วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปรับไปก็แค่นั้น “ปู 5” แค่รักษาอำนาจ-หม้อข้าวแม้ว!! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2556 06:23 น.

ปรับไปก็แค่นั้น “ปู 5” แค่รักษาอำนาจ-หม้อข้าวแม้ว!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์1 กรกฎาคม 2556 06:23 น.

ผ่าประเด็นร้อน
       
       ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ “ครม.ปู 5” ไล่เรียงดูรายชื่อล้วนแล้วแต่ไม่ได้สร้างความหวังให้กับชาวบ้านทั่วไปเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นเพียงการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง-อำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขาอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ส่งผลต่อผลประโยชน์ทุกทางที่ต่อเนื่องจากการรักษาอำนาจทางการเมือง ในมืออย่างเบ็ดเสร็จนั่นแหละ
       
       การที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควบเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายนอกอาจเรียกเสียงฮือฮาว่า นอกจากสร้างประวัติศาสตร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแล้ว ต่อไปนี้ยังจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นผู้หญิงคนแรก ได้คุมทหารทั้งสามเหล่าทัพ หลังจากก่อนหน้านี้ได้คุมตำรวจไปเรียบร้อยแล้ว
       
       แต่ขณะเดียวกัน มันย่อมีความหมายในทางการเมืองมากไปกว่านั้นแน่นอน เพราะหากพิจารณาจากตำแหน่ง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถือว่ามีความสำคัญที่นอกเหนือจากการ “ต่อสาย” โดยตรงแบบเชื่อมโยงกับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว สิ่งที่สำคัญไปยิ่งกว่านั่นก็คือ นี่คือการเปิดประตูเข้าไปแทรกแซงในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ลงมาจนถึงระดับนายพล ที่มีความสำคัญ เพื่อหวังกำจัดจุดอ่อน สร้างความมั่นใจว่า “ระบอบทักษิณ” และรัฐบาล “หุ่นเชิด” ของเธอจะอยู่รอดปลอดภัยจากการรัฐประหาร เหมือนกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาลของพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549
       
       คิดว่าเมื่อสามารถเข้าควบคุมกองทัพได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็จะส่งผลให้รัฐบาลมั่นคงตามไปด้วย คิดว่าเมื่อฝ่ายการเมืองเข้าไปมีเสียงเพิ่มขึ้นในสภากลาโหม อย่างน้อย 2 เสียงที่มาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม แล้วยังมีอีกหนึ่งเสียงจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ในฐานะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะเริ่มเห็นผลกันในตอนโหวตแต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพ ในฤดูโยกย้ายใหญ่ในเดือนกันยายน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวกันล่วงหน้านับจากนี้เป็นต้นไป
       
       สำหรับรัฐมนตรีตำแหน่งอื่นๆ ความหมาย และเป้าหมายย่อมไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงใหม่จาก บุญทรง เตริยาภิรมย์ มาเป็น นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล คนพวกนี้ไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” รับใช้เกื้อหนุนกันมานาน สังคมก็รับรู้กันมานาน ไม่ต้องสาธยายมาก
       
       ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่มีเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนตัว แต่เมื่อเป็น “คนกันเอง” มีความหมายต่อ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องกัดฟันอุ้มกันต่อ เพราะมีภารกิจสำคัญรออยู่ข้างหน้า ทั้งโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท รวมทั้ง “โคตรเงินกู้” 2 ล้านล้านบาท รวมไปถึงงบประมาณประจำปี 2557 ที่รออยู่ในสภาต้องขับเคลื่อนโดยเร็ว จะเปลี่ยนม้ากลางลำธารไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนี่คือ “หม้อข้าว” สำคัญ
       
       ส่วนตำแหน่งเกรดเออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีพลังงาน ต่างประเทศ ก็มีการจัดวางเอาไว้ล่วงหน้า หรือแม้แต่งานด้านควบคุมมวลชน และอำนาจในท้องถิ่นอย่างมหาดไทยก็ตาม ก็ต้องคงเดิมเอาไว้ก่อน เมื่อยังไม่มีแรงกระเพื่อมเสียดทาน ยังต้องเดินหน้าต่อไปก็วางไว้แบบนั้น ยังไม่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
       
       ม้ว่าจะมีเสียงโวยวาย หรือน้อยใจออกมาบ้าง ขณะที่บางคนที่พอมีฤทธิ์เดชบ้าง ก็ข่มขู่ฟาดงวง ฟาดงา อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จากรองนายกฯ คนที่ 1 ถูกลดชั้นไปนั่งเป็น “จับกัง 1” ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังทำใจไม่ได้ หรือแม้แต่แกนนำคนเสื้อแดงบางคนอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ตามข่าวระบุตรงกันว่าวืดเก้าอี้ หลุดโผอีกรอบ จนมีเสียงบ่นน้อยใจ ทำท่าฮึดฮัดออกมาในกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เชื่อเถอะ ในเมื่อคนพวกนี้เป็นแค่ “เห็บหมัด” ไม่มีราคา และสำคัญตัวเองผิดเท่านั้น ขณะที่ในมุมมองของ ทักษิณ ชินวัตร อาจมองว่าได้ตอบแทนกันคุ้มค่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปแคร์
       
       ซึ่งก็เห็นจริงเหมือนกันทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม จตุพร รวมทั้งแกนนำเสื้อแดง หรือแม้แต่ ส.ส.ในภาคอีสาน ที่มีเสียงบ่นว่าได้โควตารัฐมนตรีค่อนข้างน้อย คนพวกนี้ก็ส่งเสียงได้ไม่เต็มปาก เพราะรู้ดีว่าสถานะไม่ต่างจาก “ขี้ข้า” ได้เป็น ส.ส.ก็อยู่ร่มชายคาของทักษิณ เท่านั้น และช่วยไม่ได้ในเมื่อตัวเองอยู่ร่วมในขบวนการ “สร้างภาพ” ให้ ทักษิณ เป็นเทวดา เมื่อถึงเวลาที่ไม่ต้องการใช้ประโยชน์ ถูกถีบหัวส่ง ก็ต้องทำใจให้ได้
       
       
       แต่อีกด้านหนึ่งถ้าถามว่า แล้วชาวบ้านทั่วไปล่ะ ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ คำตอบที่เห็นกันชัดเจนตรงกันก็คือ “ไม่ได้ประโยชน์” อะไรเลย เพราะดัชนีชี้วัดสำคัญอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี หรือตัวผู้นำ และที่ผ่านมา 2 ปี ก็ได้เห็นตรงกันว่า “เดือดร้อน” กันทุกหย่อมหญ้า จากปัญหา “แพงทั้งแผ่นดิน” เกิดการทุจริตไปทั่วหัวระแหง ที่สำคัญความเดือดร้อนดังกล่าวมีปัญหามาจากความล้มเหลวของนโยบายประชานิยมที่ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ทั้งสิ้น และสิ่งที่สะท้อนความรู้สึกผิดหวังดังกล่าวผ่านทางผลสำรวจที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ชาวบ้านมองว่า “ปรับไปก็แค่นั้น” ไม่มีอะไรดีขึ้น
       
       ความรู้สึกดังกล่าวย่อมเป็นสัญญาณไม่ดีกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แน่นอน เพราะเมื่อชาวบ้านไม่มีเสียงตอบรับอื้ออึงเหมือนแต่ก่อน นั่นย่อมหมายความว่า เข้าสู่ภาวะ “ขาลง” ซึ่งที่ผ่านมายังแก้ไขปัญหาความรู้สึกผิดหวังของชาวบ้านไม่ได้เลย ตรงกันข้าม เมื่อมีกระแสผิดหวังก็ย่อมเกิดความไม่พอใจตามมา ดังที่กำลังเกิดสารพัดม็อบต่อต้านมากมายในขณะนี้ และกำลังระบาดไปทั่วประเทศ ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตา เพราะนั่นย่อมหมายความว่า นับจากนี้ไปเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายใดๆ ออกมาให้สำเร็จได้เลย เพราะไม่มีความเชื่อมั่นศรัทธา ชาวบ้านไม่ไว้วางใจอีกแล้ว และเชื่่อว่า คนอย่าง ทักษิณ ก็เริ่มรับรู้ถึงอาการที่ว่านี้ได้ดี ทำให้ต้อง “กระชับอำนาจ” มากขึ้น เน้นเฉพาะคนที่ไว้ใจได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
       
       เพราะนับจากนี้ไปย่อมหมายถึงการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ในครอบครัวล้วนๆ จะใช้คนนอกก็คงเชื่อใจได้ไม่เต็มร้อย นั่นแหละ ผลถึงได้ออกมาอย่างที่เห็น และที่สำคัญ ชาวบ้านไม่เกี่ยว!! 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น