วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

สถาบันในยุค 'New World Order' เปลว สีเงิน 23 March 2556


สถาบันในยุค 'New World Order'



ผมสงสาร "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ใจจะขาดรอนๆ กับเสียงอ้อนระคนพ้อที่ลอยมาจากเมืองกีวี "ทำงานมากขนาดนี้ ยังมีข่าวจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี" ก็นั่นซีนะ...แต่ใครล่ะเปลี่ยนได้ ถ้าไม่ใช่อ้ายปี้ ที่ใกล้มรณสัญญาคนนั้น ก็ขอให้รับรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ ถึงจะเปลี่ยนเป็น "ชินวัตร-เยาวภา" ใจถวิลหาของผม ยังหยุดนิ่งอยู่ที่ "ชินวัตร-ยิ่งลักษณ์" หนึ่งนี้...นารีเดียว!
    เถอะ...แล้วกลับจากทริป "นิวซีแลนด์-ปาปัวนิวกินี" ถึงไทยวันไหน ผมคนหนึ่งละที่อยากไปคอยให้กำลังใจถึงสนามบิน และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากต้อนรับแบบที่พวกเมารีเขาต้อนรับ ให้รู้ถึงความจริงใจ
    เห็นบอกว่า ตำแหน่งนายกฯ ที่ได้ทุกวันนี้ เพราะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งเข้ามา และมาจากเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย ที่พูดนี่ ถึงพูดแบบตีขลุม แต่ก็จะอนุโลม รู้ตัวเป็นนายกฯ ตามระบอบประชาธิปไตยก็ดีแล้ว
    ฉะนั้น ก็ควรรู้ไว้ด้วยว่า คนเป็นนายกฯ ประชาธิปไตยเขาจะไม่หนีประชุมสภาฯ ไม่หนีตอบกระทู้ ไม่หนีอภิปราย และที่สำคัญ เขาจะไม่หลบ-ไม่หลีก-ไม่เลื่อน การแถลงผลงานรัฐบาลประจำปีต่อรัฐสภา 
    ไหนคุยว่า ทำงานมาก-ทำงานเก่ง แล้วหนีแถลงผลงานทำไม กลัวฝ่ายค้านจับแก้ผ้าโชว์ "ผลงานจริง" กลางรัฐสภาใช่มั้ย หนีจนจะเข้าปีที่ ๒ แต่ปีแรกยังแต่งศพไม่เสร็จ ก็จำไว้...ทีหน้า-ทีหลัง อ้างเป็นนายกฯ อะไรก็ได้ แต่อย่าอ้างเป็น "นายกฯ ประชาธิปไตย"
    เพราะนายกฯ ประชาธิปไตย "มงกุฎเกียรติยศ" อยู่ที่การได้ลุกขึ้นยืนซดกลางสภาฯ ไม่ใช่การหนีไป ว.๕ ว.๖ กะใครที่ไหน ก็จำไว้...จะได้ไม่มีใครปล่อยข่าว "เปลี่ยนตัวนายกฯ" บ่อยๆ!
    วันนี้ ผมมีเรื่องเบาๆ จากคุณ Hollland P. ฟอร์เวิร์ดมาให้อ่าน ก็จะให้ท่านอ่านต่อ อ่านเพื่อให้เกิดปัญญาคิด ไม่ใช่ให้อ่านเพื่อคลั่งพรั่งพรูคำด่าประชันเป็นปัญญาชาติ หลายท่านคงผ่านตาแล้ว แต่อ่านอีกจะได้ซึมเข้าเนื้อ 
    ประชาชนคือป้อมปราการสุดท้าย โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ 
    อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ 
    ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง และบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ ๓ บริษัท บริษัทละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ ๓๐.๓ ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกัน เพื่อผลทางการเมืองของตน
    อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 
    ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน ๒ คน คนหนึ่ง คือ เจ.เค.แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค.ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว 
    อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของโจ กอร์ดอน และอำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง" มาเขียนโจมตี ม.๑๑๒ เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย 
    ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย สายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี
    ในกลางปี ๒๕๕๖ นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่ 
    การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน
    ก่อนหน้านี้ เมื่อปี ๒๕๕๔ ในวาระครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษาของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน 
    สะท้อนให้เห็นว่า นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ ๑๑๓ ในปัจจุบัน
    ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า ๑,๕๐๐ ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน ๒๐๐-๓๐๐ ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา 
    โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด
    นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด และไปเคลื่อนไหวชักจูง ชี้นำโน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย, สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน 
    อ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น "ทางออก" ของชาติ
    พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า "สถาบันไม่สู้แล้ว" เพราะถ้าสถาบันไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น นอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน และเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา
    หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ
    อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญาณมาหลายครั้งแล้วว่า "ยังสู้" และ "ไม่ยอมแพ้" โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธ.ค.๒๕๕๕ ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง 
    แต่ปรากฏ "แรงเฉื่อย" ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้
    รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอปกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง "ศูนย์ไทยศึกษา" และ "เพื่อนประเทศไทย" เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย 
    แต่ปรากฏว่าศูนย์เหล่านี้ กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
    ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่นการก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.๒๕๕๓ และสถานการณ์ความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์ 
    สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่าสหรัฐได้ส่งทหารรับจ้างที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า "แบล็กวอเตอร์" ประมาณ ๕-๖ ชุดมาประจำอยู่ในไทย 
    โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว
    อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นเรื่องจริงและหนักหนา ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" ที่โผล่เหนือน้ำเพียง ๑ ส่วน แต่อีก ๙ ส่วนอยู่ใต้น้ำ
    บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
    ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า "สถาบันสูงสุดยังสู้" และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ.
    จบครับ...ไม่พูดเพิ่มเติม แต่ให้ข้อสังเกตไว้นิด ๑ ใน ๒ อเมริกันที่รับจ้างเขียนใส่ร้ายสถาบันที่ชื่อ เจ.เค.แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)นั้น 
    คือองค์กร CFR ที่สมาคมลับกลุ่มทุนยุโรป-สหรัฐก่อตั้ง เพื่อเคลื่อนไหวการเมืองโลกผ่านทาง เศรษฐกิจ-การเมือง-การปกครอง-การเงิน-การศาสนา-ปัญญาชนทุน ด้วยเป้าหมาย "New World Order = จัดระเบียบโลกใหม่"
    คุณเปรมศักดิ์ จีระแพทย์ เคยเปิดเผยเรื่องนี้ไว้ ระเบียบโลกใหม่คือ ปรัชญาการปกครองที่มีหลักการย่อๆ ว่า
    "โลกจะประสบสันติสุขปราศจากการทำสงครามแก่งแย่งทรัพยากรและประชากร รวมทั้งพ้นจากภาวะอดอยากขาดแคลนกันดารอาหาร ก็ด้วยการที่แต่ละประเทศจะต้องสละอำนาจอธิปไตยเอกราช แล้วยอมถูกลดสภาวะลงเป็นเพียงรัฐรัฐหนึ่ง โดยรวมกันเข้าอยู่ภายใต้รัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวของโลก"
    ทั้งเดโมแครต-รีพับลิกัน ทั้งแบงก์โลก ทั้งไอเอ็มเอฟ ทั้งสหประชาชาติ ทั้งซีไอเอ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐที่พิมพ์ดอลลาร์ใช้เองทั้งวัน-ทั้งคืนขณะนี้ เป็นของขบวนการ CFR และใช้เป็นเครื่องมือสู่เป้าหมาย New World Order ทั้งสิ้น
    ก็คงพอมองออกใช่มั้ย ด้วยเป้าหมายและด้วยผลประโยชน์ตรงกัน สหรัฐจึงสมาคมกับสถาบัน พร้อมหรี่ตาให้ระบอบทักษิณ ตีความคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเดือนหน้า ก็คอยดูว่า "ศาลโลก" ใต้อาณัติ CFR จะออกมา "ซ้ำรอยประวัติศาสตร์"....ขนาดไหน?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น