|
|
รายงานการเมือง
ยุคนี้สมัยนี้เริ่มดูไม่ออกแล้วว่า “หมอ” กับ “นักการเมือง” สองอาชีพนี้ใครมีดีกรีความเลวร้ายมากกว่ากัน เพราะในอดีตหากประเมินเฉพาะ “ต้นทุนทางสังคม” แพทย์ย่อมที่จะมี “ภาษี” ดีกว่านักการเมืองแน่นอน แต่ด้วยพฤติกรรมของ “นายแพทย์” ที่ใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
ร่ายมาขนาดนี้คงจะหนีไม่พ้นปัญหาวุ่นๆใน “กระทรวงหมอ” กระทรวงสาธารณสุข ที่มะรุมมะตุ้มยุ่งเหยิงมาแทบทุกยุคทุกสมัย เปลี่ยนรัฐมนตรีมากี่หนก็ยังเข้าอีหรอบ ล่าสุดไม่กี่วันก่อนก็มี “ม็อบหมอชนบท” ที่ประกอบด้วยกลุ่มแพทย์ชนบท โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ชมรมทันตสาธารณสุขภูธร และเครือข่ายทันตแพทย์โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ ก็นัดกันแต่งดำรวมตัวชุมนุมประชิดถึงรั้วทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางอำนาจของประเทศ
เรื่องของเรื่องก็จะมากดดันให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ตะเพิด “ประดิษฐ สินธวณรงค์” รมว.สาธารณสุข พ่วงด้วย “ณรงค์ สหเมธาพัฒน์” ปลัดกระทรวงสาธารณสุขออกจากตำแหน่ง จากเหตุที่ไม่พอใจแนวนโยบายที่จะมีการปรับเปลี่ยนจากการจ่ายเงินแบบเหมาจ่าย “เบี้ยทุรกันดาร” สำหรับแพทย์ที่ทำปฏิบัติงานอยู่ในชนบท มาเป็นการจ่าย “เบี้ยขยัน” ตามภาระงาน หรือที่เรียกโก้ๆ ตามภาษาฝรั่งว่า “Pay for Performance” ย่อๆ ก็ “P4P” ไปได้
หากติดตามข่าวก็จะรู้ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มแพทย์ชนบทรวมตัวกันเรียกร้องหรือคัดค้านฝ่ายการเมือง ด้วยอาศัยภาพพจน์บุคลากรส่วนใหญ่ที่มีความรู้ สังคมให้การยอมรับ จึงชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ และเมื่อเป็นเรื่องแล้วก็มักจะจบไม่ง่าย อย่างสมัยรัฐมนตรีคนเก่าก็ออกมาแต่งดำร่วมกันจุดเทียนประท้วงกันถึงกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องของบประมาณจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ตั้ง 4 พันล้านบาท จนฝ่ายการเมืองเอือมระอากันมาแล้ว
กรณีล่าสุดเรียกว่า “ม็อบหมอชนบท” ที่นำมาโดย “ขาประจำ” ทั้ง “อารักษ์ วงศ์วรชาติ” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช และอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท พร้อม “เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ” ประธานชมรมแพทย์ชนบทคนปัจจุบัน เดือดดาลหนัก เพราะนอกจากป้ายประท้วงขับไล่ธรรมดาแล้ว ยังขนพร็อพจัดเต็มทั้งพวงหรีด โลงศพ หุ่นฟางติดชื่อรัฐมนตรีกับปลัด พร้อมจัดวางดอกไม้จันจุดธูปเทียนเพื่อเผาขับไล่ด้วย
แต่ทว่าฝ่าย “หมอประดิษฐ” ที่กลัดกลุ้มใจมากังวลมาทั้งสัปดาห์ ก็กัดฟันเลือกใช้ “ไม้แข็ง” ที่นอกจากจะไม่ออกมารับหน้าเจรจาด้วยแล้ว ยังเสนอหลักการจ่ายเบี้ยตามภาระงานเข้าสู่ที่ประชุม ครม.อีกต่างหาก
ดัดหลังกันแบบไม่ไว้หน้า ทำเอา “ม็อบหมอชนบท” ไปไม่เป็นเหมือนกัน
ยิ่งมาดูเรื่องพลังมวลชนที่คุยว่าจะขนกันมาเรือนหมื่น แต่ถึงวันจริงกลับมีแค่หลักไม่กี่ร้อยคน และถ้าสแกนดูกันจริงๆ ก็เห็นว่ามี หมอหรือคนในวิชาชีพสาธารณสุขไม่กี่คน ที่เหลือก็ครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย หรือหนักข้ออย่างที่ถูกซุบซิบนินทาก็จ้างกันมาก็มี
ยังดีที่ในวันนั้นมีมหกรรมม็อบมาพร้อมกัน 5-6 คณะ ทำให้บรรยากาศรอบทำเนียบดูคึกคักขึ้นมาบ้าง แต่ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนเหยียบ 40 องศา ต้องทยอยกันกลับแบบไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไป
ไม่วายประกาศว่า จะขับไล่ “หมอประดิษฐ” ออกจากตำแหน่ง หากไม่สำเร็จจะไม่ยอมหยุด
คำถามมีว่า เหตุอันใดทำให้ “ม็อบหมอชนบท” ต้องปลุกมวลชนออกมาอีกครั้ง เพราะหากหยิบยกเรื่องการจ่ายอัตราค่าตอบแทนตามภาระงานขึ้นมาเอ่ยอ้าง ก็ดูจะฟังไม่ขึ้น และคงไม่ต้องถึงขนาดคาดคั้นเอาให้รัฐมนตรีออกจากตำแหน่งให้ได้ เพราะว่ากันตามเนื้อผ้าหลักการของระบบการจ่ายค่าเหนื่อยที่ว่า บุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ให้การยอมรับ
ว่ากันง่ายๆ ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย ก็เป็นตรรกะที่ถูกต้อง
เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา การจ่ายเงินพิเศษหรือเบี้ยกันดารแก่แพทย์ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แพทย์ รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุขทั้งหลาย ทำงานอยู่ในชนบทมากกว่าเลือกขอย้ายมาในเมืองหรือโดนเอกชนซื้อตัวไป แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปหลายแห่งหลุดพ้นกับคำว่าชนบท กลายไปชุมชนเมือง ก็ควรมีการทบทวน
การมาตั้งข้อห่วงใยว่า หากปรับระบบจ่ายเงินใหม่จะทำให้ “คนไข้” จะได้รับผลกระทบมากกว่า “หมอ” ก็ดูจะไม่ค่อยมีน้ำหนัก เพราะปัจจุบันพฤติกรรมมักง่ายเล่นมุกเดิมๆ “ส่งต่อ” คนไข้ไปให้โรงพยาบาลใหญ่แบบไม่จำเป็นก็ยังมีให้เห็นกลาดเกลื่อน หรือบรรดาคุณหมอเอาเวลาไปทุ่มเทกับคลินิคตัวเองมากกว่าโรงพยาบาลก็มีให้เห็นดาดดื่น
ก็สมเหตุสมผลที่จะมีการรื้อระบบจ่ายเงินตอบแทนกันอีกสักครั้ง
ในความเป็นจริงเรื่องการออกระเบียบการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขนั้นเป็นเพียง “ข้ออ้าง” ในการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพราะเหตุผลที่แท้จริงไม่น่าจะใช่เรื่องเบี้ยเลี้ยงเบี้ยหวัดที่ว่า
เพราะเมื่อถอดรหัสคำพูดของ “หมอเกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ” แกนนำแพทย์ชนบทที่ไล่เรียงว่า ที่ผ่านมาการทำงานของ “หมอประดิษฐ” มีปัญหา เริ่มมีการ“รวบอำนาจ” ไว้ที่ตนเอง จนมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” ในการปรับการจ่ายเงินแบบเหมาจ่ายเบี้ยทุรกันดารเป็นเบี้ยขยันดังกล่าว
คำว่า “รวบอำนาจ” ที่ว่าก็คงมาจากแนวนโยบายที่ “หมอประดิษฐ” เคยประกาศเมื่อครั้งรับตำแหน่งเมื่อ 5 เดือนก่อนว่าจะ “ปฏิรูป” กระทรวงสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้ง “จัดระเบียบ” องค์กรในสังกัดทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนย่อมกระทบไปถึง “งบประมาณ” ที่ฝังอยู่อื้อซ่าให้หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงหมอเรือนแสนล้าน โดยเฉพาะในคณะกรรมการหรือ “บอร์ดอิสระ” หลายชุด
เรื่องนี้ทำให้หมอทั้งหลายในกระทรวงสาธารณสุขเริ่มหวั่นไหวในอนาคตของตัวเอง จำเป็นต้องรับ “ตัดไฟแต่ต้นลม” จึงไม่แปลกที่จู่ๆ “หมอชนบท” ออกมายื่นคำขาดขอให้ปลด “หมอประดิษฐ” ทันที
สรุปเบื้องหน้าเบื้องหลังก็แค่ออกมาปั่นราคาเรียกมวลชน เตรียมพร้อมปกป้อง “ชามข้าว” ของตัวเองมากกว่า หาใช่ประโยชน์ส่วนรวมไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น