วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

“พงศพัศ” ถอดเครื่องแบบตำรวจ สวมเสื้อ “เพื่อไทย” ชิงผู้ว่าฯ กทม.เมื่อ 1 ต.ค.55



รายงานพิเศษ
      
       เข้าสวมหมวกใบที่สอง ทำหน้าที่ “เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” หรือ “เลขาฯ ป.ป.ส.” ต่อจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตเลขาฯ ป.ป.ส. ที่โยกกลับไปขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สีกากีได้เพียงไม่กี่วัน
      
       พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. และเลขาฯ ป.ป.ส.คนใหม่เอี่ยมถอดด้าม ซึ่งเริ่มงานหัวขบวนปราบยาเสพติดมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็มีข่าวสะพัดหน้าหู เตรียมโบกมือลาจากตำแหน่ง
      
       ถอดเครื่องแบบสีกากี!!!
       ทิ้งเก้าอี้ เลขาฯ ป.ป.ส.!!!
      
       ไปลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” หรือ “ผู้ว่าฯ กทม.” ในนามพรรคเพื่อไทย
      
       ตามเสียงสัญญาณที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่แห่งดูไบ ส่งผ่านมาจากข้างสนามการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ประเทศสิงคโปร์
      
       หลังจากพรรคเพื่อไทยเพียรพยายามหาผู้ที่เหมาะสมมาลงชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถเคาะหาตัวบุคคลลงชิงตำแหน่งได้ แม้สมาชิกพรรคหลายคนจะพยายามเชียร์ “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้มาเป็นแม่เมือง กทม. แต่ก็ดูเหมือนว่าหญิงหน่อยจะเซย์กู๊ดบาย อ้างหันหน้าสานต่อทางธรรมทั้งที่อยากสุดๆ
      
       เช่นเดียวกับชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พยายามผลักดันให้ลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. “บิ๊กอ๊อบ” พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดูจะไม่สนใจการเมืองสนามเล็ก
      
       หรือล่าสุดการโยนหินถามทาง ด้วยการส่ง “ชัชชาติ สุทธิพันธุ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดีกรีระดับดอกเตอร์วิศวะมาชิมลาง ก็ทำท่าจะจุดกระแสคนเมืองหลวงไม่ติด เพราะต้องยอมรับว่าสนามการเมือง กทม. ไม่ใช่แค่มีดีกรีอย่างเดียวจะครองใจคนกรุงได้ ต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบด้วย
      
       ตามคุณสมบัติผู้ว่าฯ กทม.ในใจ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการมา ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยออกมาเปิดเผยถึงสเปกไว้ก่อนหน้านี้ บอกว่ามีอยู่ 5 ข้อ คือ 1. ประชาชนรู้จัก 2. ไม่มีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริต 3. ปราบปรามยาเสพติดเก่ง 4. สามารถประสานแก้ไขปัญหาจราจรได้ และ 5. แก้ปัญหาอาชญากรรม
      
       “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” จึงเป็นชื่อที่ถูกเคาะออกมาว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
      
       ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.!!!
      
       เพราะชื่อเสียง พล.ต.อ.พงศพัศ ในสายตาชาวบ้านก็ต้องเรียกว่าน้องๆ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรดังเหมือนกัน
      
       ยิ่งสนามการแข่งขัน กทม.เที่ยวนี้คู่แข่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงติดตาตรึงใจชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. เจ้าของฉายาวีรบุรุษนาแก ซึ่งเคยสร้างผลงานเข้าตาคนเมืองกรุงด้วยการปราบปรามมาเฟีย ผู้มีอิทธิพลย่านตลาดโบ๊เบ๊ จนกลายเป็นขวัญใจแม่ค้า และจัดระเบียบการจอดรถริมถนนจนตำรวจจราจรขาดรายได้ แต่คนใช้รถใช้ถนนพอใจ เพราะช่วยบรรเทารถราติดขัดได้ในระดับหนึ่ง
      
       หรือ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีต รอง ผบช.น. ที่ลาออกจากราชการ หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็มีข่าวจะมีชื่ออยู่ในผังรองผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมทำให้พรรคเพื่อไทยต้องหาคู่แข่งที่สามารถเรียกคะแนนจากชาวบ้านร้านตลาด
      
       หันมาดูฟากฝั่ง พล.ต.อ.พงศพัศ ก็เชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะเต็มใจเดินตามความประสงค์ของ “นายใหญ่ดูไบ” เพราะไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ขึ้นอยู่ว่าจะได้มากหรือได้น้อยเท่านั้น เนื่องจากหากมองเส้นทางสีกากีของ พล.ต.อ.พงศพัศ แม้การก้าวสู่เก้าอี้ “ผบ.ตร.” ผู้นำสูงสุดในอาชีพตำรวจ จะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนเส้นทางจะต้องเชิญขวากหนาม ชนิดเรียกว่า “ดงหนาม” เลยทีเดียว
      
       ตามอายุราชการ พล.ต.อ.พงศพัศจะเกษียณราชการปี 2559 และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. คนปัจจุบันจะเกษียณราชการ ปี 2557 แต่เมื่อถึงช่วงนั้นก็ยังมี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ชื่นชอบเกษียณราชการปี 2558 ขวางกันอยู่
      
       หากผ่านหรือรอ พล.ต.อ.วรพงษ์เกษียณราชการ ก็ยังต้องช่วงชิงกับเพื่อน นรต.31 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. ที่กำลังเข้าคิวรอขึ้น ผู้ช่วย ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ตามลำดับในเร็วๆ นี้ และต้องยอมรับว่า การจะแข่งกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เมื่อถึงจังหวะสำคัญเช่นนั้น ถือเป็นงานหินอย่างมาก เพราะด้วยองค์ประกอบต่างๆ ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เกื้อกูลหนุนให้ก้าวขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” มากกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ
      
       การเลือกออกมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะหากได้รับเลือกเป็น “พ่อเมืองกรุงเทพฯ” พล.ต.อ.พงศพัศ ก็จะอยู่ตำแหน่งไปอีก 4 ปี คือถึงปี 2560 มากกว่าการเป็นตำรวจ ที่ต้องเกษียณราชการปี 2559 เสียอีก
      
       หรือถ้าลาออกแล้วมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. หากไม่ได้รับการเลือกตั้งก็สามารถขอกลับเข้ารับราชการตำรวจได้อยู่แล้วตามสิทธิ และยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เมื่อพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ
      
       ที่สำคัญเหนืออื่นใด งานนี้ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ.พงศพัศ ย่อมได้ใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เสียสละลาออกจากตำแหน่ง เพื่อมาช่วยพรรคเพื่อไทย ซึ่งคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือที่จะไม่ตอบแทนสิ่งใดให้
      
       เหมือนอย่างที่ได้ยินได้เห็นกันมาแล้วว่ายุคนี้เป็นยุค...
      
       “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
      
       งานนี้เรียกว่า...“คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม” สำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ
      
       และที่สำคัญหากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ สนามเลือกตั้งชิงเก้าอี้ “ผู้ว่าฯ กทม.” จะดุเดือดเลือดพล่าน ไม่แพ้การเลือกตั้งสนามใหญ่ ช่วงชิงการเป็นพรรคที่ได้ ส.ส.สูงสุด เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะเป็นศึกระหว่างคน"สีกากี"ด้วยกันเอง
      
       “น้อง” จะหัก “พี่” - “พี่” จะขยี้ “น้อง” หรือตาอยู่จะคว้าพุงปลาไปกิน แค่คิดก็มันแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น