วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

บนคำนึง 'ก่อนฆ่ากัน' อีกรอบ เปลว สีเงิน 25 March 2556


บนคำนึง 'ก่อนฆ่ากัน' อีกรอบ



หมู่นี้ "ไฟ" จะไหม้บ่อย ยิ่งพลังสุริยะเผาไหม้ความชื้นในอากาศจนเหลือแต่กากอากาศแห้งกร้านบาดรูจมูกร้อนผะผ่าวเวลาหายใจ อย่างนี้ต้องระวัง กลางเมษาไป ทั้งพายุ ทั้งไฟครั้งใหญ่ จะเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มาเยือนพร้อมกัน เยือนเฉพาะกรุงเทพฯ หรือจะเยือนทั่วไป ไม่มีกำหนดการล่วงหน้า ทางที่ดี ทุกหน-ทุกแห่ง ต้องเตรียม ไม่ใช่เตรียมเพื่อพายุ-เพื่อไฟ หากแต่เตรียมเพื่อ "อยู่รอด-ปลอดภัย" ตัวเอง!
    และเพราะมันร้อนนั่นแหละ ผมจึงอยู่ไม่ติดที่ วันก่อนตะลอนไปเจ็ดยอดลูกเขาเหมือนหนังอินเดีย ไปเยี่ยมเยียนผู้หลัก-ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ เป็นการเก็บงาน "สวัสดีปีใหม่" ที่ตกค้างจากต้นปี ผนวกด้วยปีใหม่ไทยที่จะมาถึงเดือนหน้าไปทีเดียวกัน
     มีโอกาสไปคารวะ "อาจารย์ชูชาติ ศิลปรัตน์" ด้วย การได้สนทนากับรัตตัญญูชน ปรมาจารย์เจ้าสำนักกฎหมาย "ศิลปนิติ" นอกจากเป็นมงคลกับตัวผมแล้ว ยังได้รู้-ได้เห็น ในเรื่องที่ไม่สามารถไปรู้-ไปเห็นได้จากไหนด้วยตัวเองอีกด้วย 
    ในวัยเฉี่ยว ๘๐ ท่านจัดระเบียบวาระชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการจับกฎหมายน้อยลง หันไปจับรถแทรกเตอร์ขุดดิน-ขุดหินด้วยตัวเองมากขึ้น ภรรยาท่านชอบทานแอปเปิล เห็นมีเม็ด จึงทดลองเพาะเม็ด เพาะจนกลายเป็นผู้ชำนาญการด้านการเพาะและขยายพันธุ์แอปเปิล ณ ป้อมค่ายอลาโมแห่งปากช่อง
    เสาร์-อาทิตย์ ๒ คนตา-ยาย จึงมาเป็นชาวไร่ นำต้นแอปเปิลที่เพาะเองเป็นร้อยๆ จากถุงอนุบาลลงดิน ต่างเจริญเติบโตจากกล้าเท่าก้านไม้ขีด เป็นลำต้นสูงเกือบ ๒ ศอก จากที่ทำเล่นๆ ทำท่าต้องทำจริงๆ เพราะมีคนขอไปปลูกที่อื่น แต่ปรากฏว่า    
    ตายเรียบ!?
    มีแต่ดินบริเวณไร่หินของท่านเท่านั้นปลูกแล้วต้นกล้าแอปเปิลแย่งกันมีชีวิตอยู่แบบคึกคัก-กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตใหม่ "โตวัน-โตคืน" อย่างน่าอัศจรรย์ 
    อาชีพชาวไร่แอปเปิล จึงเป็นฟืนให้พลังชีวิตใหม่ ผมดูท่านและภรรยา ร่าเริง-สนุกสนาน โดยเฉพาะตัวอาจารย์ เสียงยังดัง-ฟังชัดด้วยธาตุไฟที่ร้อนแรงไม่ผิดจาก ๒๐-๓๐ ปีที่ผ่าน ซึ่งชื่อเสียงจากผลงานทนายเพื่อสังคมประเทศของท่านโด่งดังมาก 
    ไม่ดังเพียงในประเทศ เปรี้ยงปร้างทั่วทั้งกลุ่มอาเซียนโน่น!
    ครับ...นี่ก็คุยจากเที่ยว ก็กลับสู่คุยจากงานตามปกติ แต่...เออ ใครไปเที่ยวฮ่องกงตอนนี้ควรหาโอกาสแวะไปคุยกับ "คนแดนไกล" เขาบ้างก็ได้ ตอนนี้นั่งรับแขกจากประเทศไทยอยู่ที่นั่น เห็นวันก่อน ลูกเขย-ลูกสาวยกคณะชุดใหญ่ไปแจมกันเกือบครึ่งลำเรือบิน
    พูดถึงเครื่องบิน ช่วงนี้คงได้รับเกียรติจาก ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ รัฐมนตรี-ส.ส.-ส.ว.หลายๆ คน ใช้บริการเดินทางไปรับฟ้องข้อราชการ และการสั่งการจาก "คนแดนไกล" หรืออีกนัยหนึ่ง จากผู้ต้องหาหนีคดี-หนีประกัน-หนีโทษจำคุก ที่ชื่อทักษิณ
    ก็อย่าไปคิดอะไรมากครับ เพราะนี่คือ "ประเทศไทย" ที่กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางความมืดทึบทางปัญญาชาติ พูดแบบฟังง่ายๆ ก็คือ ประเทศไทยที่กำลังอยู่ในขั้นตอน "ลอกคราบสู่อนาคตใหม่"!
    อนาคตใหม่ประเทศไทยเป็นอย่างไร ใคร "คนใด-คนหนึ่ง" ก็กำหนดให้เป็นไปไม่ได้ นอกจากคนไทยด้วยกันทุกคนเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด คนไทยส่วนใหญ่ต้องการกันแบบไหน และทำกัน (เอง) แบบไหน อนาคตใหม่ประเทศไทยที่จะเห็นในอีก ๒-๓ ปีข้างหน้า
    ก็จะเป็นแบบนั้น!
    ทุกคน-ทุกฝ่าย-ทุกสี-ทุกเหตุการณ์ ทั้งที่เกิดไปแล้ว ที่กำลังจะเกิดอีกรอบ ไม่ใช่ส่วนเกิน ไม่ใช่ส่วนขาด หากแต่ทั้งหมดเป็น "องค์ประกอบร่วม" แห่งกันและกันตามเหตุ-ปัจจัย ที่แต่ละคน-แต่ละฝ่าย สร้างสะสมขึ้นไว้ เพื่อไปสู่ "....สิ่งใหม่" ในอนาคตอันใกล้
    -ขาดเหลือง การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -ขาดแดง การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์ 
    ขาดแตงโม ขาดมะเขือเทศ ขาดรัฐสภาตรายาง ขาดองค์กร (พิการ) ตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่สัตย์ซื่อ การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -ขาดคนจริงใจต่อสถาบันชาติบ้านเมือง โยนปัญหาชาติเป็นภาระคนอื่น ส่วนตัวเองจับจ้องจังหวะเอาตัวรอด ขาดคนส่วนนี้ การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -ขาดคนเปิดประตูเมืองให้ศัตรู ขาดคนขายชาติบ้านเมืองให้ศัตรู ขาดบัณฑิต-ขาดเสนาบดีขายตัว การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
     -ขาดข้าราชการ+นักการเมือง+นักธุรกิจพ่อค้า สมคบโกงชาติ ทุจริตคอรัปชั่นกันทุกระดับชั้น การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -ขาดสมณะชีพราหมณ์เคร่งครัดวัตรปฏิบัตร ใช้การทุศีลและอธรรมห่อหุ้มศีล-ห่อหุ้มธรรม ประจบประแจงรับใช้คฤหัสถ์ญาติโยมแลกอามิสปัจจัย อันสมณะไม่พึงมี-พึงทำ ขาดส่วนนี้ การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -สุดท้าย ขาดคนอันมีสถานภาพและหน้าที่หนึ่งๆ ไม่ดำรงตนและไม่ปฏิบัติตนอยู่ในสถานภาพและหน้าที่นั้นๆ ให้เหมาะสมกับเกียรติฐานะ การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    -สุดท้ายของสุดท้าย ขาดอย่างที่อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ให้สัมภาษณ์แทบลอยด์ ไทยโพสต์ "....ไม่มีใครล้มได้หรอกครับ มีแต่เจ้าจะล้มตัวเอง และพวกที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าที่จะล้ม ใครอื่นทำอะไรไม่ได้หรอกครับ...." ขาดส่วนนี้ การลอกคราบสู่อนาคตใหม่ ก็ไม่สมบูรณ์
    เช่นนี้แหละครับ เรื่องของประเทศไทย มันเป็นมาและเป็นไป "ด้วยคนไทย" นั่นแหละ อย่าเพ่งโทษคนอื่น อย่าเพ่งเล็งแต่คนอื่น จงเพ่งโทษ เพ่งการกระทำจากภายใน คือจากตัวเองก่อนที่จะไปเพ่งจากภายนอก คือจากคนอื่น
    หลายเรื่อง หลายครั้ง และหลายบทเรียน จะเห็นว่าการกระทำด้วยรัก ด้วยหวังดีของคนไร้สติ-ไร้ปัญญาแยกแยะ วินิจฉัยเรื่องราว ด้วยรักและหวังดีที่โง่งมนั้น บทลงท้าย จะกลายเป็นตัวทำลายสิ่งที่ตนรักและหวังดีเสมอ
    เหมือน "น้ำล่มเรือ" จริงๆ แล้ว น้ำล่มเรือไม่ได้ หากแต่ "คนในเรือ" นั่นแหละเป็นตัวเหตุทำให้เรือล่ม แตกตื่นตกใจ ลุกขึ้นเต้นแร้ง-เต้นกาจนเรือเสียศูนย์บ้าง กระทืบเท้า-กระทุ้งพาย วุ่นวายคล้ายใบ้บ้า จนท้องเรือเกิดรูโหว่บ้าง ปีนป่ายด้วยไร้สติจะหนีลงจากเรือบ้าง อวดรู้-อวดนำ อลเวงกันเองจนเปะปะเรือเคว้งคว้างบ้าง
    พวกหวังดีบนตลิ่ง ก็ช่วยกันแบบ "สติแตก" บ้างโดดลงน้ำไปช่วยแบกเรือ บ้างโยนเชือก-โยนสมอหวังเกี่ยวเรือ บ้างยืนตะโกนโวยวายให้ทำโน่น-ทำนี่ 
    สุดท้าย...ทั้งที่คลื่นก็ไม่มี........ 
    คนรักชาติ-รักสถาบันแบบขาดปัญญาวิเคราะห์ พล่านเป็นคลื่นคว่ำเรือเอง!
    รักอะไรก็ตาม เติม "สติ" เป็นหัวเชื้อลงไปในรักซักนิด และอย่าทำตนเป็นเจ้าข้าว-เจ้าของในรักแต่ผู้เดียว-ฝ่ายเดียว เปิดโอกาสให้รักนั้นได้เบ่งบานในหัวใจคนทั่วๆ ไปเขาบ้าง แล้วสังคมชาติจะเป็นสมบัติร่วมกันถ้วนทั่ว ด้วยภาษารักจากหัวใจเดียวกัน
    มนุษย์แต่ละคน-แต่ละฝ่าย ล้วนขาดโน่นนิด ล้นนี่หน่อยด้วยกันทั้งนั้น และมันเป็นล้น-เป็นขาดอยู่ในสังคมชาติเดียวกัน อะไรที่ชอบใจ ก็รัก-ก็เก็บไว้ อะไรที่ฟังแล้ว-เห็นแล้วขัดใจ ก็อย่าเพิ่งเกลียด อย่าเพิ่งผลักไส 
    ตั้งสติ แล้วใช้ปัญญาพิเคราะห์หาเหตุให้พบ แล้วแก้ตรงเหตุนั้น ตัวเราก็มีส่วนเป็นเหตุ ตัวผู้อื่นก็มีส่วนเป็นเหตุ มองด้วยมุมนี้ด้วยสติกันบ่อยๆ และมากๆ เข้า อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ก็จะได้ ที่ยากก็จะง่าย ที่เกลียดก็จะเข้าใจ
    ประเทศไทย-คนไทย จะฆ่ากันอีกกี่รอบก็ได้ แต่ลงท้าย เราทุกคนก็ต้องอยู่ร่วมกันบนแผ่นดินไทยผืนนี้....ผืนที่ "พระเจ้าแผ่นดิน" ทรงก่อร่างสร้างเป็นประเทศไว้ให้นี่แหละ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น