วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"พฤศจิกาสิ้น-ระบอบทักษิณสูญ" เมื่อ 29 พ.ย.56

"พฤศจิกาสิ้น-ระบอบทักษิณสูญ"


พืชล้มลุกเล็กๆ อย่าง "ผักชี" ยังต้องใช้เวลา ๓๐-๔๐ วัน เพาะจากเมล็ดเป็นต้น การปฏิรูปสังคมชาติ ด้วย "ประชาชนปฏิวัติ" เป็นเรื่องใหญ่ แต่แค่ ๖ วันเท่านั้น.....
    จาก ๒๔ พฤศจิกายน ๕๖ ถึงวันนี้ ๒๙ พฤศจิกายน ประชาชนกว่า ๖๕ ล้านคน ทั่วพื้นที่ ๕๑๓,๑๑๕ ตารางกิโลเมตร อันเรียกว่า "ประเทศไทย"
    "ตื่นรู้" ทั่วกันแล้ว!
    รู้ความเลวร้ายระบอบทักษิณ ที่ใช้ผ่าน "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" และ "รัฐสภา สมศักดิ์-นิคม" รวมหัวโกงกิน แปลงแผ่นดินเป็นทุนให้ตระกูลอสัตย์กอบโกย 
    ออกกฎหมายบังหน้าพร่ายำประเทศฉบับแล้ว-ฉบับเล่า ออกกฎหมายสร้างหนี้ผูกคอประชาชน ๗ ชั่วโคตรกว่า ๕ ล้านล้านบาท 
    ออกกฎหมายนิรโทษให้ไอ้โฉดทักษิณ ฆาตกรหนีคุก สั่งฆ่าทหาร โกงแผ่นดิน กินประเทศ โดยไม่ผิดกฎหมาย
    ประชาชนรู้เช่นเห็นชาติหมดแล้ว...!
    ประชาชนไม่ทนยอมให้รัฐบาล+รัฐสภาระบอบทักษิณ ใช้อำนาจอันไม่มีแล้วในตนควบคุมกลไกสถาบันบริหารและสถาบันนิติบัญญัติอีกต่อไป เพราะมันประกาศตนเป็น "กบฏรัฐธรรมนูญ"
    ประจักษ์ต่อสังคมโลกแล้ว!
    วันนี้ โดยการจุดประกายนำของ "ลุงกำนันสุเทพ" จากมหาประชาชนราชดำเนิน ๒๔ พฤศจิกา คนไทยหัว ๑ ล้าน 
    ปลุกให้มหาชนคนไทยทั่วทุกจังหวัดลุกขึ้นพร้อมกัน แล้วรวมตัวกันไปแสดงเจตจำนงความเป็นเจ้าของอำนาจบริหารและปกครองประเทศ
    ณ ศาลากลางจังหวัดแต่ละจังหวัด!
    จากจังหวัดหนึ่ง สู่อีกจังหวัดหนึ่ง ประเทศไทยประกอบด้วย ๗๖+๑ คือกรุงเทพฯ รวมเป็น ๗๗ จังหวัด
    "ประชาชนปฏิวัติ" เป็นอำนาจใหม่ยึดครองจิตใจบรรดาข้าราชการน้อยใหญ่เกือบทั่วทุกหัวเมืองแล้ว
    ต่างแสดงสัญลักษณ์ รังเกียจ...ขยะแขยง..ไม่ยอมรับ...ถีบหัวมันออกไป ไอ้อำนาจระบอบทักษิณ ที่สิงประเทศผ่านร่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐสภาสมศักดิ์-นิคม
    "กังนัมสไตล์" ท่าเต้นใหม่เขย่าโลกทั้งใบก็เห็นกันไปแล้ว......... 
    ขณะนี้ โลกกำลังจับจ้องท่าเต้น "กำนันสไตล์" อันเป็นท่าเต้นเคลื่อนไหวปฏิวัติสังคมชาติ...ด้วยมือเปล่า!
    กำนันสไตล์ เป็นท่าเต้นหัวใจเสรีชน คนไม่ยอมให้ระบอบทักษิณที่ ชั่ว-โกง-กินอยู่เหนือประเทศ เป็นท่าเต้นปลดปล่อยประชาชนจากโซ่ตรวนอาบยาพิษประชานิยมทักษิณ
    ปลอดปล่อยข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ จากอำนาจรัฐบาลและรัฐสภาร่างทรงทรราชทักษิณ
    มหาประชาชนลุกขึ้นแล้วทุกหย่อมหญ้า...!
    ยิ่งลักษณ์ยังทำลอยหน้าท้าทายอำนาจประชาชนปฏิวัติ ดัดจริตกรีดลิ้น
    "สภาประชาชนไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นจริงได้ ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับนี้"
    แล้วนี่...นางหอยแครงดอง ตอบซิ...
    ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อนุญาตให้รัฐบาลและรัฐสภา "ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างนั้นใช่มั้ย?
    คือหมายความว่า ที่พวกเจ้า ๓๑๒ ส.ส-ส.ว.ประกาศไปนั้น กระทั่งเจ้าสมศักดิ์ เจ้านิคม กำแหงหาญแจ้งจับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะวินิจฉัยไม่สนองอำนาจแก๊งโจรทักษิณนั้น
    ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้ อนุญาตให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์-รัฐสภาสมศักดิ์-นิคม" มีสิทธิพิเศษทำได้ โดยไม่ผิดรัฐธรรมนูญใช่มั้ย!?
    เขาเขียนอะไรให้อ่าน ก็อ่านไปเรื่อย เพื่อเห็นแก่ความเป็นหญิงด้าน ก็อยากจะบอกเอาบุญว่า 
    ไม่มีอำนาจใดเหนือรัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญที่ไม่มีอำนาจใดเหนือนั้น มีอิสรเสรีภาพเป็นพันธะ ที่ประชาชนต้องทำหน้าที่ กำจัด "อำนาจชั่ว" คณะบุคคลโฉด ที่ยึดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจฆ่ารัฐธรรมนูญ 
    และใช้รัฐธรรมนูญเชิด เป็นเครื่องมือทำชั่วต่อชาติ ชั่วต่อประชาชน!
    ประชาชนปฏิวัติวันนี้ ไม่ใช่กระทำในสิ่งที่ไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญฉบับนี้อนุญาตให้ทำ 
    หากแต่การปฏิวัตินี้ คือหน้าที่ประชาชนต้องกวาดล้างโจรกบฏรัฐธรรมนูญ "ยิ่งลักษณ์-สมศักดิ์-นิคม" ให้กับแผ่นดินธรรม
    พวกกบฏรัฐธรรมนูญ จับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นตัวประกันไว้นานแล้ว และใช้อำนาจชั่ว เชิดใช้กับประชาชนมานานแล้ว
    การปลดปล่อยรัฐธรรมนูญ เพื่อก่อร่างวางรากฐานอนาคตประเทศใหม่ในรูปแบบ "สภาประชาชน" นี่แหละคือเนื้อหา "ประชาชนปฏิวัติ" ที่กำนันสุเทพนำทำอยู่!
    โลกก้าวหน้าได้ทุกวันนี้ เพราะมีคนกล้าคิดค้น "หนทางใหม่ๆ" สังคมชาติจะก้าวไปข้างหน้าได้ ก็ประมาณนั้น 
    แนวทาง "สภาประชาชน" คือหนทางใหม่ที่ "ลุงกำนัน" กล้าคิดค้นและนำเสนอต่อประชาชน 
    ก็ปรากฏว่า มหาประชาชนยอมรับในแนวทางนี้ เพื่อนำสังคมชาติพ้นจากถนนประชาธิปไตยโจรทักษิณ 
    ออกสู่ถนนประชาธิปไตย สายประชาชน "ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ถูกต้องตรงทางประชาธิปไตยแท้จริง!
    ประชาธิปไตยไม่ได้มีถนนสายรัฐสภาระบบเลือกตั้งไปสู่ ดังเป็นอยู่เพียงสายเดียว
    "สภาประชาชน" โดยมหาประชาชน ก็เป็นถนนอีกสายหนึ่งสู่ประชาธิปไตยที่ประชาชาติจะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ด้วยทัดเทียมกันทางกฎหมาย ภายใต้บารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    พี่น้องประชาชนทั้งหลาย...จงเชิดหน้า อย่าท้อ ดื่มเหงื่อแต่ละคนแทนน้ำ จ้ำสู่เป้าหมายที่ใกล้มือเข้ามาทุกขณะแล้ว
    ไม่ต้องไขว้เขว อย่าหวั่นไหวไปกับตีนราน้ำซ้าย-ขวา เมื่อมุ่งหน้าประชาชนปฏิวัติ ถึงธารนรก ไฟบรรลัยกัลป์ขวางหน้า ก็ต้องฝ่าไป 
    ไม่เช่นนั้น ๑ ล้านหัวใจที่เบ่งขยายเป็น ๖๕ ล้าน
    มันก็...สูญ!
    แต่...ไม่สูญแน่นอน ดูนี่ อีก ๑ ปรากฏการณ์ประชาชนตื่นรู้....!!
    "กลุ่มคนรักชาติ@ถนนเพชรบุรีต่อต้านระบอบทักษิณ" ซึ่งเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในจำนวนร้อยๆ กลุ่มขณะนี้ ได้รวมตัวกันเอง นัดรวมพลหน้าตึกชาญอิสสระ ๒ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ๒๙ พ.ย. คือวันนี้ เวลา ๑๑.๐๐ น.
    รวมตัวเพื่ออะไร จะไปไหน และปรารถนาให้ทุกท่านไปร่วมกันได้ ก็ลองอ่านเจตนารมณ์ที่เขาจะไปอ่านเป็น "แถลงการณ์" ในวันนี้ดู
     "ในนามของประชาชนคนรักชาติทุกๆ คน กลุ่มคนรักชาติ@ถนนเพชรบุรีฯ จึงขอประณามการกระทำของ ส.ส. และ ส.ว. ในสังกัดพรรคเพื่อไทย และกรรมการบริหารพรรค ว่าทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ไม่สมควรที่จะดำรงอยู่ในฐานะพรรคการเมืองในประเทศไทยอีกต่อไป 
ขอให้พวกท่านพิจารณาตัวเองโดยด่วน ให้ยุบพรรคและสำนักงานพรรคให้ออกไปจากประเทศไทยโดยสิ้นเชิง จะไปอยู่ที่ดูไปหรือเขมรก็เลือกกันเอาเอง 
พวกเราจึงมาร่วมกันเป่านกหวีด ให้พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณอันตรธานหายไปจากประเทศไทยโดยสิ้นเชิง"
เมื่อคืน ผมนั่งคุยผ่านการเขียนนี่ไป หูก็เงี่ยฟังเสียงจากบลูสกายไป ก็ทราบว่า ลุงกำนันสุเทพเปิดตัว "แม่ทัพ" ร่วมสนามรบอีกท่านหนึ่ง ชนิดไม่มีใครคาดถึง คือ
"หลวงปู่พุทธอิสระ"!
ท่านจะ "นำทัพ" ประชาชนปฏิวัติออกสนามเผด็จศึก "ระบอบทักษิณ" เองวันนี้ (ศุกร์ ๒๙ พ.ย.)
และท่านประกาศ ๒ วันจบ!
สองวันที่ว่านั้น คือ ๒๙-๓๐ พฤศจิกานี้ จะไม่มีรัฐบาล-รัฐสภาร่างทรงระบอบทักษิณในประเทศไทยอีกต่อไป
ท่านทั้งหลายคงฟังลุงกำนันกับหลวงปู่พุทธอิสระ หลั่งทักษิโณทก ณ ศูนย์ราชการ พร้อมประกาศศึกล้าง "รัฐบาลระบอบทักษิณ" เป็นการขจัดเสี้ยนหนามให้แผ่นดินไปแล้ว
เอาไหน-เอากัน ผมก็เหลือคำพูดที่จะพูด ๒ วลีเท่านั้น
มึงอยู่-กูไป

ข่าวต้นชั่วโมง 29-11-56

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 21:08น.
498316
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 20:08น.
498315
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 19:12น.
498314
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 18:09น.
498288
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 17:09น.
498287
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 16:12น.
498286
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 15:14น.
498285
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 14:09น.
498259

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 13:09น.
498252
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 12:09น.
498214
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 11:08น.
498201
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 10:09น.
498176
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 9:08น.
498158
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 8:07น.

เสื้อแดง เตรียมตัวให้ดี !!! "ลูกพ่อขุน" ทยอยมาต้อนรับแล้ว ที่หอนาฬิการามคำแหง เมื่อ 29 พ.ย.56



เสื้อแดง เตรียมตัวให้ดี !!! "ลูกพ่อขุน" ทยอยมาต้อนรับแล้ว ที่หอนาฬิการามคำแหง
มาตามนัด !!!  นศ.รามจำนวนมากทั้งศิษย์เก่าและใหม่ ได้มารวมตัวที่หน้าหอนาฬิการามคำแหง  เพื่อขับไล่อันธพาลนปช. โดยเฉพาะ
จากกรณีที่ ในเพจ "ปู ปู จิตกร บุษบา" ได้แชร์ข้อความที่เด็กรามคำแหง  พร้อมไล่คนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ภายในวันนี้ พร้อมข้อความทั้งหมดว่า " 29 พฤศจิกายน 2556 นี้ รวมพลังชาวรามคำแหง ขับไล่อันธพาลนปช. ณ หอนาฬิการามคำแหง เวลา 16.00 น.  พ่อกูขุนศรี แม่กูนางเสือง ลูกหลานเต็มเมือง รามคำแหง" 

                          พร้อมกันนี้มีเพจดังกล่าวได้มีผู้สนับสนุนแนวทางดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เช่น  ผู้ใช้นามว่า "หนุ่มสวนยาง พัทลุง"  ได้แสดงความเห็นว่า  "น่าจะทำตั้งนานแล้ว" , ผู้ใช้นามว่า "ละมุน ละมุด" ได้แสดงความเห็นว่า  "ผมไปแน่นอน ลูกพ่อขุนครับ"    
                          ล่าสุด นักศึกษารามคำแหงทั้งศิษย์เก่าและใหม่  ได้มารวมตัวที่หน้าหอนาฬิการามคำแหง ตามที่ได้นัดไว้แล้ว

ภาพจาก "สถานี RTV1 สำนักข่าวออนไลน์ 24 ชั่วโมง"

“ปชป.” หางโผล่ลอยแพ “สุเทพ” จุดเปลี่ยนโหมพลัง “ทัพประชาชน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2556 12:14 น.

“ปชป.” หางโผล่ลอยแพ “สุเทพ” จุดเปลี่ยนโหมพลัง “ทัพประชาชน”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 พฤศจิกายน 2556 12:14 น.

เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) แม้มวลชนผู้ชุมนุมจะไม่ได้เคลื่อนไหวใหญ่โตเหมือนช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา แต่ก็ถือเป็นวันที่มี “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของขบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณเกิดขึ้นถึง 2 จุดสำคัญ
      
       จุดเปลี่ยนแรกก็มาจากการแถลงท่าทีของ “พรรคประชาธิปัตย์” ต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ที่ทำให้บรรดากองเชียร์-แม่ยกผิดหวังไปตามๆ กัน
      
       เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ควงคู่มากับ “ชวน หลีกภัย” พร้อมเกณฑ์ ส.ส.มาห้อมล้อมครึ่งค่อนพรรค เพื่อแถลงข่าวใหญ่ประกาศต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณแต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ให้เหตุผลว่าเป็นพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาที่จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป
      
       โดยจะเดินสายร่วมต่อสู้เคลื่อนไหว “คู่ขนาน” กับมวลชนควบคู่กับการปฏิรูประเทศของภาคประชาชน
      
       การตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นการ “ตบหน้า” ประชาชนฉาดใหญ่ เพราะที่ผ่านมา “ม็อบราชดำเนิน” ได้ตระเวนเดินสายขอความร่วมมือข้าราชการ-ประชาชนให้ “บอยคอต” ปฏิเสธอำนาจรัฐบาล และ “อภิสิทธิ์” เองก็พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมไปแล้ว
      
       แต่กลับมา “พลิกลิ้น” ว่ายังต้องทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรดูแลทุกข์สุขประชาชนไม่จำเป็นต้องลาออกไปเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชน
      
       ทั้งๆ ที่เมื่อดูบทบาทที่ “ค่ายสีฟ้า” ต่อสู้ในระบบรัฐสภานอกจากจะไร้ประโยชน์ เพราะแทบไม่สามารถระคายเคืองให้แก่รัฐบาลแม้แต่น้อยโดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ทั้งที่สองปีกว่ามานี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์เหวอะหวะแต่ขุนพลประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นขยายแผลได้เลย
      
       ชี้ให้เห็นว่าการทู่ซี้อยู่ในระบบรัฐสภาต่อไปก็ไร้ประโยชน์
      
       งานนี้คนที่ผิดหวังมากที่สุดก็หนีไม่พ้น “สุเทพ เทือสุบรรณ” ที่ลงทุนลงแรงถอดหัวโขนออกมาปลุกปั้นขบวนการโค่นล้มระบอบทรราชทักษิณร่วมกับภาคประชาชนจนติดลมบนกลายเป็น “พลังมวลมหาประชาชน” อย่างที่เห็นกันอยู่
      
       สะท้อนภาพความเลือดเย็นของ “อภิสิทธิ์” ที่กล้าทิ้งแม้กระทั่งคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันมาอย่าง “สุเทพ” โดยใช้หลักการมาบังหน้าเช่นเคย
      
       เป็นที่มาของบทปราศรัยที่เรียกว่าคร่ำเครียดที่สุดนับตั้งแต่ออกมานำม็อบตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาของ “กำนันสุเทพ” ซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและสะท้อนผิดหวังต่อทิศทางของ “อดีตต้นสังกัด”
      
       ไม่แปลกที่สิ่งที่สะกดไว้ในใจจะพรั่งพรูออกมา โดยหวยก็ไปออกที่"กรณ์ จาติกวณิช" ซึ่งโดน "สุเทพ"สับแหลกถึงคอมเมนต์ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการนำม็อบยึดกระทรวงการคลังอย่างสาดเสียเทเสีย
      
       ทั้งที่รู้กันดีว่าการตัดสินใจยกระดับการชุมนุมเยี่ยมเยือนสถานที่ราชการหลายแห่งรวมทั้งปักหลักพักค้างทั้งที่กระทรวงการคลัง หรือล่าสุดลองมาร์ชเกือบ 20 กม.ไปที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะนั้น "ฟีดแบ็ก"ที่กลับมาเป็นบวกมากกว่าลบ เพราะถือเป็นมาตรการอารยะขัดขืนตามครรลองการต่อสู้ของภาคประชาชนที่สงบอหิงสาปราศจากอาวุธ
      
       คำพูดที่ฝากไปถึง "กรณ์"เป็นอารมณ์ที่เก็บงำในใจมาหลายวัน เพื่อถนอมน้ำใจพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าจะเสียสละออกมาร่วมสู้กันเต็มตัว แต่เมื่อ "ค่ายสีฟ้า"แสดงความไร้ใจให้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องอมพะนำเอาไว้อีก
      
       นัยคำปราศรัยเมื่อคืนจึงไม่ใช่แค่อาการไม่สบอารมณ์ของ"สุเทพ" ที่มีต่อ "กรณ์" เท่านั้นแต่ฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค
      
       เพราะเมื่อ "สุเทพ" อยู่ในสถานการณ์ศึกสองหน้าด้านหนึ่งต่อสู้กับระบอบทักษิณ อีกด้านก็ต้องต่อสู้กับพวกเดียวกัน ทำให้ต้องเลือก"ทิ้งบอมบ์" ใส่ "กรณ์" เพื่อดิ้นออกจาก "จุดอับ"ในศึกสองหน้า และมาโฟกัสทำศึกฟาดฟันกับ "ทรราช" เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว
      
       ซึ่งส่งให้ "สุเทพ" ไม่ใช่คนของประชาธิปัตย์อีกต่อไปแต่ได้กลายเป็นคนของประชาชนเต็มตัวไปแล้ว
      
       จุดเปลี่ยนที่สอง ก็คือการประกาศของ"หลวงปู่พุทธอิสระ" ขอเป็นแกนนำการชุมนุมและขอรับไม้ต่อหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับ "สุเทพ"ซึ่งก็เป็นผลมาจากคำแถลงของ "อภิสิทธิ์" นั่นเอง
      
       จับสุ้มเสียงของ "หลวงปู่ฯ" ก็พอทำให้ทราบได้ว่าสาเหตุลึกๆ ที่ประกาศตัวมาเป็นแกนนำ ก็เพราะได้ร่วมเคียงคู่ต่อสู้กับ"กำนันสุเทพ" มาโดยตลอด ทำให้เข้าใจและเห็นใจการที่ถูก"คนกันเอง" หักหลังหักอกแบบไม่คิดไม่ฝัน
      
       สิ่งที่พอช่วยได้ก้็คือ การมาร่วมยืนเคียงคู่ในแถวหน้า
      
       ทั้งสองจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงเป็นการสะท้อนถึงความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ของ "ค่ายสีฟ้า" หวังรอแค่"ส้มหล่น" หากมีการโค่นระบอบทักษิณสำเร็จ ไม่คิดที่จะแสดงความเสียสละหรือแสดงความจริงใจใดๆ
      
       อ้างแค่ครรลองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา หรือเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นว่าขอทำหน้าที่ในฐานะ"พรรคการเมือง" ต่อไป ทั้งที่ตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมาการต่อสู้ในฐานะฝ่ายค้านกลับทำให้เรตติ้งของพรรคสาละวันเตี้ยลงๆด้วยพฤติกรรมที่ถ่อยเถื่อนมากขึ้นทุกขณะ
      
       อาการเกาะเก้าอี้ไว้แน่นก็แค่อาการของคนที่จมไม่ลงเท่านั้น
      
       ไม่น่าแปลกใจเลยว่าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมากระแสในสังคมอนนไลน์จะหันมาพุ่งเป้าโจมตีไปยัง "ค่ายสีฟ้า"ดูได้จากหน้าเฟซบุ๊กของ "กรณ์ จาติกวณิช" หรือของ"ประชาธิปัตย์" เองที่ถูกกระหน่ำถล่มตลอดทั้งคืน
      
       ฉายา "พรรคแมลงสาบ"ที่เลือนหายไปพักใหญ่ก็กลับมาหลอกหลอนพรรคเก่าแก่อีกครั้ง
      
       และก็ทำให้คนพวกแรกที่กลายเป็น "โมฆะ"ก่อนใครเพื่อนกลับเป็น "พรรคประชาธิปัตย์"ที่จะไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้ แทนที่จะเป็น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"อย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้
      
       ในทางกลับกันก็ส่งผลให้เรตติ้งของ "อดีตกำนันท่าชนะ"พุ่งทะยานสูงขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จะทรงพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อไร้ "ตัวถ่วง" ที่ชื่อ "พรรคประชาธิปัตย์"
      
       อย่างน้อยคนที่เกลียดทักษิณ แต่ไม่ชอบประชาธิปัตย์ก็คงสะดวกใจมากขึ้นในการออกมาแสดงพลังเสริมกำลังร่วมปฏิรูปประเทศกับประชาชนเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
      
       ด้วยพลังการต่อสู้ที่บริสุทธิ์มากขึ้นเมื่อไร้เงา"ประชาธิปัตย์" ทาบทับอยู่ ทำให้เชื่อว่าเสาร์-อาทิตย์นี้ที่เป็น"เส้นตาย" ในการโค่นล้ม "ทรราชทักษิณ"จะมีมวลชนแห่แหนออกมามากกว่าที่ผ่านๆ มา
      
       ความเห็นแก่ตัวของคนบางพวก กลับเสริมพลานุภาพให้"ทัพกำนัน" อย่างไม่น่าเชื่อ

แดงระดมพลป้อง “ปู” ยิ่งฝืน ยิ่งปลุก ยิ่งแป้ก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2556 06:25 น

แดงระดมพลป้อง “ปู” ยิ่งฝืน ยิ่งปลุก ยิ่งแป้ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 พฤศจิกายน 2556 06:25 น

รายงานการเมือง
       
       ยิ่งระดมยิ่งขายหน้า สำหรับ “คนเสื้อแดง” ในนามแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ขยันขู่รายวันบนเวทีการชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถานว่า จะแอ็กชันอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อปกป้องรัฐบาล
       
       ด้วยจำนวนสาวกที่ไม่ใกล้เคียงกับปริมาณความจุของสนาม ชี้ให้เห็นความเสื่อมมนต์ของ “แม่นกแสก - ธิดา ถาวรเศรษฐ” และ “ตุ๊ดตู่ - จตุพร พรหมพันธุ์”เรื่องของเรื่องก็ด้วยจุดยืนกับ “กฎหมายล้างผิด” ที่กลับกลอกไปตามผลประโยชน์ จนมวลชนจับได้ไล่ทัน
       
       คิวล่าสุด “ไอ้ตู่” ประกาศนัดระดมพลครั้งใหญ่ 30 พฤศจิกายน เพื่อประกบไปข้างๆ กับเดดไลน์ของ “อดีตกำนันท่าสะท้อน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำม็อบนกหวีดที่ประกาศกร้าวเอาไว้ว่าทุกอย่างต้องจบภายในเดือนนี้
       
       แต่โหรหลายสำนักไม่เชื่อน้ำยา “ตุ๊ดตู่” เพราะแป้กมาแล้วสองครั้งสองครา!!
       
       ครั้งแรกคือ การปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาปกป้องรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 18-20 พฤศจิกายน ที่เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ก่อนจะเปลี่ยนมาที่สนามราชมังคลาฯ ในเวลาต่อมา
       
       ทางหนึ่งหวังวัดกำลังมวลชนให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า พละกำลังของแนวร่วมฟากฝั่งบริหารยังมีเยอะอยู่ ไม่น้อยหน้า “ม็อบราชดำเนิน” ที่กำลังฮึ่มๆ อยู่
       
       กับอีกทางหนึ่ง หวังกดดันศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้วินิจฉัยเป็นลบถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย จากกรณีร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.
       
       แต่ทั้งๆ ที่มีการปล่อยข่าวก่อนหน้านั้นออกมาตลอดว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีแต่ “เจ๊งน้อย” กับ “เจ๊งมาก” กับรัฐบาล แต่มวลชนคนเสื้อแดงที่ออกมากลับมีไม่มากเท่าไร หากเทียบกับเมื่อช่วงปี 52-53
       
       แม้เมื่อกระทั่งคำวินิจฉัยออกมาแล้ว “ไม่เป็นคุณ” แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากมวลชนเสื้อแดงโดยรวมก็ดูจะไม่ได้ออกแนวอาละวาดสักเท่าไหร่ ทั้งที่โดยธรรมชาติทุกครั้งที่ผ่านมา เวลารัฐบาลดูเหมือนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ กองกำลังเสื้อแดงมักจะออกมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กกันแบบคึกคักในเวลาชั่วครู่เท่านั้น
       
       แต่ครั้งนั้นกลับนิ่ง ไม่ตื่นเต้นเร้าใจ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่องในค่ำคืนเดียวกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยทันที
       
       แถม “แม่นกแสก” ยังมีหน้าประกาศชัยชนะที่เพื่อไทยไม่ถูกยุบเสียอีก และทั้งๆที่รู้ว่า ศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ “พ่ายแพ้” แต่ก็ไม่อยู่ต่อ
       
       และกับการชุมนุมครั้งที่สอง ณ สถานที่เดิม ในปัจจุบันนี้ ซึ่งก่อนประกาศระดมพล มีการคาดการณ์กันว่า รอบนี้กลุ่มคนเสื้อแดงจะหลั่งไหลกันออกมาชุมนุมเยอะกว่าเดิมเป็นแน่ เพราะดูเหมือนรัฐบาลกำลังพลาดท่าให้กับ “ม็อบราชดำเนิน” และมีโปรแกรมซักฟอกที่พร้อมจะล้อให้สถานการณ์เดือดได้
       
       แต่พอถึงวันจริงประชากรแทบไม่ต่างจากเดิม และยิ่งผ่านไปหลายวันมวลชนมีแต่จะหร่อยหรอลงเรื่อยๆ เห็นได้ชัดคำนวณได้ง่าย ด้วยสถานที่ชุมนุมอย่างสนามราชมังคลาฯ ที่มีความจุประมาณ 4.9 หมื่นที่นั่ง แต่อัฒจรรย์กลับโหรงเหรง ว่างเปล่า แม้กระทั่งพื้นที่สนามหญ้ายังว่างโล่งอยู่หลายจุด
       
       แต่แกนนำคนเสื้อแดงบางคนยังแถไปเรื่อยว่า เป็นเพราะชาวรากหญ้าอันเป็นฐานเสียงรัฐบาลกำลังอยู่ในฤดูเก็บเกี่ยว จึงไม่สะดวกในการเกณฑ์ไพร่พล
       
       อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันว่า ตามสภาพความเป็นจริงเสื้อแดงวันนี้กับเสื้อแดงเมื่อปี 52-53 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างได้เปลี่ยนไป
       
       เนื่องด้วยสถานการณ์วันนั้นกับวันนี้เป็นไปคนละรูปแบบ โดยในปี 52-53 เสื้อแดงสามารถระดมพลออกมาได้มหาศาล เพราะเป็นการออกมาโดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจนคือ ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ในครั้งนี้เป็นการออกมาปกป้องรัฐบาลของตัวเองที่มีอำนาจอยู่ในมืออยู่แล้ว ความรู้สึกของมวลชนจึงย่อมแตกต่างกัน
       
       การต่อสู้ในครั้งนั้นเป็นการรุกไล่และกดดันให้รัฐบาลขณะนั้นยุบสภา โดยใช้ยุทธวิธีก่อความวุ่นวายสารพัด ซึ่งง่ายกว่า แต่ครั้งนี้หากคนเสื้อแดงออกอาละวาดไม่ดูตาม้าตาเรือ นอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้ว ยังจะเป็นการสร้างผลเสียให้กับรัฐบาลในฐานะผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยอีกด้วย
       
       นอกจากนี้ การชุมนุมที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนการจัดตั้งเพื่อเลี้ยงกระแสเอาไว้ ในกรณีเกิดภัยแทรกซ้อนกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาแล้วเท่านั้น ไม่ใช่การสู้รบหรือฟาดฟัน
       
       ขณะเดียวกัน ปัจจุบันคนเสื้อแดงมีการกระจัดกระจายและแยกออกมาเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงฝ่ายใกล้ชิดอำนาจ กลุ่มคนเสื้อแดงประเภทอุดมการณ์จ๋า และกลุ่มแดงวิชาการ
       
       ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ จุดนี้มีคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่เริ่มปลีกตัวออกมา เพราะเริ่มตาสว่างรู้เช่นเห็นชาติว่า ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ที่ผ่านมา ได้ตกเป็นเพียงเครืองมือของ “นช.แม้ว” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ในการไต่อำนาจและกลับประเทศไทยเท่านั้น
       
       โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอยออกมา และทำให้เกิดกระแสการต่อต้านเป็นวงกว้างในประเทศไทย ยิ่งทำให้มวลชนคนเสื้อแดงหลายคนเลือกจะถอดเสื้อแล้วโยนทิ้ง เนื่องจากเป็นการเปลือยกายได้ล่อนจ้อนว่า การเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อต่อสู้เมื่อช่วงปี 52-53 ที่แท้คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นสิ่งที่บังหน้าเพื่อหลอกประชาชนให้มาเป็นบันไดในการก้าวกลับสู่อำนาจอีกครั้ง
       
       ขณะที่มวลชนคนเสื้อแดงในสังคมที่มักจะเห็นกันอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทรักชอบคลั่งไคล้ แต่ไม่ใช่จำพวกจะออกมาเสมอไปหรือตลอดทุกงาน จะมีเพียงแต่แฟนพันธุ์แท้เท่านั้นที่ไปทุกเวทีทุกสังเวียน
       
       เห็นได้ชัดจากการจัดกระบวนม็อบในเที่ยวนี้ที่ต้องมีการระดมทุนระดมคน แถมยังต้องเติมกำลังคนเข้ามาเพิ่มเป็นก๊อกสองหลังก๊อกแรกมาน้อยเกินไป ตามหลักฐานคาตาบนโลกอินเตอร์เน็ตที่มีการปล่อยคลิปเด็ดเป็นหลักฐานการจ่ายเงินกันให้ว่อน
       
       จึงเป็นการยากเอามากๆ หากจะทำให้วันนัดหมายที่จะมาถึงครั้งต่อไปมีประชาชนพึ่บพั่บเหมือนแต่ก่อน
       
       งานนี้เลยน่าสนใจไม่น้อยว่า วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ซึ่ง “ตุ๊ดตู่” ดีเดย์ระดมพลเอาไว้ จะมีมมวลชนมามากน้อยแค่ไหน เพราะถือเป็นการนัดหมายครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันที่ “อดีตกำนันท่าสะท้อน” ขีดเส้นตายไว้ด้วย
       
       ดังนั้น กำลังมวลชนเสื้อแดงในวันนี้จึงมีความหมายมาก และวันดังกล่าวจะเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า กระแสเสื้อแดงตกจริงหรือไม่?
       
       ซึ่งหากสุดท้ายยังมาโหรงเหรงเหมือนเดิม ครั้งนี้ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า อยู่ในช่วงขาลงจริงๆ ข้ออ้างต่างๆ ล้วนฟังไม่ขึ้น โดยเฉพาะฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่แถก่อนหน้านี้ก็หมดลงแล้ว
       
       จะฮึกเหิมก้าวร้าวอะไรต้องหัดเจียมตัว ที่คุยโวว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่อาจต้องปรับกระบวนคิดกันใหม่เสียแล้ว

ปฏิวัติโดยพลังประชาชน ถ้าสำเร็จบ้านเมืองก็ไปโลด!! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2556 06:26 น.

ปฏิวัติโดยพลังประชาชน ถ้าสำเร็จบ้านเมืองก็ไปโลด!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 พฤศจิกายน 2556 06:26 น.

ผ่าประเด็นร้อน 
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกมาชุมนุมของประชาชนที่มาในแบบ “มวลมหาประชาชน” คราวนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะเดียวกันมันก็เป็นคำตอบได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่านี่คือพัฒนาการ “ตื่นรู้” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนประชาชนที่หลั่งไหลกันเข้าร่วมต่อต้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาถือว่า น่าขนลุกจริงๆ
       
       ขณะเดียวกันสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาขี้ข้าทั้งหลายที่ยังหลับหูหลับตารับใช้รับรองว่าต้อง “หวั่นไหว” คาดไม่ถึงว่า ทุกอย่างจะพลิกผันได้รวดเร็วขนาดนี้ เพราะใครจะนึกว่า เมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมทุกกลไกที่มีอยู่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นสื่อหลักทั้งฟรีทีวี หนังสือพิมพ์ กลไกราชการ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่คุกคาม กำจัด รวมไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างพร้อมสรรพ ทุกอย่างก็น่าจะไปได้สวยอีกนาน แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นก็ต้องมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
       
       คำตอบก็ไม่ยาก เรื่องแรกก่อนเลยก็คือ “ระบอบทักษิณ” มันเป็น “ของปลอม” ไม่ได้เก่งจริง หรือไม่ได้เก่งเลอเลิศเป็นเทวดาเหนือคนอื่น ตรงกันข้ามหากพิจารณาโดยอัตราเฉลี่ยออกไปทาง “โง่กว่า” เสียอีก เพราะหากพิจารณาจาก “หัวหน้าแก๊ง” ตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร ลงมา ระดับสติปัญญาก้ไม่ได้เก่งกาจเหนือกว่าคนไทยอื่นๆที่มีอยู่ เพียงแต่ว่าเขาเป็น “นักฉวยโอกาส” และที่สำคัญเป็นนักเสี่ยงโชค กล้าลงทุนกับนักการเมือง หรือผู้มีอำนาจในแต่ละยุค เริ่มตั้งแต่การ มีครอบครัวหากสังเกตให้ดีก็เริ่มต้นด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัวของนักการเมือง ด้วยการเป็น “นายตำรวจติดตาม” เพื่อเป็น “ช่องทาง” ในวันหน้า และเขาก็ทำสำเร็จ แม้ว่าช่วงแรกอาจจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่เป้าหมายในการติดต่อสัมพันธ์กับอำนาจทางการเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม กลับกระชับแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ และชะตาชีวิตก็พลิกผันเมื่อสามารถ “เข้าหาโคตรเผด็จการ รสช.” ได้สำเร็จ จนนำมาสู่สัมปทานดาวเทียม อย่างที่รับรู้กันอยู่
       
       เมื่อลงสู่สนามการเมือง ก็หมายถึงการต่อยอดทางธุรกิจ เพราะนี่คือ การลงทุน เป็น ธุรกิจการเมือง ที่ใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ ซึ่งสิ่งที่ได้รับมีแต่กำไร เพราะมีทั้งอำนาจและความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สามารถเจือจานลงไปถึงเครือญาติคนในครอบครัวให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาแบบอู้ฟู่ 
       
       นั่นเป็นเส้นทางของ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เริ่มต้น จนมาถึงสนามการเมือง ที่นำเอาโครงการ “ประชานิยม” ที่เคยใช้ได้ผลในประเทศแถบอเมริกาใต้ และก็จะ “ฉิบหาย” กันมาแล้วที่นั่นด้วยเช่นกันมาใช้ในประเทศไทย ด้วยวิธีการ “แจก” ซึ่งแน่นอนว่าชาวบ้านต้องชอบแน่นอน ขณะที่ ทักษิณ ก็ได้รับความนิยม แต่ที่สำคัญก็คือ “มันไม่ใช่เงินแม้ว” สักบาท แต่มันเป็นเงินงบประมาณของรัฐ ซึ่งในระยะยาวเมื่อมีรายจ่ายไม่สมดุลกับรายรับ หรือเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันเสรี หรือการสนับสนุนให้คนเป็นหนี้ ฟุ้งเฟ้อเสพติดกับ “ทุนสามานย์” ในอนาคตมันก็ย่อมมองเห็นหายนะอยู่ข้างหน้าอยู่แล้ว
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวต้องการชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ มันไม่ได้เก่งกาจอะไร ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการฉ้อฉล มีการใช้อำนาจ “ใต้โต๊ะ” ทางการเมืองหนุนส่ง แต่ขณะเดียวกันการเข้าสู่อำนาจของเขาทำให้เกิดความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและบ้านเมืองในระยะยาว เพราะวิธีการของเขามันไม่ใช่แค่การทุจริตอย่างเดียว แต่มันยังเป็นการฮุบหรือ “ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ” รวมไปถึง “สมบัติของชาติ” มาเป็นของส่วนตัว เป็นของครอบครัว
       
       อย่างไรก็ดีด้วยความไร้ความสามารถ ไม่ได้เก่งจริง ในระยะยาว เรื่องทุกอย่าง “มันก็แดง” ออกมาจนได้ ถามว่า รัฐบาลหุ่นเชิด ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีผลงานเป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อเป็นครั้งแรกที่ผู้นำถูกชาวบ้าน “เหยียดหยามว่าโง่” ซึ่งถือว่าอัปยศสิ้นดี ขณะที่พิจารณาไปถึงตัวรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ ทักษิณ แต่งตั้งเข้ามา ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง มันมีฝีมือเลอเลิศเหนือใครในปฐพีนี้หรือเปล่า เริ่มจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีพาณิชย์ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลใหม่ ก็งั้นๆ รวมไปถึง “หัวโจกเสื้อแดง” ที่กลายพันธุ์มาเป็น “อำมาตย์ใหม่”อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มีผลงานที่รู้จักก็เป็นได้แค่ “โชว์ห่วย” เท่านั้น แล้วยังมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ละ เป็นเทวดาจุติลงมาจากฟ้าหรือไร ก็โม้มาได้แบบนี้หลายรัฐบาล และในที่สุดก็พังทุกรัฐบาล
       
       คนแบบนี้มันเก่งกาจตรงไหน มีคุณธรรมจริยธรรมพอให้ชาวบ้านได้นับถือได้แค่ไหน ก็เห็นมัน “น้ำเน่า” มาตั้งนานแล้ว แต่กลายเป็นว่า พอมาอยู่กับ ทักษิณ มาเป็นขี้ข้าคนในครอบครัวนี้ กลับกลายเป็นขวัญใจคนเสื้อแดง คนพวกนี้กลายเป็นความหวังไปเสียฉิบ บ้านเมืองมันเกิดอะไรขึ้น 
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าใด ก็ยิ่งได้เห็นธาตุแท้ของระบอบทักษิณ และบรรดาสมุนบริวารทั้งหลาย ว่าได้สูบเลือดสูบเนื้อบ้านเมืองอย่างไรบ้าง และที่สำคัญได้เห็นว่า “ไม่ได้เก่งจริง” มีแต่การสร้างภาพตบตาให้เห็นทุกวัน เพราะเมื่อพิจารณาจากคำตอบจากการบริหารราชการแผ่นดินของ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรผ่านมาเกือบสามปี ภายใต้การชักใยของ พี่ชายทุกเรื่อง ทั้งการคัดเลือกตัวรัฐมนตรี คัดเลือกข้าราชการมานั่งในตำแหน่งสำคัญ แต่ก็ทำได้แค่นี้ มันช่าง “กระจอก”สิ้นดี และไม่คุ้มค่าและคู่ควรกับการรักษาเอาไว้ เพราะนี่คือการรักษาความร่ำรวย รักษาสมบัติให้กับคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น ไม่ใช่รักษาประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง ซึ่งคนจำนวนมากเริ่ม “ตื่น” ขึ้นมาแล้ว
       
       ด้วยเหตุนี้แหละทำให้มวลชนจำนวนมากมายมหาศาลต้องหลั่งไหลออกมาขับไล่ให้พ้นไป เพื่อนำไปสู่การปฏิวัติโดยประชาชนอย่างแท้จริง ให้บ้านเมืองก้าวกระโดดไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าในตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก เพราะกลุ่มมารพวกนี้ยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าจะต้านทานพลังของประชาชนได้ลำบาก เนื่องจากขาดความยอมรับ ไม่มีความชอบธรรม และที่สำคัญ “อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์” อีกแล้ว!!

“ม็อบนกหวีด” กร้าวปิดฉากระบอบทักษิณ หากคนแห่ร่วมเหมือน 24 พ.ย. เชื่อไม่มีเหตุปะทะชุมนุมเสื้อแดง ส่อยึดราชดำเนิน จัดงานเฉลิมพระเกียรติโดย ปชช. วันศุกร์ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:42 น

“ม็อบนกหวีด” กร้าวปิดฉากระบอบทักษิณ หากคนแห่ร่วมเหมือน 24 พ.ย. เชื่อไม่มีเหตุปะทะชุมนุมเสื้อแดง ส่อยึดราชดำเนิน จัดงานเฉลิมพระเกียรติโดย ปชช.
วันศุกร์ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:42 น

มื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 พ.ย.ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ โฆษกเครือข่ายประชาชนต่อต้านระบอบทักษิณ กล่าวว่า วันนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนอื่นๆ จะมีการนัดรวมตัวที่สถานีรถไฟฟ้าอโศก และจะมีการเคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือที่สถานทูตอเมริกา อีกขบวนมีการรวมตัวที่ตึกชาญอิสระ ถนนเพชรบุรี และขบวนสุดท้ายเป็นขบวนของเครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ ที่จะเคลื่อนขบวนไปยังการประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ส่วนเวทีเครือข่ายประชาชนต่อต้านระบอบทักษิณนั้นจะยังไม่มีการเคลื่อนไหว โดยยังจะปักหลักชุมนุมใหญ่ที่เวทีราชดำเนิน มีทัพหน้าที่กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ เพื่อรอให้ผู้ชุมนุมเข้าร่วมเพิ่มเติม และพร้อมที่จะยกระดับทุกเวลา ทั้งนี้หากการชุมนุมที่เวทีศูนย์ราชการในวันที่ 30 พ.ย.นี้ มีผู้ชุมนุมจำนวนมากเหมือนกับการชุมนุม เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่เวทีราชดำเนิน ก็จะมีการยกระดับขั้นสูงสุด ปิดฉากการชุมนุม ซึ่งก็คือการขจัดระบอบทักษิณให้หมดไปจากประเทศ ส่วนการจัดตั้งสภาประชาชนนั้น ทางแกนนำและนักวิชาการหลายกลุ่มก็มีการหารือกันโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ก็มีนักวิชาการ และกลุ่มอื่นๆทั่วประเทศเข้าร่วมการหารือ และยืนยันว่าพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้คนเสื้อแดง และคนที่เห็นต่างเข้ามาร่วมพูดคุยด้วย เพื่อให้เป็นสภาของประชาชนอย่างแท้จริง
เมื่อถามว่า การที่คนเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ กังวลว่าจะมีการปะทะกันของมวลชนหรือไม่ นายเอกนัฎ กล่าวว่า คนเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมมาแล้วสองครั้ง ซึ่งก็ไม่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างมวลชนแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 30 พ.ย.นี้จะไม่มีการปะทะกันของมวลชนเกิดขึ้น
ต่อข้อถามว่า หลังจากปิดสมัยประชุมสภาแล้ว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมการชุมนุมได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นของประชาชน ไม่ว่าจะสาขาอาชีพใดก็เข้าร่วมได้ ทั้งข้าราชการ ตำรวจ ทหาร รวมทั้งนักการเมือง
เมื่อถามว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำฯ ประกาศบนเวทีเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าประชาชนจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ วันที่ 5 ธ.ค. ให้ยิ่งใหญ่กว่า ที่รัฐบาลเคยจัดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า ประชาชนจะจัดงานที่ถนนราชดำเนิน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ยืนยันว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือในการจัดงาน และเราก็มีส่วนร่วมได้เพราะถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง.