำหนดเดิมถึง 4 เดือน
      
       “กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีทั้งสองกองเป็นส่วนหนึ่งของการปรากฏตัวอย่างเข้มแข็งในแปซิฟิกของกองเรือสหรัฐฯ เพื่อช่วยในการธำรงสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาคในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเรือที่ 7” คำแถลงฉบับเดียวกันระบุ
      
       สหรัฐฯ ประกาศทุ่มกองกำลังถึง 60% ของทั้งหมดเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตามนโยบายใหม่ที่จะเริ่มในปี 2556 นี้ ซึ่งเชื่อกันว่าในที่สุดแล้ว อาจจะมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าประจำการในย่านนี้ถึง 4 กอง ครอบคลุมถึงช่องแคบมะละกา และมหาสมุทรอินเดียตะวันออก รวมเป็นเรือรบนับร้อยลำ เช่นเดียวกันกับเครื่องบินรบยุคที่ 5 คือ F-22 กับ F-35 ด้วย
      
       ไม่เพียงแต่เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือลาดตระเวน เรือพิฆาต เรือฟริเกต และเรือคอร์แว็ตเท่านั้นกลับสู่เอเชียครั้งนี้ ยังรวมทั้งเรือโจมตีชายฝั่ง (Littoral Combat Ship) ติดอาวุธนำวิถี อันเป็นเรือรบแบบใหม่ล่าสุดที่ประจำการในปัจจุบัน
      
       นายโรเบิร์ต เกตส์ (Robert Gates) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปีที่แล้วว่า สหรัฐฯ ยังจะกลับคืนสู่เอเชียพร้อมเรือพิฆาตรุ่นใหม่ที่ก้าวล้ำหน้ามากที่สุดในโลกปัจจุบัน นั่นคือ เรือพิฆาตซูมวอลท์ (Zumwalt-class Destroyer) ซึ่งจะทยอยนำเข้าประจำการแทนเรือพิฆาตชั้นอาร์ลีห์เบิร์ค.
       .


มากันเป็นขบวนใหญ่ -- กองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่นำโดยเรือจอห์น ซี สเตนนิส (USS John C Stennis) CVN 74 แล่นเข้าสู่แปซิฟิกตะวันตกในภาพวันที่ 16 ส.ค.2554 จ่าฝูงลำนี้ถูกเรียกให้กลับคนถิ่นเก่าก่อนกำหนดถึง 4 เดือน ขณะนี้อยู่ในทะเลจีนใต้แล้ว ในภารกิจ "ช่วยรักษาสันติภาพ" จะไปที่ไหนก็ไปกันเป็นขบวนใหญ่ ยังมี "มฤตยูใต้ผิวน้ำ" ที่ไม่เปิดเผยตัวตนอีกต่างหาก. -- US Navy Photo/Mass Communication Specialist 2nd Class Walter M Wayman.
       
2



เครื่องบินรบ F-22 "แร็พเตอร์" ทำโซนิคบูมขณะบินผ่านเรือบรรทุกเครื่องบินจอห์น ซี สเตนนิส ในอ่าวอะแลสกาวันที่ 22 ม.ย.2552 ระหว่างการฝึก สักวันหนึ่งจะได้เห็น "แร็พเตอร์" บนเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐฯ กลับสู่ภูมิภาคนี้อย่างเป็นขบวนใหญ่โตมาก. -- DoD Photo/Mass Communication Specialist 3rd Class Josue L Escobosa, US Navy/Released.
       
3



เครื่องบินรบ F/A-18E "ซูเปอร์ฮอร์เนต" แท็กซี่เข้าสู่ระบบดีดตัว พร้อมจะขึ้นบินจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินจอห์น ซี สเตนนิส ในทะเลตอนใต้รัฐแคลิฟอร์เนีย ในภาพวันที่ 7 พ.ค.2551 เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้นำกองเรือโจมตีเข้าทะเลจีนใต้อย่างเงียบๆ พร้อมกับอีกกองหนึ่งที่นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George Washington "เพื่อรักษาสันติภาพและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ กับพันธมิตรกับบรรดาหุ้นส่วน". -- DoD Photo/Petty Officer 3rd Class Jonathen Davis, US Navy (Released).
       
4



เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์จอร์จ วอชังตัน (USS George Washington) ขนาด 97,000 ตัน แห่งกองทัพเรือที่ 7 ไปถึงเมืองท่าปูซาน (Busan) เกาหลี วันที่ 27 มิ.ย.2555 เพื่อร่วมฝึกซ้อม CVN 73 นำกองเรือโจมตีเคลื่อนเข้าสู่แปซิฟิกตะวันตกเงียบๆ ขณะนี้อยู่ในทะเลจีนใต้แล้ว. -- REUTERS/Jo Jung-ho/Yonhap.
       
5



ลูกเรือมองดู F/A-18E ซูเปอร์ฮอร์เนต แล่นลงจอดบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินจอร์จ วอชังตัน (USS George Washington) วันที่ 24 มิ.ย.2555 ขณะร่วมฝึกซ้อมในทะเลเกาหลี เรือจอร์จ วอชิงตัน นำกองเรือโจมตีเข้าทะเลจีนใต้อย่างเงียบๆ และกำลังปฏิบัติการอยู่ในน่านน้ำแห่งความขัดแย้งแห่งนี้แล้ว. -- REUTERS/Lee Jae-Won.
       
6



เรือลาดตระเวนคาวเพนส์ (USS Cowpens) ซึ่งเป็นเรือติดอาวุธนำวิถีชั้นติคอนเดโรกา (Ticonderoga Class) ทดลองยิงยานไร้คนบังคับหรือ "โดรน" ด้วยจรวดมาตรฐาน SM-2 ในมหาสมุทรแปซิฟิกวันที่ 20 ก.ย.2555 สัปดาห์ก่อนนี่เอง เรือลาดตระเวน (Cruiser) นับเป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเรือรบแบบต่างๆ ขณะนี้เรือคาวเพนส์กำลังปฏิบัติการอยู่ในทะเลจีนใต้ ในสังกัดกองเรือบรรทุกเครื่องบินจอร์จ วอชิงตัน . -- REUTERS/Paul Kelly/US Navy Photo/Handout.

“พงศพัศ” ถอดเครื่องแบบตำรวจ สวมเสื้อ “เพื่อไทย” ชิงผู้ว่าฯ กทม.เมื่อ 1 ต.ค.55



รายงานพิเศษ
      
       เข้าสวมหมวกใบที่สอง ทำหน้าที่ “เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” หรือ “เลขาฯ ป.ป.ส.” ต่อจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตเลขาฯ ป.ป.ส. ที่โยกกลับไปขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สีกากีได้เพียงไม่กี่วัน
      
       พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. และเลขาฯ ป.ป.ส.คนใหม่เอี่ยมถอดด้าม ซึ่งเริ่มงานหัวขบวนปราบยาเสพติดมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็มีข่าวสะพัดหน้าหู เตรียมโบกมือลาจากตำแหน่ง
      
       ถอดเครื่องแบบสีกากี!!!
       ทิ้งเก้าอี้ เลขาฯ ป.ป.ส.!!!
      
       ไปลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” หรือ “ผู้ว่าฯ กทม.” ในนามพรรคเพื่อไทย
      
       ตามเสียงสัญญาณที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่แห่งดูไบ ส่งผ่านมาจากข้างสนามการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ประเทศสิงคโปร์
      
       หลังจากพรรคเพื่อไทยเพียรพยายามหาผู้ที่เหมาะสมมาลงชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถเคาะหาตัวบุคคลลงชิงตำแหน่งได้ แม้สมาชิกพรรคหลายคนจะพยายามเชียร์ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้มาเป็นแม่เมือง กทม. แต่ก็ดูเหมือนว่าหญิงหน่อยจะเซย์กู๊ดบาย อ้างหันหน้าสานต่อทางธรรมทั้งที่อยากสุดๆ
      
       เช่นเดียวกับชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พยายามผลักดันให้ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. “บิ๊กอ๊อบ” พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดูจะไม่สนใจการเมืองสนามเล็ก
      
       หรือล่าสุดการโยนหินถามทาง ด้วยการส่ง “ชัชชาติ สุทธิพันธุ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดีกรีระดับดอกเตอร์วิศวะมาชิมลาง ก็ทำท่าจะจุดกระแสคนเมืองหลวงไม่ติด เพราะต้องยอมรับว่าสนามการเมือง กทม. ไม่ใช่แค่มีดีกรีอย่างเดียวจะครองใจคนกรุงได้ ต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบด้วย
      
       ตามคุณสมบัติผู้ว่าฯ กทม.ในใจ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการมา ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยออกมาเปิดเผยถึงสเปกไว้ก่อนหน้านี้ บอกว่ามีอยู่ 5 ข้อ คือ 1. ประชาชนรู้จัก 2. ไม่มีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริต 3. ปราบปรามยาเสพติดเก่ง 4. สามารถประสานแก้ไขปัญหาจราจรได้ และ 5. แก้ปัญหาอาชญากรรม
      
       “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” จึงเป็นชื่อที่ถูกเคาะออกมาว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
      
       ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.!!!
      
       เพราะชื่อเสียง พล.ต.อ.พงศพัศ ในสายตาชาวบ้านก็ต้องเรียกว่าน้องๆ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรดังเหมือนกัน
      
       ยิ่งสนามการแข่งขัน กทม.เที่ยวนี้คู่แข่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงติดตาตรึงใจชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. เจ้าของฉายาวีรบุรุษนาแก ซึ่งเคยสร้างผลงานเข้าตาคนเมืองกรุงด้วยการปราบปรามมาเฟีย ผู้มีอิทธิพลย่านตลาดโบ๊เบ๊ จนกลายเป็นขวัญใจแม่ค้า และจัดระเบียบการจอดรถริมถนนจนตำรวจจราจรขาดรายได้ แต่คนใช้รถใช้ถนนพอใจ เพราะช่วยบรรเทารถราติดขัดได้ในระดับหนึ่ง
      
       หรือ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีต รอง ผบช.น. ที่ลาออกจากราชการ หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็มีข่าวจะมีชื่ออยู่ในผังรองผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหาคู่แข่งที่สามารถเรียกคะแนนจากชาวบ้านร้านตลาด
      
       หันมาดูฟากฝั่ง พล.ต.อ.พงศพัศ ก็เชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะเต็มใจเดินตามความประสงค์ของ “นายใหญ่ดูไบ” เพราะไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ขึ้นอยู่ว่าจะได้มากหรือได้น้อยเท่านั้น เนื่องจากหากมองเส้นทางสีกากีของ พล.ต.อ.พงศพัศ แม้การก้าวสู่เก้าอี้ “ผบ.ตร.” ผู้นำสูงสุดในอาชีพตำรวจ จะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนเส้นทางจะต้องเชิญขวากหนาม ชนิดเรียกว่า “ดงหนาม” เลยทีเดียว
      
       ตามอายุราชการ พล.ต.อ.พงศพัศจะเกษียณราชการปี 2559 และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. คนปัจจุบันจะเกษียณราชการ ปี 2557 แต่เมื่อถึงช่วงนั้นก็ยังมี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ชื่นชอบเกษียณราชการปี 2558 ขวางกันอยู่
      
       หากผ่านหรือรอ พล.ต.อ.วรพงษ์เกษียณราชการ ก็ยังต้องช่วงชิงกับเพื่อน นรต.31 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ที่กำลังเข้าคิวรอขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ตามลำดับในเร็วๆ นี้ และต้องยอมรับว่า การจะแข่งกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เมื่อถึงจังหวะสำคัญเช่นนั้น ถือเป็นงานหินอย่างมาก เพราะด้วยองค์ประกอบต่างๆ ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เกื้อกูลหนุนให้ก้าวขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” มากกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ
      
       การเลือกออกมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะหากได้รับเลือกเป็น “พ่อเมืองกรุงเทพฯ” พล.ต.อ.พงศพัศ ก็จะอยู่ตำแหน่งไปอีก 4 ปี คือถึงปี 2560 มากกว่าการเป็นตำรวจ ที่ต้องเกษียณราชการปี 2559 เสียอีก
      
       หรือถ้าลาออกแล้วมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. หากไม่ได้รับการเลือกตั้งก็สามารถขอกลับเข้ารับราชการตำรวจได้อยู่แล้วตามสิทธิ และยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เมื่อพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ
      
       ที่สำคัญเหนืออื่นใด งานนี้ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ.พงศพัศ ย่อมได้ใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เสียสละลาออกจากตำแหน่ง เพื่อมาช่วยพรรคเพื่อไทย ซึ่งคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือที่จะไม่ตอบแทนสิ่งใดให้
      
       เหมือนอย่างที่ได้ยินได้เห็นกันมาแล้วว่ายุคนี้เป็นยุค...
      
       “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
      
       งานนี้เรียกว่า...“คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม” สำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ
      
       และที่สำคัญหากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ สนามเลือกตั้งชิงเก้าอี้ “ผู้ว่าฯ กทม.” จะดุเดือดเลือดพล่าน ไม่แพ้การเลือกตั้งสนามใหญ่ ช่วงชิงการเป็นพรรคที่ได้ ส.ส.สูงสุด เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะเป็นศึกระหว่างคน"สีกากี"ด้วยกันเอง
      
       “น้อง” จะหัก “พี่” - “พี่” จะขยี้ “น้อง” หรือตาอยู่จะคว้าพุงปลาไปกิน แค่คิดก็มันแล้ว

2 ปี นิติราษฎร์ 6 ปี รัฐประหาร (ชมคลิป) เมื่อ 1 ต.ค.55



(ที่มา : มติชนรายวัน 1 ตุลาคม 2555)




หมายเหตุ - คณะนิติราษฎร์จัดการจัดงานนิติราษฎร์เสวนาเรื่อง "2 ปี นิติราษฎร์ 6 ปี รัฐประหาร" มีเสวนาหัวข้อ "นักกฎหมายไทยกับรัฐประหาร" โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ เสวนาหัวข้อ "รัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ" โดย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์, นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน

เกษียร เตชะพีระ
คณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การทำการรัฐประหารจะใช้กำลังของทหารแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทหารมีแต่กำลังอาวุธ จึงต้องอาศัยพลเรือนสนับสนุนในเรื่องความรู้และเทคนิคทางวิชาการ จากบรรดาเนติบริกร รัฐศาสตร์บริการ และเทคโนแครตในสาขาต่างๆ

ในประวัติศาสตร์ การใช้อำนาจเถื่อนเฟื่องฟูหลังจากการรัฐประหาร 8 มิถุนายน พ.ศ.2490 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เข้าสู่อำนาจเป็นครั้งที่ 2 โดยเฉพาะตำรวจอัศวินแหวนเพชรของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ การฆาตกรรมทางการเมืองเป็นไปอย่างเข้มข้น จนกระทั่งนำไปสู่จุดสุดยอดในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลักนิติรัฐจบลงโดยสิ้นเชิง ช่วงนี้เรารู้จักมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2502 มีผลทำให้เกิดการรวบอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่ายไว้ในมือของนายกฯแต่เพียงผู้เดียว นายกฯมีอำนาจในการสั่งประหารชีวิต จับกุมคุมขังใครก็ได้ หรือกล่าวง่ายๆ ว่าทำให้คนคนเดียวปกครองแผ่นดินโดยชอบด้วยกฎหมาย สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากนักกฎหมายที่มีบทบาทในการทำลายหลักนิติรัฐ ทำหลายหลัก "rule of law" และสถาปนา "rule of กู"

หากวิเคราะห์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เราจะสังเกตเห็นว่าภาระหน้าที่หลักของนักกฎหมายมหาชนหลัง 14 ตุลาฯ มี 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1.งานช่างเทคนิคด้านอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ 2.งานเชื่อมต่อระหว่างระบอบเผด็จการกับระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างอธิบายว่าสถาบันเป็นที่สถิตของอำนาจอธิปไตยระหว่างที่คณะรัฐประหารยึดอำนาจ

และ 3.ประสานหลักนิติธรรมเข้ากับพระราชอำนาจ หรือที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์ ทั้งหมดนี้ส่งผลทำให้การรัฐประหารกลายเป็นธรรมชาติธรรมดาของระบอบประชาธิปไตยไทยหลัง 14 ตุลาคม

วรเจตน์ ภาคีรัตน์

คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ก่อนการรัฐประหาร 2490 แม้สังคมไทยจะถูกปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมบ้าง แต่ก็ยังมีหลักนิติรัฐหรือระบบกฎหมายคอยเหนี่ยวรั้งอยู่ ไม่ให้การใช้อำนาจเป็นไปอย่างเกินเลยมากนัก แต่หลังจากการรัฐประหารส่งผลให้หลักนิติรัฐเปลี่ยนไปอย่างสำคัญ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ กับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรปี พ.ศ.2492 ที่ร่างขึ้นหลังรัฐประหารในครั้งนั้นเป็นต้นแบบให้กับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาจนถึงปัจจุบัน

และขณะนี้เรากำลังจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ข้อโต้แย้งสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ห้ามแตะต้องหมวดที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่คำถามสำคัญคือ การห้ามแบบนี้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2550 หรือไม่ ปรากฏว่าไม่มี รัฐธรรมนูญระบุว่าห้ามแก้รัฐธรรมนูญก็ต่อเมื่อ 1.เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ 2.เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง หมายความว่าแก้ได้หากยังมีลักษณะเป็นรัฐเดี่ยว ปกครองด้วยระบอบประชา ธิปไตย และต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่ความคิดที่ว่าห้ามแตะต้องนั้นถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุดของการรัฐประหาร พ.ศ.2490 ถือเป็นมรดกที่สืบทอดมาจนทำให้ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับการดำรงอยู่ของสถาบันว่าสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร

แต่ในปัจจุบัน หากเราต้องการให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง อย่างน้อยต้องมีการปฏิรูป ทั้งสถาบันตุลาการ และกองทัพ ทั้งหมดนี้ต้องทำพร้อมกัน ทั้งนี้ ต้องเกิดการอภิปรายกันอย่างสร้างสรรค์ว่าจะปรับเปลี่ยนไปแบบไหน อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของเรา โดยใช้ระบบปกติซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี

ปิยบุตร แสงกนกกุล

คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ขอแบ่งนักกฎหมายมหาชนไทยออกเป็น 2 กลุ่ม ตามช่วงเวลา ได้แก่ 1.นักกฎหมายฝ่ายคณะราษฎร หลังการปฏิวัติ 2475-2500 ได้ช่วยกันผลิตตำราและเผยแพร่แนวคิด "รัฐธรรมนูญนิยม" ให้ทุกสถาบันทางการเมืองต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ สถานะและบทบาทสถาบันกษัตริย์เป็นไปตามหลัก "the king can do no wrong"

และ 2.นักกฎหมายมหาชนในระบอบประชา ธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่ อาจารย์เกษียร เตชะพีระ เรียกว่านักกฎหมายมหาชนหลัง 14 ตุลาฯ คนกลุ่มนี้ไม่เคยให้ความสำคัญการปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เนื่องจากมองว่าไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นเพียงการยึดอำนาจ เป็นเพราะนักกฎหมายเหล่านี้เกิดและเติบโตภายใต้ยุคสมัยที่อุดมการณ์กษัตริย์นิยมที่ได้รับการฟื้นฟูหลังจากรัฐประหารโดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ในวิชาประวัติศาสตร์ กฎหมายไทยไม่มีการพูดถึงการปฏิวัติ 2475 ทั้งๆ ที่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นเป็นการทำให้อำนาจเป็นของราษฎร อีกทั้งยังทำให้หลักนิติรัฐเป็นใหญ่ นักกฎหมายจึงเป็นใหญ่ตามไปด้วย เป็นผู้ผูกขาดการกำหนดว่าอะไรคือความยุติธรรม

ในเมื่อนักกฎหมายไทยยังมีความคิดอยู่ในระบบเก่า จึงมีความปรารถนาที่จะทำให้สังคมกลับไปเหมือนเดิมให้มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถจะเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจน หรือเสนออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้งได้ จึงอาศัยการบิดเบือน ตัดต่อพันธุกรรมให้ผิดเพี้ยน โดยอาศัยการอ้างธรรมเนียมประเพณีมาบิดเบือนระบอบใหม่ให้เข้ากับระบอบเก่า จนกลายเป็นระบอบการปกครองที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน


ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล

คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 แม้จะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้าย โดยเฉพาะในมาตรา 65 หมวด 3 ที่ระบุสิทธิของประชาชนในการต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือการรัฐประหารไว้ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี การกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" แต่แล้วก็ถูกฉีกไปด้วยการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549

เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็มีบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการต่อต้านการรัฐประหารไว้ใน มาตรา 69 ส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยมีข้อความเหมือนกับที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 ทุกประการ แต่หากพิจารณาต่อไปให้ดีจะเห็นว่าภายในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2550 กลับสอดแทรกมาตรา 309 มีใจความระบุให้ผู้ที่กระทำรัฐประหารพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

หากเราเทียบเคียง 2 มาตรานี้จะได้เห็นว่าภายในรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน แต่กลับมีความลักลั่น กล่าวคือ บอกว่าประชาชนมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญหากมีผู้ใดมาล้มล้าง แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่าถ้าเกิดการรัฐประหารก็ชอบด้วยกฎหมาย

ทำให้เห็นว่าการรัฐประหาร 19 กันยาฯ สังคมไทยถูกหลอก แต่วันนี้ผมเชื่อว่าถ้าเรายืนยันว่าจะต้านรัฐประหาร เราไม่ต้องไปหวังพึ่งใครหรือสถาบันทางการเมืองใดอีกแล้ว เพราะอำนาจที่แท้จริงเป็นของประชาชน ผมคิดว่าถ้ามีใครคิดจะทำรัฐประหารอีก ตอนนี้เหลือแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเราตลอดมา


คลิปเสวนาหัวข้อ "รัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ"


Published on Sep 30, 2012 by
นิติราษฎร์ จัดเสวนา "๒ ปี นิติราษฎร์ ๖ ปี รัฐประหาร" หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีกำหนดการดังนี้ ๑๓.๐๐ - ๑๓.๓๐ "นักกฎหมายไทยกับรัฐประหาร" ปาฐกถานำ โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ๑๓.๓๐ - ๑๔.๐๐ กิจกรรมรำลึกนวมทอง ไพรวัลย์ "๖ ปี แท็กซี่ชนรถถัง"๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ "รัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ"วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ปิยบุตร แสงกนกกุล ดำเนินรายการโดย ธีระ สุธีวรางกูร๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ บทบาทของ คอป. กับการ "ปรองดอง"? ถ่ายทอดสดโดยทีมงานม้าเร็ว http://speedhorsetv.blogspot.com

"ไต้ฝุ่นเจอลาวัต"ถล่มญี่ปุ่นหนัก พัดรถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบ (ชมคลิป) เมื่อ 1 ต.ค.55



พายุไต้ฝุ่นเจอลาวัตพัดถล่มกรุงโตเกียวอย่างหนัก หลังถล่มเกาะโอกินาวะอย่างรุนแรง ถึงขนาดรถยนต์ที่จอดอยู่ถูกพัดกระเด็นไปไกล

ภาพวิดีโอจากช่างภาพสมัครเล่นที่โพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตเผยให้เห็นฤทธิของพายุไต้ฝุ่นเจอลาวัตขณะถล่มเกาะโอกินาวะของญี่ปุ่นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้หอบรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าค่ายทหารคินเซิร์มของนาวิกโยธินสหรัฐบนเกาะโอกินาวะ ภาคใต้ของญี่ปุ่น พลิกตะแคงและแรงลมยังพัดรถคันดังกล่าวเคลื่อนไปตามพื้นถนนและปลิวกระเด็นกระดอนหมุนคว้างราวใบ้ไม้ปลิวตามลม เจ้าของคลิปดังกล่าวก็คือ โจเซฟ  เอ็ม.โนแลนด์ นาวิกโยธินสหรัฐ

หลังจากถล่มเกาะโอกินาวะและบริเวณใกล้เคียง จนนำทำให้มีผู้บาดเจ็บราว 163 คน ไฟฟ้าดับทั่วเมืองและการจราจรเป็นอัมพาตแล้ว  พายุไต้ฝุนเจอลาวัตก็เคลื่อนตัวเข้าถล่มกรุงโตเกียวเป็นเป้าหมายต่อไป ด้วยความแรงลมที่จุดศูนย์กลาง 126 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่เมืองนาโกยาในภาคกลางของญี่ปุ่นนั้น มีการอพยพประชาชนกว่า 50,000 คน หนีน้ำจากแม่น้ำล้นตลิ่ง อันเป็นผลมาจากพายุไต้ฝุนเจอลาวัต นอกจากจะทำให้การจราจรในกรุงโตเกียวเป็นอัมพาตแล้ว ยังทำให้สายการบินกว่า 600 เที่ยวบินต้องยกเลิก และมีผู้เสียชีวิต 1 คน

อำเภอโพธิ์ประทับช้าง ยังคงหนักบ้านเรือน ปชช.ถูกน้ำท่วมเพิ่มอีก 2 ตำบล เมื่อ 1 ต.ค.55



สถานการณ์น้ำท่วมในเขตอำเภอโพธิ์ประทับช้าง ยังได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอำเภอโพธิ์ประทับช้างได้รับน้ำจาก จังหวัดสุโขทัยและ อำเภอบางระกำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งน้ำจะต้องไหลผ่านมายังอำเภอสามง่ามและอำเภอโพธิ์ทับช้าง ซึ่งจากเดิม อำเภอโพธิ์ประทับช้างได้รับผลกระทบจากแม่น้ำยมที่อ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมตำบลวังจิก 10  หมู่บ้านท่วมบ้านเรือนประชาชนกว่า 500 หลังคาเรือน แต่ขณะนี้ น้ำยังไหลเข้าท่วมบ้านเรือน เพิ่มอีก 2 ตำบลคือตำบลไผ่ท่าโพธิ์ 1,2,4,5,8,9,10 น้ำท่วมบ้าน  200 หลังคาเรือน และตำบลดงเสือเหลือง  น้ำท่วมนาข้าวกว่า 200 ไร่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำดังกล่าวยังไหลเข้าท่วมวัด อีก 2 แห่ง คือวัด  ย่านยาว และวัดวังเทโพ และสำนักสงฆ์โพธิ์เจริญ  ตำบลวังจิก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง พระได้รับความลำบากเพราะน้ำท่วมกุฎิวัด  โรงเรียน  2 แห่งคือโรงเรียนวัดวังจิกและโรงเรียนบ้านใหม่แสงมรกต   ถนนคสล ในหมู่บ้าน 34 สายถนนลูกรัง 15 สาย 

นายมานะ  บุญผ่อง กำนันตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ระดับน้ำในแม่น้ำยมมีปริมาณสูงขึ้นต่อเนื่องระดับน้ำขึ้นวันละ  5-10 เซ็นต์ ต่อ 1 วันซึ่ง ขณะนี้น้ำท่วมบ้านเรือนตำบลรังนก แล้ว 10 หมู่บ้าน ถึงแม้ว่าน้ำจะท่วมไม่มากเท่ากับปี 54 แต่ ชาวบ้านต่างก็ได้รับความเดือดร้อนมากเช่นกัน โดยเฉพาะหมู่ที่ 11และหมู่ที่ 7  ถูกน้ำท่วมอย่างหนักน้ำท่วมสูงถึง2 เมตร  ชาวบ้านกำลังเริ่มขาดน้ำและอาหารถึงแม้ชาวบ้านจะได้รับถุงยังชีพพระราชทานจากแล้วก็ตามแต่ก็ไม่เพียงพอ ซึ่งเท่าที่ทราบว่าท่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร  คนเดิมนั้น ได้ประกาศให้พื้นที่อำเภอสามง่าม เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ แต่ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นอำเภอหรือจังหวัดแต่อย่างใด

นครบาลเอาจริง! จี้ตร.ทุกสน.จับกุมรถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เริ่มตั้งแต่วันนี้ เมื่อ 1 ต.ค.55



วันที่ 1 ต.ค. พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) รับผิดชอบงานจราจร ได้สั่งการไปยังกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 - 9 กองบังคับการตำรวจจราจร และตำรวจจราจร 88 สน. ให้กวดขันจับกุมความผิดเกี่ยวกับป้ายทะเบียนรถยนต์และจักรยานยนต์ กรณีไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป หลังได้รับแจ้งจากกรมการขนส่งทางบกว่า ได้ดำเนินการจัดหาป้ายทะเบียนได้ครบแล้ว ส่วนของเจ้าของรถที่รอแผ่นป้ายทะเบียนใหม่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย เพราะเป็นการส่งผลกระทบต่อปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่กทม. อีกทั้ง จัดหารีโมตคอนโทรลสำหรับควบคุมสัญญาณไฟตามสี่แยกมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อให้ตำรวจที่เคยอยู่ประจำตู้ออกมาดูสภาพปัญหาการจราจรบนถนนด้วย นอกจากนี้ ยังกับชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยจราจร หามาตรการปฏิบัติแก้ปัญหาจราจรในช่วงฝนตกน้ำท่วมขัง โดยเน้นการทำงานเชิงรุก หรือสำรวจจุดน้ำท่วมขัง และจะเสนอแนวทางแก้ปัญหา ส่วนกรณีการแก้ปัญหาการจราจรในพื้นที่ที่มีการก่อสร้าง หากผู้รับเหมาไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการลดผลกระทบขณะก่อสร้าง สามารถห้ามผู้รับเหมาลงพื้นที่ก่อสร้างได้จนกว่าจะมีแนวทางแก้

ชาวตำบลโป่ง 4 หมู่บ้านกว่า 600 คน ปิดถนนประท้วง อบจ.เลย วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:22:03 น


เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ที่บริเวณทางแยกเข้าหมู่บ้านทุ่งน้ำใส  - บ้านห้วยลาด ต.โป่ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย มีชาวบ้านกว่า 500 คน จาก 4 หมู่บ้านนำโดยนายสมหวิน กัญญาประสิทธิ์ ตัวแทนบ้านทุ่งน้ำใส นายขอนแก่น ถิ่นน้ำใส ตัวแทนบ้านหินแลบ นายบุญล้ำ ศรีพรหม ตัวแทนบ้านป่าม่วง และนายลำพูน ราชอินตา ตัวแทนบ้านห้วยลาด ได้นำรถไถขนาดใหญ่ จำนวน 5 คัน ปิดถนนสายด่านซ้าย – หล่มสัก หลัก ก.ม.ที่ 16-17  เรียกร้องให้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย มารับหนังสือร้องเรียน

เนื่องจากถนนสายบ้านทุ่งน้ำใส บ้านหินแลบ บ้านป่าม่วง และบ้านห้วยลาด ระยะทางกว่า 26 ก.ม. อยู่ในความดูแล ของ อบจ.เลย เกิดชำรุดเสียหาย จนชาวบ้านไม่สามารถใช้สัญจรไม่สะดวก  ไม่ได้รับการเหลียวแล มาเป็นเวลากว่า 5 ปีบางครั้งเกิดการเจ็บป่วยการเดินทางล่าช้าจนต้องเสียชีวิตระหว่างทาง เด็กนักเรียนขับรถไปโรงเรียนได้รับอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การนำพืชผลออกจากไร่ลำบากมาก ยิ่งช่วงนี้เป็นฤดูฝน ถนนเป็นดินโคลนมาก ต้องเดินทางอ้อมกว่าจะถึงด่านซ้าย ต้องใช้ระยะทางเกือบ 100 ก.ม.การชุมนุมของชาวบ้านทำให้จราจรในเส้นทางดังกล่าวติดขัด                     

นายอาคม ภูละคร ปลัดความมั่นคงฯ อำเภอด่านซ้าย  ร่วมกับ ร.ต.ท.ธีระพงษ์ การบรรจง รอง.สว.สส.สภ.ด่านซ้าย  เดินทางไปอำนวยความสะดวกแก่ผู้ชุมนุม บรรยากาศในการชุมตัวแทนชาวบ้านได้ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตีว่า อบจ.เลย ไม่เหลียวแลชาวบ้าน  เอางบประมาณไปเที่ยวเมืองนอกกันสนุกสนาน ไม่เห็นความเดือดร้อนของราษฎร  ชาวบ้านได้ยึดถนนเป็นที่ชุมนุม และเปิดโดยถนนให้รถวิ่งได้เลนเดียว

นายสมหวิน กัญญาประสิทธิ์ ตัวแทนบ้านทุ่งน้ำใส กล่าวว่า พวกตนชุมนุมอย่างสันติ รอผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องมารับหนังสือ แต่ก็ยังเพิกเฉย มองไม่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน  จึงต้องยกระดับการร้องเรียนด้วยการปิดถนน ถ้าเจ้าหน้าที่จะจับกุม ก็พร้อมให้จับกุมดำเนินคดีทั้งหมดกว่า 600 คน ไม่หนีไปไหน ชาวบ้านต้องการร้องเรียนและยื่นหนังสือเท่านั้น  หากผู้เกี่ยวข้องมารับทราบความเดือดร้อน ชาวบ้านก็พร้อมที่จะสลายการชุมนุมปิดถนนทันที

เมา154พิธีรับ - ส่งหน้าที่ ผบ.กลน. ใน วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕



พิธีรับ - ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการกองเรือลำน้ำ ใน วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ระหว่าง พลเรือตรีธานี ผุดผาด ท่านเดิม ส่งหน้าที่ให้กับ พลเรือตรีพูลศักดิ์ อุบลเทพชัย ท่านใหม่ บริเวณ หน้า อาคาร ๓ กองบัญชาการกองเรือลำน้ำ โดยมีกำหนดพิธีการดังนี้

๑. ข้าราชการทหารกองประจำการ ลุกจ้าง และพนักงานราชการ แถวพร้อมบริเวณหน้าอาคาร ๓ บก.กลน.


๒.ผบ.กลน.(ท่านเดิม)ต้อนรับ ผบงกลน.(ท่านใหม่) เข้ามายังบริเวณพิธี


๓.รอง ผบ.กลน. สั่ง " ทั้งหมดตรง" และรายงานบัญชีพลผู้เข้าร่วมพิธีตอ ผบ.กลน.(ท่านเดิม)

๔.นายทหารเวรประจำวัน รายงานเหตุการณ์ต่อ ผบ.กลน.(ท่านเดิม)


๕.ผบ.กลน.(ท่านเดิม) สักการะพระพุทธรูป ทำความเคารพธงชาติ และถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์


๖.ผบ.กลน.(ท่านเดิม)  และ ผบงกลน.(ท่านใหม่) ขึ้นแท่นรับการเคารพ



๗.หน.กพ.กลน.หรือผู้แทน อ่านประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี




๘.ผบ.กลน.(ท่านเดิม) ให้โอวาทแก่ข้าราชการ และกล่าวมอบการบังคับบัญชาให้กับ ผบ.กลน.(ท่านใหม่) แล้วมอบเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ให้ ผบ.กลน.(ท่านใหม่)



๙.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) รับเอกสารรับ - ส่งมอบหน้าที่ แล้วกล่าวรับมอบการบังคับบัญชา

๑๐.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) มอบของที่ระลึกให้แก่ ผบ.กลน.(ท่านเดิม)



๑๑.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) เดินทางมายังบริเวณพิธี




๑๒.รอง ผบ.กลน. สั่ง "ทั้งหมดตรง" และรายงานบัญชีพล




๑๓.นายทหารเวรประจำวัน รายงานเหตุการณ์ต่อ ผบงกลน.(ท่านใหม่)


๑๔.ผบ.กลน.(ท่านใหม่)สักการะพระพุทธรูป ทำความเคารพธงชาติ และถวายควาใครพพระบรมฉายาลักษณ์





๑๕.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) ขึ้นแท่นรับการเคารพ



๑๖.ฝ่ายอำนวยการต่างๆ และ หน.นขต.กลน.รายงานตนเอง





๑๗.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) ให้โอวาทแก่ข้าราชการ





๑๘.เสร็จแล้วลงจากแท่นรับการเคารพ





๑๙.ผบ.กลน.(ท่านใหม่) ออกจากบริเวณพิธีไปยังห้องทำงาน ผบงกลน. เสร็จพิธี

รายการฟันธงท่วมหรือไม่ท่วม กรุงเทพ เมื่อ 26 ก.ย.55



ข่าวเช้าสุดสัปดาห์ 25 ก.ย.55




โรงพักระวังภัย 24 ก.ย.55




โรงพักระวังภัย 28 ก.ย.55




โรงพักระวังภัย 27 ก.ย.55




โรงพักระวังภัย ิ26 ก.ย.55



โรงพักระวังภัย 25 ก.ย.55




ข่าวข้นคนเนชั่น 28 ก.ย.55




ข่าวข้นคนเนชั่น 27 ก.ย.55




ม็อบจยย. เรียกร้องที่ทำกินกว่า 300 คัน เข้ากรุงเทพฯ จ่อบุกทำเนียบพรุ่งนี้ เมื่อ 30 ก.ย.55



วันที่ 30 ก.ย. ศูนย์วิทยุปทุมธานีได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ประตูน้ำพระอินทร์ราชา ให้ช่วยประสานตำรวจในเขตพื้นที่ จ.ปทุมธานี อำนวยความสะดวกขบวนรถจักรยานยนต์กว่า 300 คัน รถกระบะราว 15 คัน จากชาวบ้านกลุ่มภาคเหนือตอนบน ตลอดถนนพหลโยธิน เข้ากรุงเทพฯ โดยจะแวะพักที่ห้างวีเท็น เขตดอนเมือง โดยในวันพุ่งนี้ (1ก.ย.) จะไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล ในการเรียกร้องการจัดทำโฉนดชุมชน และการจัดตั้งสถาบันธนาคารที่ดิน หลังไม่ได้รับการปฏิบัติต่อจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และยังมีการแปลงเปลี่ยนหลักการจนผิดเจตนารมณ์ อีกทั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนได้มีที่ทำกินใหม่

สาวตรี สุขศรี: บทบาท คอป. กับการปรองดอง เมื่อ 30 ก.ย.55




วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:30:40 น.

วันนี้ เวลา 16.55 น. หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการอภิปรายและตอบคำถามโดยนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ หัวข้อ “บทบาทของ คอป. กับการ “ปรองดอง”” โดย อาจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์จากกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า ในรายงาน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ “คอป.” ซึ่งมี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ว่ามีการใช้ข้อเท็จจริงบางส่วนที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์


แต่ปัญหาคือข้อมูลดิบและหลักฐานซึ่งอ้างอิงถึงค่อนข้างน้อยประเด็นซึ่งต้องตั้งคำถามว่าคอป คือ 1.ผู้รับใช้รัฐบาลซึ่งเป็นผลพวงจากรัฐบาลสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


2.ในรายงาน คอป. ต้องตั้งคำถามถึงที่มาและการอ้างแหล่งข้อมูล ในแง่ข้อมูลจะให้น้ำหนักกับคำให้การกับเจ้าหน้าที่รัฐ


3.กว่าครึ่งของรายงาน คอป. พยายามอธิบายปัญหา ที่ก่อให้เกิดความไม่ปรองดอง และกล่าวถึง รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540

4. คอป.นำเสนอว่าปัญหาปัจจุบันคือการคอร์รัปชั่นของนักการเมือง แต่ คอป. กลับไม่อธิบายว่า ศาล องค์กรอิสระต่าง ๆ และ องคมนตรี ต่างถูกประชาชนตั้งคำถามถึงการคอร์รัปชั่นด้วยเช่นกัน


5.ผลพวงจากการชุมนุมด้วยการปิดสถานที่ต่าง ๆ ขณะที่ผลพวงจากการปิดสนามของ “กลุ่มเสื้อเหลือง”กลับไม่มีการกล่าวถึง 6.ใน “ผังล้มเจ้า” คอป. ไม่อธิบายว่าผังล้มเจ้าเป็นของปลอม

7.คอป. กล่าวว่าฝ่ายต่าง ๆ ควรหยุดนำ “สถาบัน” มาอ้าง แต่ คอป. ไม่เคยพูดถึงและการแสดงบทบาทของสถาบันนับตั้งการรัฐประหาร ว่าเหตุใดถึงต้องมีการอ้างสถาบัน แต่ คอป. พยายามอธิบายว่าคนเสื้อแดงมีความเกี่ยวพันกับคนเสื้อแดง ลักษณะการเขียนเช่นนี้ของ คอป. พยายามว่าอธิบายว่า “ชายชุดดำ” คือ “คนเสื้อแดง”

8.หลังการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553 เต็มไปด้วยพยานหลักฐานทั้งคราบเลือด กระสุนปืน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการสลายการชุมนุมกลับมีการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์” ซึ่ง คอป. ไม่มีการพูดถึงแม้แต่น้อย


ในแง่ข้อเสนอของ คอป. อาจารย์สาวตรี ตั้งข้อสังเกตว่า 1.ข้อเสนอของ คอป. ไม่พยายามแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างและรากฐาน ดังนั้นจะมาเรียกร้องให้คนเสื้อแดง หยุดออกมาเรียกร้องได้อย่างไร 2.ข้อเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ คอป. เสนอให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นการแฝงความคิด “ราชาชาตินิยม” โดยนำความปรองดองมาปิดปากประชาชน ทั้งที่ปัญหาของสถาบันทุกวันนี้เป็นเรื่องของความเชื่อและศรัทธาที่แตกต่างกัน


การดำเนินงานของ คอป.ได้งบประมาณทั้งสิ้น77 ล้านบาท แต่ตอบคำถามให้สังคมไทยได้หรือไม่ต้องนำไปคิดกันต่อไป และต้องขอนิยาม คอป. ว่า “คณะกรรมการแอบอ้างความเป็นกลางเพื่อรับรองความชอบธรรมให้กับการปราบปรามประชาชน”

ภาพจะจะ!! เมื่อรถเก๋งชนควายตายคาที่ แต่ทำไมไม่มีใครรับเป็นเจ้าของควาย เมื่อ 30 ก.ย.55




วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:39:23 น.









ภาพเหตุการณ์ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 กันยายน รถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ เลขทะเบียน กล 3130 นครราชสีมา ขับขี่โดยสุภาพสตรีสูงวัย ท่านหนึ่งพุ่งชนควาย เพศผู้ น้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม บริเวณทางคู่ขนาน ถนนมิตรภาพ ช่วงแยกเข้าบ้านขนาย ต.บ้านเก่า อ.เมือง นครราชสีมา ใต้สะพานต่างระดับ หน้ามหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล 2 ทำให้ควายตายคาที่ ส่วนรถเก๋ง ได้รับความเสียหายไม่สามารถขับขี่ต่อไปได้ ส่วนเจ้าของควาย ไม่สามารถติดตามตัวได้ และหลังเกิดเหตุไม่มีใครยอมแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเจ้าของควายตัวดังกล่าว 

ชายชุดดำ ชายใจดำ หรือ จะสู้ "ใจสว่าง" วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:45:55 น





การเมืองบ้านเรามีอะไรพลิกผันตลอด

ล่าสุดคือ การที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ต้องลาออกจากการเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะพยายามลดแรงกระเพื่อม โดยจะยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีในตอนนี้

แต่ก็คงทำได้ชั่วคราวเท่านั้น

ตามเคย กรณีนายยงยุทธ กลายเป็นความเห็นต่างทั้งทางกฎหมาย ทั้งทางการเมือง

ฝ่ายเพื่อไทย เสื้อแดง มองไปอีกด้าน พร้อมๆ กับความหวาดระแวงไปทั้งต่อองค์กรอิสระเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่า กกต. ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ

ฝ่ายประชาธิปัตย์ เสื้อเหลือง ก็มองไปอีกด้าน พร้อมๆ กับความหวังอันเต็มเปี่ยมว่า องค์กรอิสระจะชี้ขาดตามที่ตนเองหวัง

ต่างคนต่างมอง ต่างมีความหวัง

และพร้อมที่จะชน และ ปะทะ เพื่อจุดหมายนั้น

ในภาวการณ์อย่างนี้ จึงต้อง ใจกว้าง ใจสว่าง ให้มากๆ

มิฉะนั้น จะเกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ ดังกรณีล่าสุดที่คนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดงยกพวกเข้าตีกัน ที่หน้ากองปราบปราม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เห็นภาพดังกล่าวแล้วสลดใจ

สลดใจ ที่ความเกลียดชัง ฝังลึกอยู่ในใจของแต่ละฝ่าย และพร้อมจะแสดงออกมาตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องนั้นใหญ่หรือเล็กเพียงใด

ทำให้เกิดความห่วงใย และวิตกกังวล ว่า ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ยิ่งเรื่องที่ได้เสียทางการเมืองมากๆ ก็ยิ่งเปราะบาง

ดังนั้น ก็คงไม่สามารถทำอะไรอื่นใดได้ นอกจากเรียกร้องซ้ำซาก ให้ อดทน อดกลั้น มีสติ

และที่สำคัญ ใจกว้าง ใจสว่าง

อย่า ใจดำ

ที่วกมาเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอะไร หากแต่จะย้ำเตือน ถึงแผลอันฉกรรจ์ของสังคมไทย กรณีฆ่ากันกลางเมือง 98 ศพ บาดเจ็บ 2,000 คน

ซึ่งพร้อมจะนำไปสู่ความแตกร้าว รุนแรงได้ หากมีคำตอบที่ไม่ดีพอ

เช่นอยากจะให้เชื่อเหมือน คนในรัฐบาลที่แล้ว เชื่อว่า การที่ต้องยอมสละ 98 ศพ และทำให้คนบาดเจ็บพิกลพิการไป 2,000 คนเพราะต้องจัดการเพียงคนเสื้อ

ดำเท่านั้น

ก็ดูเหมือน จะใจดำไปหน่อย

ควรจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้มากๆ เพื่อที่จะไปลดความรู้สึก ญาติพี่น้องผู้ที่สูญเสีย ซึ่งเชื่อว่า มีคนจำนวนมาก ใน 98 ศพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อดำ และเป็นผู้บริสุทธิ์

เห็นคนในฝ่ายรัฐบาลชุดที่แล้ว หยิบฉวยเอาเรื่องคนเสื้อดำ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานของ คอป.มาเป็นคำยืนยันอันหนักแน่นปานภูผา ว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องปราบ

เอาล่ะไม่ว่ากัน เพราะเรื่องนี้ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่จะพิสูจน์กัน

บอกแล้วต้องเปิดใจกว้าง ทำใจสว่าง กันให้มากๆ

และเพื่อความสมดุล ก็อยากฝากบอกคนในรัฐบาลชุดที่แล้ว เช่นกัน ในรายงาน คอป.ที่ยกขึ้นมาอ้างเป็นสรณะขณะนี้ ก็เขียนไว้ชัดเจนประการหนึ่งว่าควรจะมี

การขอโทษจากรัฐบาลชุดที่แล้วที่เลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา

อย่าตอบแบบปากไว ไม่ทำผิดแล้วทำไมจะต้องขอโทษ

มันใจดำ ขอบอก

จับแล้ว"ตัวการใหญ่" ผู้สมัครนายก อบต. ร่วมกับเมีย ปล้นร้านทองหาเงินเลือกตั้งวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:09:29




เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่สถานีตำรวจ สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พ.ต.อ.ณัฐนนท์ ประชุม ผกก.สส.บก.1 ภ.4 พร้อมกำลัง ควบคุมตัวนายตรีรัตน์ วงเวียน อายุ 34 ปี ผู้สมัครชิงนายก อบต.ทมนางาม อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี ตัวการใหญ่ ร่วมกับนางนภาพร กวางอิ่ม อายุ 55 ปี ภรรยา และนายพงษ์พันธ์ เป้าอิ่ม อายุ 25 ปี ลูกน้อง ที่ถูกจับกุมได้ก่อหน้านี้ ข้อหาร่วมกันปล้นร้านทองพรเจริญ เลขที่ 223/3 ถ.พลับผือ อ.บ้านผือ กวาดทองไป 144 บาท มูลค่า 3.6 ล้านบาท มามอบให้ สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ

โดย พ.ต.อ.ณัฐนนท์ นำกำลังตำรวจ พร้อมหมายศาลจังหวัดอุดรธานีที่ จ.465/2555 ลงวันที่ 27 กันยายน ข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน จับกุมนายตรีรัตน์ ที่ห้องพักหมายเลข 233 สำเภาสุขอพาร์ตเมนต์ ซอยสุขาประชาสรรค์ (วัดกู้)  ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ขณะนอนอยู่ภายในห้อง ตรวจค้นพบอาวุธปืนขนาด .380 ยี่ห้อซิกซาวเออร์  1 กระบอก กระสุนปืน 14 นัด เงินสด 26,000 บาท โทรศัพท์ 3 เครื่อง

จากการสอบสวนผู็ต้องหาทั้งสองให้การนำทองรูปพรรณที่ปล้นมา ไปใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง นายก อบต.ทมนางาม ซื้อบ้านทรงไทยน๊อคดาวน์ 1 หลัง และใช้หนี้พนัน ที่เหลือบางส่วนได้นำซุกซ่อนไว้ในบ่อเกรอะ บ้านเลขที่ 128 หมู่ 2 ต.ม่วงค่อม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนางนภาพร ส่วนรถยนต์ได้นำไปขายที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ตำรวจจึงควบคุมตัวไปตรวจยึดทองรูปพรรณที่ ซึ่งห่อด้วยถุงพลาสติกใส พันทับด้วยผ้าขาวผูกทับด้วยเชือกฟาง แล้วหย่อนลงไปใสบ่อเกรอะ เมื่อนำขึ้นมาล้างน้ำและเปิดออก พบสร้อยคอทองคำน้ำหนักแตกต่างกันและมีสภาพขาด จำนวน 56 เส้น เลสทองคำ 3 เส้น น้ำหนักรวม 25 บาท จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางมาโรงพักบ้านผือ จ.อุดรธานี

ระดมทหารสร้างแนวกำแพงเขื่อนไม้ไผ่ ป้องกันแม่น้ำปราจีนทะลักท่วม"ศรีมหาโพธิ์-ศรีมโหสถวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:19:40 น."


ระดมทหารสร้างแนวกำแพงเขื่อนไม้ไผ่ ป้องกันแม่น้ำปราจีนทะลักท่วม"ศรีมหาโพธิ์-ศรีมโหสถ"



เมื่อเวลา 17.40 น. วันที่ 30 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วม จ.ปราจีนบุรี   ได้เกิดฝนตกหนักพื้นที่ จ.สระแก้วส่งผลให้น้ำป่า ยังหลากผ่านแควพระปรงมาสมทบแควหนุมานที่ตลาดเก่า เทศบาลตำบลกบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี  ระดับน้ำยังล้นตลิ่งท่วมพื้นที่เทศบาลตำบลกบินทร์ ที่ตั้งริมต้นแม่น้ำปราจีนบุรี โดยน้ำยังทรงตัว  ท่วมเฉลี่ยสูงกว่า 1.80เมตรและในตลาดท่าประชุม เทศบาลตำบลศรีมหาโพธิ์ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ที่ตั้งติดริมแม่น้ำปราจีนบุรี ระดับน้ำยังท่วมทั้งตลาด ระดับน้ำสูงกว่า 1.60 เมตร โดยในวันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.55) เวลา 13.00 น.   น.ส.จิตรา  พรหมชุติมา ผวจ.ปราจีนบุรี กำหนดแถลงสื่อมวลชนถึงสถานการณ์น้ำท่วม จ.ปราจีนบุรี ที่ศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี

ส่วนที่บริเวณ กม.15  ถนนปราจีนบุรี – ศรีมหาโพธิ์  ที่ตั้งติดริมแม่น้ำปราจีนบุรี หมู่ 4 ต.ดงกระทงยาม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี   องค์การบริหารส่วนตำบลดงกระทงยาม (อบต.) อ.ศรีมหาโพธิ์   จ.ปราจีนบุรี ได้เร่งระดมกำลังทหาร จากมณฑลทหารบกที่ 12 ค่ายจักรพงษ์ อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรีร่วมกับชาวบ้านกว่า 100 คน นำต้นยูคาลิปตัสใช้รถแบ็คโฮ 1 คันตอกเป็นเสาเข็มโดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นแนวกำแพงกั้นติดริมแม่น้ำปราจีนบุรีเป็นระยะทางกว่า    100 เมตร  ท่ามกลางสายน้ำไหลเชี่ยวระดับลึกกว่า 2.00 เมตร บรรยากาศเต็มไปด้วยความยากลำบาก พร้อมกันนี้บริเวณติดถนนได้ใช้รถแบ็คโฮขุดกั้นคันดินยาวกว่า 300 เมตร  เพื่อป้องกันน้ำไหลบ่าทะลักเข้าสู่ พื้นที่ ตงดงกระทงยาม ตงหาดยาง ต.บางกุ้ง อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี และไหลเข้าสู่พื้นที่ อ.ศรีมโหสถพื้นที่ต่อเนื่องกันก่อนไหลเข้าท่วมถึง จ.ฉะเชิงเทรา

เจาะใจ"อดุลย์ แสงสิงแก้ว" วันขึ้นแท่น"ผบ.ตร."...ผมจะไม่แก้ตัวว่าผมเป็นแดงเป็นเหลือง เมื่อ 30 ก.ย.55


เจาะใจ"อดุลย์ แสงสิงแก้ว" วันขึ้นแท่น"ผบ.ตร."...ผมจะไม่แก้ตัวว่าผมเป็นแดงเป็นเหลือง



 1 ตุลาคม 2555 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว หรือ บิ๊กอู๋ จะนั่งในตำแหน่ง "ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)"

 โดย "มติชน" สัมภาษณ์พิเศษ พล.ต.อ.อดุลย์ ถึงแนวคิด ทิศทาง และมุมมอง บนเก้าอี้ "ผบ.ตร.คนที่ 9" มีไฮไลต์น่าสนใจ ดังนี้ 

- เมื่อเป็น ผบ.ตร. มีทิศทางการขับเคลื่อนอย่างไร
ผมเน้นผู้นำ ถ้าทำไม่ได้ ผมไม่โทษคนอื่นเลย ถ้าไม่ดี เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผมต้องรับผิดชอบ ผมเป็นคนแรกที่หนีไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามันดี แต่มีกองบัญชาการที่อ่อน ปล่อยปละละเลยลูกน้อง ไม่เคยพัฒนา ข้อมูลไม่เคยปรับ ประชาชนร้องเรียน อาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง ตำรวจไร้วินัย ผบช.ภ.ต้องรับผิดชอบ ต้องดูเหตุผลประกอบ นี่คือความสำนึกของการขับเคลื่อน 

แต่ถ้ามีจังหวัดไหนไม่ดี แย่จริงๆ ผบก.ภ.จว.ต้องรับผิดชอบ ต่อไปสุดท้ายคือโรงพัก หาก ผบช.ทุกระดับ

เต็มที่ ผมเต็มที่ ผบช.เต็มที่ ผบก.ภ.จว.เต็มที่ หัวหน้าสถานีเต็มที่ ผมคิดว่าปัญหาน้อยลงเยอะ มีปัญหาแน่นอน แต่จะน้อยลง ผู้บังคับบัญชาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา รับผิด รับชอบ และอยู่เคียงข้างลูกน้องเท่านั้นเอง ผมว่ามันไม่ง่ายนะ แต่มันจะเห็นผลในการบริหารงานไม่มีอะไรสมบูรณ์ ผมโตจากภาวะขาดแคลน เป็นหัวหน้าสถานีในต่างจังหวัด ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร เพราะเขาให้เรามาแก้ปัญหา"

- ช่วงเดือนกันยายนที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. (คนที่ 8) เริ่มวางมือ ให้ท่านทดลองงานมองเห็นอะไรบ้าง 

ผมว่ามันเป็นงานยากมากนะ ใหญ่มาก กำลังพล 2 แสนนาย มีภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะมาก ได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.

เพรียวพันธ์ ทราบปัญหาว่ามีหลายอย่าง ซึ่งน้อมรับ สำหรับผมทำเต็มที่ เต็มความสามารถ อุทิศเวลาที่เหลือให้ตรงนี้ แต่ไม่ง่ายเลย เพราะเป็นหน่วยที่ใหญ่และสัมผัสประชาชน มีโรงพัก 1,400 สถานี ประชากร 60 กว่าล้านคน ดูแลเรื่องความปลอดภัยกฎหมาย บริการ มันกระทบตลอดเวลา ต้องวางระบบให้ลูกน้องสามารถเดินได้ ถ้าผู้นำ 4 ระดับทุ่มเทเต็มที่ยังไงก็ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่ไม่มีอะไรสมบูรณ์นะในความเป็นจริงไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยถ้าผู้นำดี การขับเคลื่อนตามแผนจะไปได้

- สังคมคาดหวังว่าจะสามารถทำให้สถานการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ดีขึ้น กดดันหรือไม่

ตัวผมไม่กดดันนะ ผมพยายามเต็มที่ทุกเรื่อง แต่การแก้ปัญหามีหลายมิติ ในบทบาทของตำรวจผมทุ่มเทเต็มที่ เรื่องนี้วาระแห่งชาติ เหมือนเรื่องยาเสพติด เรื่องอาเซียนผมให้ความสำคัญมาก

ผมอยู่ในสถานการณ์หนักมาตลอดชีวิต ตัวเราต้องทุ่มเททั้งสติปัญญาและความสามารถ แต่ไม่มีอะไรสมบูรณ์หรอก ขึ้นอยู่กับว่าเราทุ่มเทอย่างไรบ้าง และลงมือทำจริงๆ

- เป็น ผบ.ตร.ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้ง อาจถูกครหาเป็นคนของพรรคนี้ การเมืองซีกนี้ 
ต้องไปย้อนดูวิสัยทัศน์ตำรวจต้องเป็นมืออาชีพในการดูแลความสงบเรียบร้อยสังคม

ชุมชน เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วยความเป็นธรรม และเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการแก้ปัญหาตามกฎหมาย ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องยืนให้ได้ อุดมการณ์และภารกิจที่ปฏิบัติ ต้องยึดกฎหมาย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ

ตำรวจต้องเป็นผู้รักษากฎหมาย เพื่อให้บ้านเมืองอยู่ได้ ให้ความเป็นธรรม นี่คือสิ่งที่ผมยึดถือตลอด ไปภาคใต้ ที่ไหนๆ ผมยึดถือตลอด ตำรวจเป็นกลไกเครื่องมือของรัฐบาลอยู่แล้วในการดูแลความเรียบร้อย 

- ตำแหน่ง ผบ.ตร. อ่อนไหว แม้แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เครือญาติรัฐบาลยังมีข่าวลือจะเด้ง กังวลหรือไม่

ผมไม่กังวลครับ ผมทำหน้าที่ เวลาเท่าไหร่ เราไม่รู้ แต่การตระหนักในหน้าที่ ทำเต็มความสามารถ ในเวลาที่เหลืออยู่ให้ได้ อย่าไปคาดหวังเลยครับว่าจะอยู่เท่าไหร่ บทเรียนที่มีอยู่บอกว่าทุกอย่างไม่แน่นอน แต่สิ่งที่เราต้องยึดคือหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาในการดูแลภารกิจของเรา 

เราคาดการณ์เวลาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ผมจะเกษียณอีก 2 ปี มันอยู่ที่ปัจจัยอื่นอีกเยอะ เป็นผู้บังคับหน่วยต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ เราทำได้ไหม มีปัญหาอุปสรรคอะไรไหม มันไม่แน่นอนหรอกครับ แต่เราต้องเดินไปด้วยความมั่นคง หนักแน่น และยึดถือภารกิจเรื่องของประชาชน และนโยบายที่เราประกาศเอาไว้เป็นหลัก

- ความสัมพันธ์กับ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ หลังเหตุการณ์วอล์กเอาต์ในการแต่งตั้ง เป็นอย่างไร

ไม่มีปัญหา ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นทั้งรุ่นพี่ ผู้บังคับบัญชา ครูอาจารย์ ไม่มีปัญหา ท่านให้ข้อสังเกต ท่านสอนเรา อย่างท่านอชิรวิทย์ (พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช) ท่านดุว่าเป็นเรื่องปกติ เราเป็นน้องต้องฟังอันไหน

ทำได้ก็ทำอันไหนทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าเพราะอะไร มีเหตุผลด้วยกัน คิดว่าเราโชคดีที่มีพี่ มีครูเฆี่ยนตีเรา เหมือนอาจารย์สอนศิษย์ ทำข้อสอบไม่ผ่านก็ต้องไปขอคะแนนเพิ่ม ถ้าเราสอบตก ก็ต้องไปขอซ่อม

- หลายปีมานี้ ตร.มีปัญหาเรื่องความสามัคคีในองค์กร 

อันนี้ผมให้ความสำคัญ ส่วนตัวผมเคารพ ให้เกียรติอดีตผู้บังคับบัญชาทุกคน นี่คือผมเลยนะ ต้องกตัญญูรู้คุณ ทุกคนคือพี่ ผมต้องดูแล ผมจะสานต่อนโยบายสำคัญที่ดีๆ ในส่วนพี่เพื่อนร่วมงานทุกคนผมจะฟังเยอะๆ และร่วมตัดสินใจ ผิดพลาดต้องรับผิดชอบ มองคนในแง่บวกก่อน ผมจะไม่มองใครฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ไม่มีนะ เมื่อเป็น ผบ.ตร. แล้วผมจะฟังเยอะๆ และให้พี่เพื่อนน้องได้ทำงาน สร้างบรรยากาศที่สนุกกับมัน ทุกปัญหาคือความท้าทาย และสนุกกับการแก้ปัญหา ถ้าผิดพลาดผมรับผิดชอบไม่โยนให้ใคร 

- การแต่งตั้ง ทำอย่างไรไม่ให้ถูกครหาเล่นพรรคเล่นพวก

จริงๆ ตำรวจหน่วยใหญ่มาก 2 แสนนาย ผมว่าไม่ง่ายเลย อย่าง ป.ป.ส. 1,200 คนการบริหารงานบุคคลง่ายมาก ย้ายทีไม่ยุ่งยาก แต่ตำรวจวัฒนธรรมอีกแบบ การเคลื่อนของคนมีมาก การทำให้ถูกใจคนยากมาก แต่เราต้องยึดหลักอะไรที่ผ่อนได้ อะไรที่ต้องใช้ระเบียบ ผมจะพยายามทำแล้วกัน ไม่ง่ายเลย ที่ผ่านมาผมตัดสินใจได้ ยึดความถูกต้องเป็นธรรมได้ แต่ให้ทุกคนพอใจไม่ได้หรอก 

ในการแต่งตั้งโยกย้าย เราจะตัดสินใจด้วยหลักของความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอคติ พวกหรือฝ่าย ไม่มีล้างบาง ตัวผมเองจะพยายามทำ ส่วนตัวผมที่แต่งตั้งนายพลมา 2 ครั้ง ในส่วนที่ผมตัดสินใจได้ ผมว่าฟีดแบ๊กกลับมาค่อนข้างโอเคนะ บางคนไม่ต้องวิ่งเลยได้ตำแหน่งเฉยเลย เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องเลย

- การแต่งตั้งที่ผ่านมาถูกมองว่ารุ่น นรต. 29 รุ่นเดียวกับท่าน เข้าวินเยอะมาก

ก็รุ่น 29 เป็นรุ่นที่ใกล้เกษียณแล้วนะ รุ่น 29 ที่ผ่านมา อาจห่างผู้บังคับบัญชานิดนึง ไม่ได้รับการดูแลมานานแล้ว อาจเป็นเพื่อนๆ คนดีๆ ที่ใกล้เกษียณ เมื่อเรามีโอกาสทำ ก็ขอน้องๆ ก่อนทยอยกันไป ให้มันมีสีสันหน่อย อันนี้ทุกคนก็ดีหมด หลายๆ คนถูกหยิบมา บางคนใกล้เกษียณ ก็ดูแลเพื่อนบ้าง บางส่วน แต่ไม่ได้ไปกดดันใครเป็นตามแบบสังคมไทย

- มีเสียงวิจารณ์ว่าตำรวจใต้เป็นลูกรัก ผบ.ตร.
จริงๆ แล้วมาอยู่จุดนี้ ต้องมองภาพรวม เพียงแต่ภาคใต้ เป็นหน่วยที่ถูกมองข้ามค่อนข้างเยอะมาก ทำให้แรงทำงาน

มันน้อย ก็คือมีโอกาสต้องตอบแทนเขาก่อน แต่ต่อไปถ้าเป็นคนทำงานดีจริงๆ ของแบบนี้มันต้องเช็กจริงๆ ผู้บังคับบัญชาคัดมา ตามสายได้จะดีมาก 

- มีเสียงครหา การแต่งตั้งตำรวจ เป็นคำสั่งคนนอกจากต่างประเทศ 
การแต่งตั้งตำรวจที่ผ่านมา มีระบบการคัดกรองตามระเบียบกฎหมายนะ ส่วนหนึ่งก็ต้องหารือกับนโยบายในจุดสำคัญ ในภาพใหญ่ผมต้องรับผิดชอบอยู่แล้วตามกระบวนการกฎหมาย ส่วนของต่างประเทศไม่มี

- เป็น ผบ.ตร.ยุคนี้ ถูกครหา ผบ.ตร.สีแดง

พิสูจน์ผมด้วยภารกิจนะ หน้าที่ผมเดินมาอย่างนี้ ภารกิจผมคือเป็นตำรวจอาชีพ ดูแลความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สินประชาชน ด้วยความซื่อสัตย์ เป็นธรรม คำครหา ไม่ต้องสนใจมันอยู่ที่ตัวเราผมทำงานได้กับทุกรัฐบาลอะไรที่หนักๆ ผมรับผิดชอบมาแล้ว ทุกยุคผมถูกส่งไปแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นผมจะไม่แก้ตัวว่าผมเป็นแดงเป็นเหลือง มันอยู่ที่เราปฏิบัติมาในอดีตและสิ่งที่เราจะทำในอนาคต

- ตำรวจต้องเตรียมพร้อมกับ ผบ.ตร.คนใหม่อย่างไร

ต้องยึดชาวบ้านเป็นศูนย์กลาง ทำอย่างไรให้เขาเชื่อถือศรัทธา เห็นตำรวจแล้วเขาเชื่อมั่นอบอุ่น ต้องทำดีทุกวัน ต้องได้บวก 1 ทุกวัน ถ้าชาวบ้านไม่รัก ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อถือ เขาเกลียดเรา เราอยู่ไม่ได้ ต้องตระหนักในหน้าที่ ดูแล บริการ ช่วยเหลือทุกข์สุขของประชาชน

- จะบอกประชาชนอย่างไรให้มั่นใจใน ผบ.ตร.คนนี้

ผมขออุทิศตนทั้งหมด ในการทำภารกิจนี้ให้ดีที่สุด เวลาจะพิสูจน์ผมจะไม่คุยอะไรมาก แต่ผมจะทำเต็มที่ทำดีให้ที่สุดทุ่มเท ทุกเวลาจะติดตามสถานการณ์ที่ ศปก.ตร.เป็นหลัก กระตุ้นตำรวจลงพื้นที่ให้มากเพื่อขับเคลื่อน การเป็น ผบ.ตร.ผมทำเต็มที่ จะหมดเวลาก็หมดไป ไม่พะวงมันมีเงื่อนไขหลายอย่าง





วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555