วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

รถคันแรกส่อวุ่น!!!! รัฐถังแตก -เงินไม่พอจ่ายดึงเงินคงคลังถลุงประชานิยม เมื่อ 29 มี.ค.56




รถคันแรกส่อวุ่น!!!! รัฐถังแตก -เงินไม่พอจ่ายดึงเงินคงคลังถลุงประชานิยม????


ส่อเค้า!!!! กระแสข่าว"รบ.ถังแตก"จากโครงการรถยนต์คันแรก หลังข่าวงบฯไม่พอจ่ายคืนเงินภาษี โดยจะส่งรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินคืน  5 เม.ย. ให้อยู่ในกรอบวงเงินที่เหลือ 392 ล. ????
กระแสข่าว "รัฐบาลถังแตก" จากการทำโครงการรถยนต์คันแรก ก็คงจะเป็นความจริงมากขึ้น หลังวานนี้มีข่าวมาจากกระทรวงการคลังว่า กระทรวงคลังเตรียมแก้ปัญหากรณีเงินงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายคืนเงินภาษีให้กับผู้มีสิทธิในโครงการรถคันแรก โดยตกลงกับกรมสรรพสามิตที่จะส่งรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนในวันที่ 5 เม.ย. นี้ ให้อยู่ในกรอบวงเงินที่เหลือประมาณ 392 ล้านบาท ซึ่งจะมีผู้เข้าข่ายได้รับเงินคืนประมาณ 4,000 ราย จากเดิมที่จะต้องผู้มีสิทธิที่จะได้รับทั้งสิ้น 40,000 ราย
ทั้งนี้ในส่วนของผู้มีสิทธิที่เหลือของเดือน เม.ย. และเดือนต่อๆไป คงต้องรอจนกว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง จะเสร็จสิ้นภารกิจการอภิปราย พ.ร.บ. กู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท วันที่ 28-29 มี.ค.นี้เสียก่อน จึงสามารถเซ็นอนุมัติให้นำเงินคงคลังมาใช้ในการดำเนินการจ่ายคืนเงินโครงการได้ เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายค้านนำไปโจมตีว่าโครงการประชานิยมของรัฐบาลมีปัญหา
ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางได้จ่ายคืนเงินให้กับผู้มีสิทธิในโครงการรถคันแรกไปแล้วจำนวนมาก จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2556 ที่ 7,250 ล้านบาท ขณะนี้มีวงเงินเหลือเพียง 392 ล้านบาท ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงต้องเร่งหาทางออกอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ให้กับผู้ที่ได้สิทธิตามกำหนด
ในปีงบประมาณ 2556 จะต้องใช้เงินงบประมาณสำหรับจ่ายคืนเงินให้ผู้มีสิทธิในโครงการทั้งสิ้น 38,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีการตั้งงบสำหรับใช้ในการดำเนินการส่วนนี้เพียง 7,250 ล้านบาท ทำให้วงเงินส่วนที่เหลืออีก 30,000 ล้านบาท อาจใช้จากเงินคงคลังทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้ทำเรื่องถึงสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้งบกลางในการดำเนินการส่วนดังกล่าว แต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากต้องนำงบกลางไปใช้ในการลงทุนโครงการอื่น ๆ
เหตุที่รัฐบาลไม่มีงบประมาณมาคืนภาษี ก็เชื่อว่า มาจากการประเมินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล เพราะนโยบายดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิ์ถล่มทลายถึงกว่า 1.25 ล้านราย จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์เพียง 5 แสนคันเท่านั้น ส่งผลทำให้รัฐบาลต้องใช้เม็ดเงินในการคืนภาษี 38,000 ล้านบาท สถานการณ์นี้ย่อมหมายถึงกรมบัญชีกลางจะต้องเตรียมเงินเพิ่มขึ้น เฉพาะปีงบประมาณนี้กว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อสำรองจ่ายคืนภาษีแก่ผู้ซื้อรถในโครงการดังกล่าว
แม้สุดท้ายรัฐบาลจะสามารถนำเงินคืนภาษีมาให้กับประชาชนได้ตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน แต่อีกมุมของประชาชนทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีทุกปี แต่ต้องเสียเงินส่วนนี้ไปใช้กับโครงการประชานิยมแบบไม่สมเหตุสมผล กับคนเพียงบางกลุ่ม ขณะที่ประเทศชาติก็สูญเสียโอกาสที่นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งสวนทางกับนโยบายประหยัดพลังงาน ที่ปัจจุบันราคาปรับตัวสูงลิบลิ่ว วันนี้ความเสียหายเริ่มเกิดขึ้นจากโครงการประชานิยม แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าไม่สนคำทวงติง นอกจากการมุ่งหน้าทำนโยบายประชานิยมเพื่อหาเสียงทางการเมืองเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น