วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

แม้ว หวังพิชิต 3 เป้าหมายสำคัญ จับตา 3 เดือนอันตราย พร้อมปั้นมวลชนเสื้อแดง - ปิดทางทหารปฏิวัติ



แม้ว หวังพิชิต 3 เป้าหมายสำคัญ จับตา 3 เดือนอันตราย พร้อมปั้นมวลชนเสื้อแดง - ปิดทางทหารปฏิวัติ
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์1 มีนาคม 2555 13:32 น.
       พลพรรคทักษิณ ปั้นมวลชนหวังบรรรลุ 3 เป้าหมายสำคัญปลดล็อคทักษิณ พร้อมสร้างเกราะมวลชนต้านรัฐประหารช่วง 3 เดือนอันตราย ฟากคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมระดมมวลชนยาวเหยียดเตรียมความพร้อมรับมืออุบัติเหตุทุกขณะ ชี้ ปชป.มุกเก่าปั้นมวลชนสู้คนเสื้อแดงยาก คนปชป.เชื่อรัฐบาลพร้อมดันนโยบายซื้อใจมวลชน... 
      
       การแสของคนเสื้อแดงดูเหมือนจะเบาบางลงในช่วงที่ผ่านมา แต่กลับดูคึกคักขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีการจัดงานใหญ่ ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ ที่มีมวลชนคนเสื้อมาร่วมงานอย่างหนาตาด้วยรถบัสหลายสิบคันและที่เป็นพิเศษกับคิวการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่สร้างความคึกคักให้กับมวลชนคนเสื้อแดงได้เป็นอย่างดี สอดรับอย่างยิ่งกับกระแสการหนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติผ่านวาระแรกไปด้วยมติ 399 เสียง
      
       งานในสภาก็ถือว่าผ่านขั้นตอนแรกไปอย่างสวยงาม ขณะที่มวลชนภายนอกสภาก็ ยังถือว่าเป็นกุญแจสำคัญ ในการทำกิจกรรมทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งมวลชนคนเสื้อแดงที่ถือว่ากำลังได้ใจอย่าสงยิ่งในขณะนี้ จึงถือว่าโอกาสที่จะบรรุลเป้าหมายด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ยากเกินไปนัก
      
       ระดมคนเสื้อแดง 
       รับ 3 งานใหญ่ 
      
       การเช็คกระแสมวลชนที่พร้อมขับเคลื่อนทางการเมือง จึงสอดรับกันอย่างลงตัว โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของคนเสื้อแดง ที่แสดงพลังให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงมีแนวร่วมที่แข็งแกร่ง และสามรถเป็นกลไกที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ หากยังสามารถรักษามวลชนได้
      
       อวยชัย วะทา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ก่อนหน้าการจัดคอนเสิร์ต "หยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ" เมื่อวันที่ 25.ก.พ.ที่ผ่านมาได้ทราบว่างานชุมนุมคนเสื้อแดงครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เตรียมที่จะให้เป็นงานสำคัญเพื่อเป้าหมาย 3 ประการ ก็คือ 1.งานระดมมวลชนต่อต้านรัฐประหาร 2.งานระดมมวลชนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ และ3.งานเตรียมพร้อมมวลชนที่จะสนับสนุนการลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.3) ขึ้นมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีคำสั่งให้ระดมมวลชนในภาคอีสานจังหวัดละ 30 คันรถบัสเพื่อเข้าร่วมงานดังกล่าว
      
       เมื่อถึงวันชุมนุมใหญ่ก็ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีต้องการอย่างไร เนื่องจากชื่อของงานชัดเจนมาก คือ เพ “คอนเสิร์ตหยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” ซึ่งนี่ถือเป็นการชักธงเตรียมรบกับทหารอย่างเต็มที่
      
       กรเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อแดงต่อจากนี้ไป โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวมวลชนในภาคอีสาน จะมีการให้ส.ส.และแกนนำเสื้อแดง จัดรถปราศรัยทั้งคันใหญ่ คันเล็กไปรอบๆ เมือง เพื่อกระตุ้นมวลชนให้พร้อมเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ทันที
      
       “ส.ส.จะเป็นผู้ระดมมวลชน แกนนำเสื้อแดงจะเป็นคนนำปราศรัยร่วมกับส.ส.แต่ละพื้นที่ นับต่อจากนี้ไปการเคลื่อนไหวระหว่างส.ส.กับแกนนำคนเสื้อแดงจะเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น”
      
       ทักษิณเร่งเครื่องเต็มที่ 
      
       ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดแกนนำนปช.ได้เล่าให้ฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแล้วเห็นว่า ในระยะเวลาต่อจากนี้ไป 3 เดือน พ.ต.ท.ทักษิณจะมีการเร่งเดินเครื่องเต็มที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปลดล็อคให้ตัวเองกลับมา ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงที่สุดที่จะถูกต่อต้านและถูกทำรัฐประหารอีกครั้ง ดังนั้นจึงต้องเตรียมมวลชนให้พร้อม และครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เตรียมแผนรับมือเหตุดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งหากได้ข่าวการรัฐประหารเมื่อใด จะนำให้มวลชนเสื้อแดงเดินทางปิดล้อมค่ายทหารต่างๆทันที โดยเฉพาะหน่วยรบต่างๆ โดยแต่ละแห่งจะใช้มวลชนอย่างน้อย 1 หมื่นคน ซึ่งจะแตกต่างจากการชุมนุมในช่วงมีนาคม-เมษายน 2553 ที่ใช้วิธีการนำมวลชนปิดเส้นทางการเดินรถของทหาร ซึ่งครั้งนี้จะกระชับพื้นที่ปิดล้อมที่บริเวณหน้าค่ายทหารทันที
      
       “เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณประเมินแล้วว่า 3 เดือนต่อจากนี้ไป การทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้นสังเกตได้เลยว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องประกาศว่าให้เร่งให้เงินช่วยเหลือครอบครัวคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บ ล้มตายจากการออกมาชุมนุมในช่วงมีนาคม-เมษายน 2553 ซึ่งแสดงให้เห็นว่างานใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้และเป็นการยืนยันว่ามวลชนที่ออกมารบจะได้ผลตอบแทนแน่นอน เป็นการเพิ่มกำลังและเพิ่มขวัญกำลังใจให้มวลชนเสื้อแดงโดยไม่ต้องเสียเงินของตนเอง”
      
       ทั้งนี้ ในการเคลื่อนไหวมวลชนให้สำเร็จนั้น ปัจจัยสำคัญยังอยู่ที่เรื่องของแกนนำที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่มาก โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเลือกให้ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ยังเป็นประธานนปช.ต่อไปนั้น เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจว่า คุมธิดาได้เบ็ดเสร็จแล้ว จากการให้ตำแหน่งทั้งธิดา และสามี คือ นพ.เหวง โตจิราการ ที่ได้ปูนบำเหน็จเป็นส.ส.ไปแล้ว ดังนั้นการใช้ธิดาเป็นแกนนำ นปช.ต่อ จึงเท่ากับว่า การเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อแดงจะต้องอยู่ภายใต้พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการระดมมวลชนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญของนปช.ที่จะทำคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย โดยก่อนหน้านี้ยังมีปัญหาจากแนวคิดของธิดาที่ยังถือว่าอยู่ในกลุ่มซ้ายจัด และมีความเป็นอิสระสูง จึงควบคุมได้ยาก และยากที่จะยินยอมไปเคลื่อนไหวภายใต้การควบคุมของพรรคเพื่อไทย แต่ขณะนี้เป็นที่ทราบกันว่า ธิดาได้เปลี่ยนไปเป็นเสมือนคนในบริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณเรียบร้อยแล้ว
      
       ส่วนแม่ทัพการรบก็ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกใช้ จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นหัวขบวนหลัก เพราะจตุพรนั้นเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมจากมวลชนเสื้อแดงมากที่สุดในบรรดาแกนนำทั้งหมด และมวลชนเสื้อแดงมีลักษณะชอบทั้งการปราศรัยและความเป็นฮาร์ดคอร์ของจตุพร ดังนั้นจึงเป็นตัวหลักของการนำมวลชนต่อต้านรัฐประหารในรอบนี้ และการต่อสู้ทางการเมืองต่อจากนี้ไปจะรุนแรงมาก
      
       นี่คือเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องยกยอ จตุพร กลางเวทีคอนเสิร์ตที่เขาใหญ่ เพราะจตุพรยังขายได้ในหมู่คนเสื้อแดง และนี่อาจต้องแลกด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีให้ จตุพร เพื่อซื้อใจคนเสื้อแดงด้วย!
      
       ส่วนขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร ซึ่งมีพลังในการเคลื่อนไหวมวลชนของตัวเองมากกลุ่มหนึ่งนั้น แม้ว่าจะเชื่อมกับธิดาได้ แต่ขวัญชัยเองนั้นก็ไม่สนิทใจกับคนกลุ่มนี้มากนัก อีกทั้งที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับปูนบำเหน็จทางเมืองจากพ.ต.ท.ทักษิณเลย จึงทำให้ขณะนี้ขวัญชัยต้องไปจับมือกับขั้ว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง
      
       อย่างไรก็ดีมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังประเมินฝ่ายต่อต้านต่ำเกินไป เนื่องจากขณะนี้ฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงมีเครือข่ายที่แข็งแรงมาก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของสยามประชาภิวัฒน์,พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคฝ่ายค้าน เพียงแต่รอจังหวะและเวลาเคลื่อนที่ออกมาจะแรงกว่าทุกครั้งเท่านั้น
      
       ปฏิทินกิจกรรมเสื้อแดงยาวเหยียด 
      
       ขณะที่ สงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย อธิบาย ถึงแนวทางการระดมมวลชนที่การมวลชนในแต่ละสาย ที่เติบโตอย่างเข้มแข็งตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดร่วมของมวลชนที่ถือว่า เป็นสาระสำคัญ ที่มวลชนทุกคนเข้าใจเป่าหมายของการร่วมกิจกรรมทำการเมือง โดยมีจุดเป้าหมายหลักก็คือ “การต่อต้านรัฐประหาร” ที่ส่งผลให้ การระดมมวลชนทุกครั้งมีปริมาณมวลชนที่มาก และสามารถจัดกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งกิจกรรมปารศรัย เสวนาวิชาการ คอนเสิร์ต การทำบุญ ตลอดจนการะดมทุนในแทบทุกภูมิภาคที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
      
       ไปจนถึง การมีประสบการณ์ร่วมในทางการเมืองที่หลอมรวมมวลชน โดยเฉพาะเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นคนเสื้อแดงพร้อมเคลื่อนขบวนเพื่อต่อต้านทันที อันเนื่องมาจากจิตวิญญาณที่สร้างขึ้นมาจากเบ้าหลอมของเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 2-3 ปีหลังที่ต่างก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันสงวนจึงเชื่อมั่นว่า จิตวิญญาณร่วมถือว่าเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของมวลชนคนเสื้อแดง
      
       ดังนั้น การสร้างความผูกพันและความเข้าใจในกลุ่มคนเสื้อแดงจึงยังคงมีกิจกรรมต่อเนื่อง แม้ว่าจะผ่านเหตุการ์รุนแรงมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังคงมีปฏิทินกิจกรรมทางการเมืองที่ต่อเนื่องเช่นเดิม ซึ่งมีพัฒนาการตั้งแต่การจัดกิจกรรมโดยส.ส.และแพร่หลายไปสุ่การเกิดขึ้นของแกนนำมวลชนระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่าง ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนสำคัญในจ.อุดรธานี ซึ่งในพื้นที่อื่นก็ยังมีบุคคลที่เป็นแกนนำในระดับท้องถิ่นนอีกเป้นจำนวนมาก และจัดกิจกรรมต่างๆทั้งในปริมณฑลและภูมิภาค โดยปฏิทินการเมืองอขงกลุ่มคนเสื้อแดงถือว่าอัดแน่นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนเมษายนเป็นอย่างน้อย
      
       หลังผ่านงานใหญ่ไป ในวันคอนเสิร์ต "หยุดประหยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ" เมื่อวันที่ 25.ก.พ.ที่ผ่านมาก็จะยังมี งาน "รวมพลคนรักประชาธิปไตย" ในวันที่ 3 มี.ค. บริเวณสนามกีฬากลาง จ.พิษณุโลก งานปราศรัย นปช. จ.สมุทรสงคราม ในวันเดียวกัน
      
       ขณะที่ในวันที่ 4 มี.ค.ก็ยังมีงานปราศรัย นปช. ณ สนามกีฬากลาง จ.น่าน และงานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ( 30 หมู่บ้าน) และการปราศรัย ณ อนุเสาวรีย์พระนเรศวร อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
      
       ในพื้นที่ภาคตะวันออก ก็จะมีงานคอนเสิร์ต "รวมพลคนเสื้อแดงภาคตะวันออก" จ.ชลบุรี ในวันที่ 11 มี.ค. ณ ที่ว่าการอำเภอเมือง จ.ชลบุรี และงานปราศรัยใหญ่ นปช. ณ ตลาดสมบัติบุรี อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ในวันที่ 17 มี.ค.และงานปราศรัยใหญ่ นปช.ณ สนามกีฬากลาง จ.สุรินทร์ ในวันที่ 18.มี.ค.
      
       ในวันที่ 24 มี.ค.ถือว่ามีการจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 3 งาน คือ งานทอดผ้าป่าและการปราศรัย อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ งานเปิดสถานีวิทยุแดงระยอง FM 91.0 MHz จ.ระยอง และงานเปิดศูนย์ประสานงาน นปช. และงานเปิดสถานีวิทยุกระจายเสียง 93.10 MHz จ.หนองบัวลำภู ไปจนถึงเดือนเม.ย.ก็มีการจัดกิจกรรมมากมายทั้ง งานปราศรัย นปช. และจัดเลี้ยงโต๊ะจีน ณ สำนักงานไปรษณีย์หลักสี่ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพในวันที่ 1 เม.ย. และการจัดงานปีใหม่ไทย ณ ลานจัดงาน (ตรงข้าม ม.เสรี ซ.อ่อนนุช 75) เขตประเวศ กรุงเทพ
      
       “คนเสื้อแดง มีแนวทางและความคิดทางการมองที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะกับการต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารก็เป็นเป้าหมายที่คนเสื้อแดงทุกคนเข้าใจร่วมกัน ซึ่งไม่ต้องคิดเลยหากมีการทำรัฐประหารคนเสื้อแดงก็พร้อมที่จะต่อสู้ทันที และวันนี้การจัดกิจกรรมทางการเมืองที่ต่อเนื่องนั้น ในแต่ละกลุ่มสามารถจัดได้ ระดมเงินกันได้ เหมารถกันมาร่วมชุมนุม ซึ่งไม่ได้ขึ้นตรงกับแกนนำส่วนกลางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” สงวน ระบุ
      
       นอกจากนี้ ยังไม่รวมการแถลงการณ์นปช.ที่จัดขึ้นเป็นประจำในศุกร์ทุกสัปดาห์ ณ ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิร์ด ลาดพร้าว กรุงเทพ
      
       ด้วยกิจกรรมที่ต่อเนื่องและการไม่ทอดทิ้งมวลชนจึงถือว่าเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์ที่แกนนำคนเสื้อแดงมั่นใจว่าเป็นการสร้างความใกล้ชิดและเข้มแข็งให้กับมวลชนคนเสื้อแดงมากจนถึงปัจจุบัน ซึ่งต่างจาก พรรคประชาธิปัตย์ที่เน้นสร้างมวลชน “เฉพาะกิจ” มากกว่าการสร้างมวลชนในระยะยาวของคนเสื้อแดง
      
       ปชป.ใช้มุกเก่าสร้างมวลชนยาก 
      
       สงวน ยังมองว่า แนวทางการสร้างมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการจัดทำ “บลูสกายชาแนล” เพื่อใช้เป็นช่องทางสำคัญในการสร้างมวลชนสีฟ้า แม้ว่าจะเป็นรูปแบบที่ให้ความรู้ แต่ด้วยวิธีคิดที่เสมือนการใช้พิมพ์เขียวของ "3 เกลอ คนเสื้อแดง” อย่าง วีระกานต์ มุสิกพงษ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ,จตุพร พรหมพันธุ์ ในรูปแบบรายการ “สายล่อฟ้า” โดยนำโดย ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต,เทพไท เสนพงศ์,ศิริโชค โสภา ที่ยังถูกมองว่า ติดหล่มความคิดเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะในนำเสนอประเด็นที่เชิงชู้สาว ไม่เข้มข้นและมีสาระทางการเมืองเพียงพอ รวมถึงยังเป็นการเสนอในข้อมูลเก่าที่ล้วนแล้วแต่ทราบจากการนำเสนอของสื่อทั่วไปแล้ว ซึ่งต่างของ 3 เกลอคนเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัดที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและแตกต่างจากสื่อในขณะนั้น จึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่อาจสร้างมวลชนใหม่ๆได้
      
       "ประเด็นของรายการสายล่อฟ้า ที่มุ่งเน้นในกรณีฉาวในกระแส อาทิ กรณีชู้สาวในกรณีนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงกรณีการมึนเมาของร.ต.อ.เฉลิม ที่ถือว่าคอการเมืองที่ต้องการสาระและข้อมูลเชิงลึก เข้มข้น ถือว่าตอบโจทย์ผิด และไม่สามารถดุงดูดความสนใจได้ดี หากเทียบกับ 3 เกลอ ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์นำเสนอเชิงข้อมูลที่มีประโยชน์ก็อาจจะได้มวลชนกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น และจุดสำคัญก็คือ การทิ้งมวลชนที่ต่างกันอย่างชัดเจนทำให้ถึงวันนี้ยังไม่มีแนวร่วมด้านมวลชนมากนัก"
      
       ดังนั้น มวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่หวังสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแนวคิด หรือความเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงอยู่ในรูปแบบเฉพาะกิจ และขาดโครงสร้าง และที่สำคัญการทำงานเชิงลึกในระดับท้องถิ่นแบบของคนเสื้อแดงนั้น พรรคประชาธิปัตย์ทำได้เพียงในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ขณะที่การขยายมวลชรนในพื้นที่ภาคเหนือ อีสานนั้นยังเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเนื้อหารายการที่นำเสนอยังคงมีประเด็นที่อ่อนไหวต่อมวลชนใน 2 ภูมิภาคอย่างมาก จึงยิ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่อาจสร้างมวลชนได้มากพอ แม้ว่าจะมีความพยายามมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
      
       เพื่อไทยได้เปรียบ
       กระแสมวลชนตัดสิน 
      
       ด้วยเหตุนี้ การสร้างมวลชนที่เข้มแข็งของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง จึงถือว่ากลายเป็น อาวุธสำคัญที่ช่วยผลักดันและค้ำยันรัฐบาลและพรรคพื่อไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งกรณีของการชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ไปจนถึงเดินหน้าทำกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะแนวทางการจัดตั้ง และสร้างมวลชนที่เป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นโมเดลที่สามารถใช้ในการสร้างมวลชรนคนเสื้อแดงอย่างได้ผล
      
       แหล่งข่าวสมาชิกวุฒิสภา มองว่า ณ เวลานี้ พรรคเพื่อไทย และครนเสื้อแดงถือว่า มีความได้เปรียบทางการเมืองอย่างสูง เพราะมวลชนนั้นส่งผลทั้งการมองระบบตัวแทนทั้ง ส.ส. ส.ว.ไปจนถึง ส.ส.ร. ที่กำลังจะเกิดขึ้นมีความได้เปรียบอย่างสูง และความได้เปรียบในสภาจึงช่วยให้งานต่างๆง่ายขึ้นอย่างมาก
      
       ดังนั้น ด้วยเสียงข้างมากในสภาจึงเป็นกุญแจที่ช่วยให้ในขั้นของการแปรญัตติ และกำหนดรูปแบบของส.ส.ร.3 นั้นอยู่ในแนวทางที่พรรคเพื่อไทยต้องการได้ไม่ยาก เนื่องจากสัดส่วนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาจำนวน 45 คน ที่ตั้งขึ้นเพื่อแปรญัตินั้นยังช่วยให้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบอย่างมาก ทั้งในส่วนของส.ส. 35 คนพรรคเพื่อไทย มีโควต้า19 คน,พรรคประชาธิปัตย์ 11 คน,พรรคภูมิใจไทย 2 คน,พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน, พรรคชาติพัฒนา 1 คน และพรรคพลังชล 1 คน และส.ว.10 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็น ส.ว.สรรหา 3 คน เป็น ส.ว.เลือกตั้ง 7 คน ในขั้นตอนการแปรญัติก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยค่อนข้างได้เปรียบ
      
       รวมไปถึงความได้เปรียบ จากฐานมวลชนซึ่งหากวัดตามตัวเลขส.ส. ซึ่งหากรูปแบบ,วิธีการ,คุณสมบัติ ไม่หลุดกรอบของแนวทางพรรคเพื่อไทยมากนัก ส.ส.ร.ที่เลือกตั้ง 77 จังหวัดละ1 คนรวม 77 คนก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยได้ยังมีแต้มแต่อย่างสูง และในระบบสรรหาอีก 22 คน รวม 99คน ก็ยิ่งทำให้โครงร่างของรัฐธรรมนูญอยู่ในควารมต้องการของพรรคเพื่อไทยได้ไม่ยาก
      
       จุดสุดท้ายที่จะตัดสินว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ ก็คือ มวลชนนอกสภา ซึ่งมวลชนคนเสื้อแดง ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญชองพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นคำตอบของการจัดกิจกรรมทางการเมืองของคนเสื้อแดงที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการโฟนอินเข้ามาซื้อใจคนเสื้อแดง ของพ.ต.ท.ทักษิณโดยตรงหลังจากที่ห่างหายไปนาน
      
       จ่าย 7ล้าน 
       มวลชนแดงฮึกเหิม 
      
       ขณะที่ การสร้างแรงจูงใจและฮึกเหิมต่อมวลชนคนเสื้อแดง นั้น ยังมีจุดสำคัญอยู่ที่การอนุมัติวงเงิน 2,000ล้านบาทเพื่อเยียวยาผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากทางการเมือง รายละ 7.75 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการเยียวทางแพ่งและฟื้นฟูเพื่อเบิกจ่ายต่อไป ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ แต่ด้วยมติคณะรัฐมนตรีที่ออกมาก็สามารถแสดงให้เห็นถึงความพยาามของรัฐบาลที่ไม่ทิ้งคนเสื้อแดงและยังคงมีทางออกสหรับแนวทางนี้หลายทาง ทั้ง การให้เงินเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยจากการชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่ม
      
       สาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ยังคงมองว่า แม้การอนุมัติมติครม.ดังกล่าว ยังคงมีปัญหาแต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่สร้างความฮึกเหิม และกำลังใจที่ดีให้กับคนเสื้อแดง จากเงินเยียววยารายละ 7.75 ล้านบาทไปจนถึง นโยบายที่ยังไม่อาจมองได้ว่าสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง เงินเดือน 15,000 บาท ค่าแรง 300 บาทต่อวัน แต่การประกาศและโฆษณาก็เชื่อว่าวิธีการเหล่านี้สามารถซื้อใจมวลชนคนเสื้อแดงได้
      
       "กระบวนการที่พรรคเพื่อไทยยังคงใช้ก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งเงินเดือน 15,000 บาท ค่าแรง 300 บาท ไปจนถึง เงินชดเชยเยียยวยาว 7.75 ล้านบาท ที่ หากติดตามหรือพิจารณาลึกลงไป นั้นยังไม่มีผลสำคัญอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยก็สามารถซื้อใจมวลชนได้ "
      
       แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินการตามที่ประกาศได้หรือไม่ แต่ก็ถือว่า เป็นการซื้อใจมวลชนที่สามารถสร้างความฮึกเหิมให้กับมวลชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า ในอนาคตหากพรรคเพื่อไทยต้องการแรงสนับสนุนจากมวลชนนอกสภา ในกรณีต่างๆทั้งการคัดเลือก ส.ส.ร. ,การลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ไปจนถึง กรณีการเกิดอุบัติเหตุอย่างการรัฐประหาร ก็เห็นได้ว่ามีการสร้างหมู่บ้านคนเสื้อแดงเพื่อใช้การต่อต้านการทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการจัดเตรียมมาอย่างเป็นระบบ ก็จะยังคงมีการผลักดันนโยบายเหล่านี้ออกมาเพื่อซื้อใจมวลชนอย่างแน่อน
      
       จุดสุดท้าย จึงถือว่า การมีมวลชนที่แข็งแรงของพรรคเพื่อไทย ถือได้ว่าเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ที่ช่วยป้องกันแรงต้านจากฝั่งตรงข้ามได้ และที่ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่พรรคเพื่อไทยทำได้สำเร็จ และด้วยเสียงข้างมากดังกล่าว จึงทำให้มีความกล้าที่จะเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง แม้ว่าจะเผชิญความเสี่ยงใดๆก็ตาม ซึ่งก็น่ากลัวอย่างยิ่งว่าจะมีการบาดเจ็บล้มตายซึ่งถือว่าเป็นอนาคตที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบทางการเมืองก็หนีไม่พ้นประชาชนตาดำๆอยู่ดี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น