วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การชุมนุมทางการเมือง เมื่อ 3 – 5 พ.ย.56



การชุมนุมทางการเมือง เมื่อ 3 – 5 พ.ย.56
ผ่าประเด็นร้อน       
       นาทีนี้อาจไม่จำเป็นต้องถาม หรือคาดคั้นเอากับ สุเทพ เทือกสุบรรณ หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคนของพรรคประชาธิปัตย์ว่า สู้จริงหรือเปล่า ทำไม สู้ๆ หยุดๆเพราะเมื่อประเมินจากสถานการณ์ บรรยากาศในเวลานี้แล้ว เชื่อว่า จุดติดหากประเมินจากความเป็นจริงจะเห็นว่ามีมวลชนออกมาทุกกลุ่มแล้ว ทั้งนักศึกษา อาจารย์จากแทบทุกมหาวิทยาลัย กลุ่มแพทย์ นักธุรกิจ ต่างมีการออกแถลงการณ์คัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมล้างผิดให้ ทักษิณ ชินวัตร ทุกคดีทั้งอดีตไปจนยันอนาคตชนิดที่เรียกว่าถ้าทำได้ก็อาจจะล้างผิดรอเอาไว้จนถึงชาติหน้าก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็สามารถ เรียกแขกได้ชะงัด เพราะทำให้คนไทยกลับมารวมตัวแบบ สามัคคีชุมนุมกันได้อีกครั้ง       
       การออกแถลงการณ์ในนามสถาบันการศึกษาหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ กลุ่มนักธุรกิจที่ออกมาชุมนุมพร้อมกันหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความรู้สึกร่วมกันที่แทบจะไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความแล้ว และที่สำคัญกลุ่มคนที่ออกมาคราวนี้ล้วนมีความตื่นรู้ มีการติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนที่ออกมาล้วนมีความกระตือรือร้น ทุกเวทีมีคนเข้าร่วมแน่นแบบไม่จำเป็นต้องมีนักไฮด์ปาร์กที่โดดเด่นก็เข้าร่วม เพราะมีเป้าหมายที่ชัดเจนดังกล่าวนั่นเอง       
       ด้วยบรรยากาศ อารมณ์และความรู้สึกแบบที่เห็นนี่แหละ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เป็น พลังเพื่อเดินไปสุดซอยเหมือนกัน        
       ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือใครก็ตาม นาทีนี้ถือว่าเป็น โอกาสทองที่คว้าเอามา และมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะเลือกเอง ไม่มีใครไปบังคับหรืออ้อนวอนได้ แต่ถ้าไม่เดินนำไปจน สุดทางหรือจะ รีรอครึ่งๆ กลางๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ชาวบ้านเขาตื่นแล้ว เขาไปไกลแล้ว และที่จริงก็เดินไปเองได้อยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งถ้ามีคนเข้ามาเพิ่มบรรยากาศมันก็ สนุกยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง       
       อย่างไรก็ดีล่าสุด สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ได้ประกาศ นำม็อบย้ายเวทีจากสามเสนมาปักหลักที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใช้ถนนราชดำเนินเป็นสมรภูมิในการต่อสู้ พร้อมทั้งเตรียมประกาศยกระดับการต่อสู้เป็นลำดับถัดไป หากรัฐบาลยังไม่ยอมถอยร่างกฎหมายสุดซอยดังกล่าว ขณะเดียวกันเขาอ้างว่านี่คือ ฉันทามติของมหาชนที่ต้องการแบบนี้ ก็ต้องถือว่านี่คือสิ่งที่ต้องจับตามองด้วยใจระทึก เพราะนี่คือบทบาทการนำม็อบบนท้องถนนเป็นครั้งแรกของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำตามเสียงเรียกร้องและแรงกดดันของประชาชน ซึ่งยังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่รับรองว่านี่คือ พลังที่แข็งแกร่งยิ่ง และได้ใจ ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะทำให้มีประชาชนเข้ามาร่วมเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก       
       จนทำให้การยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ จะเกิดขึ้นตามมาอีกไม่ช้า        
       สิ่งที่น่าจับตาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ คำพูดปริศนาของสนธิ ลิ้มทองกุลอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เตือนให้ระวังการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง หลังจากที่มีกระแสต่อต้านร่างพระราชบัญญัติล้างผิดให้ทักษิณเพิ่มมากขึ้นและลุกลามออกไปทั่วประเทศ ทำให้เส้นทางแบบนี้เดินต่อไปไม่ได้ ก็ต้องใช้ทางลัดนั่นคือ ก่อรัฐประหารแต่คราวนี้น่าจะเป็นฝีมือของ ทหารรับจ้างของ ทักษิณเป็นคนลงมือ แล้ว เซตซีโร่ล้างผิดให้ทุกฝ่าย ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนก็อาจลองย้อนกลับไปฟัง คลิปถั่งเช่าที่มีการเอ่ยถึงชื่อทหารคนหนึ่งที่ไว้ใจอยู่คนหนึ่งที่ชื่อตู่เต่ออะไรนี่แหละ เพราะถ้าอ้างอิงสถานการณ์ยุ่งเหยิง แล้วสอดแทรกเข้ามา สิ่งที่บางคนยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นถึงตอนนั้นมันก็อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ได้       
       ขณะเดียวกัน นาทีนี้ไม่ต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้เสียเวลาเพราะคงไม่มีคำตอบและคงหงุดหงิดหัวเสียเช่นเดิม!! เมื่อทำไปแล้ว ต้องสำเร็จ บอกเลยว่า ต้องปิดซอยให้ได้ โอกาสแบบนี้ ไม่มีอีกแล้ว การยกระดับการชุมนุมครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นม็อบที่เกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ ม็อบจาก คปท.งานนี้ต้องทำให้จบ ไม่งั้น ประเทศก็จบพรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้ว่า การตั้งโจทย์ไว้แค่ ล้มพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งคงต้องจากวุฒิสภา โหวตคว่ำในวาระที่ 1 เลย หรืออาจยาวไปที่วาระ 3 แค่นี้ตอบโจทย์แล้วหรือไม่ ตามมาตรา 146 ระยะเวลาที่วุฒิสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ เมื่อรับมาจากสภาผู้แทน ภายใน 60 วัน ตามมาตรา 146 ของรัฐธรรมนูญ 50 แต่หลักจริงๆแล้ว อยู่ในมาตรา 147-148   มาตรา 147 ภายใต้บังคับมาตรา 168 เมื่อวุฒิสภาได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จแล้ว
(1) ถ้าเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 150
(2) ถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน และส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร
(3) ถ้าแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติตามที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎรถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 150 ถ้าเป็นกรณีอื่น ให้แต่ละสภาตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ มีจำนวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างนั้น และให้คณะกรรมาธิการร่วมกันรายงานและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง ถ้าสภาทั้งสองต่างเห็นชอบด้วยร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 150 ถ้าสภาใดสภาหนึ่ง ไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อนคณะกรรมาธิการร่วมกันอาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติได้ และเอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 130 นั้น ให้คุ้มครองถึงบุคคลผู้กระทำหน้าที่ตามมาตรานี้ด้วย
การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกันต้องมีกรรมาธิการของสภาทั้งสองมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม และให้นำบทบัญญัติมาตรา 137 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ถ้าวุฒิสภาไม่ส่งร่างพระราชบัญญัติคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 146 ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้ดำเนินการตามมาตรา 150 ต่อไป
มาตรา 148 ร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ตามมาตรา 147 นั้น สภาผู้แทนราษฎจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันได้ล่วงพ้นไปนับแต่วันที่วุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร สำหรับกรณีการยับยั้งตามมาตรา 147 (2) และนับแต่วันที่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย สำหรับกรณีการยับยั้งตามมาตรา 147 (3) ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมหรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 150
ตาม(2)และ(3) ของมาตรา 147 ย่อมมีผลให้ร่างกฎหมายโดนแช่แข็ง 180 วัน ตามมาตรา 148 แต่ถ้ามาคิดให้ลึกซึ้ง ระยะเวลาที่บอกว่า กฎหมายต้ัองถูกแช่แข็งไปโดยอัตโนมัติ อาจเป็นช่องว่างแห่งสูญญากาศ ที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะหาประโยชน์ ฉกฉวยโอกาสหาเอาประโยชน์จากตรงนี้ได้ เพราะมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ 50 กำลังจะได้รับการแก้ไข เพื่อประโยชน์แก่ทักษิณและพรรคพวก โดยเฉพาะ สาระสำคัญอยู่ที่วรรค 1- 2 ของมาตรา 68
มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ถ้าเวลา 180 วัน พวกเขาหันไปทำตรงนี้ได้สำเร็จ ก็ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ยังไม่ได้รับการยกเลิกเพิกถอน ก็สามารถนำมาใส่ทะลุช่องว่างตรงนี้ได้โดยเสรี โดยเฉพาะร่างแก้ไขที่กรรมมาธิการทำเสร็จแล้ว อ่านแล้ว เหมือนดูดี แต่หมกเม็ด ซ่อนปม ไว้หลายประการ ตามนี้
มาตร 68 เรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

-ผู้ที่ทราบการกระทำที่นอกเหนือรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง ต้องยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุด และให้อัยการดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน หากพบเป็นการกระทำที่ผิด ให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสั่งยุติการกระทำ หรือยุบพรรคการเมือง
-อัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งยุติเรื่องที่ยื่นให้พิจารณาหากพบว่าการกระทำนั้น ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองหรือทางลัดที่นำไปสู่อำนาจการปกครองประเทศ
ที่มา คมชัดลึก
จากที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยให้ยื่นเรื่องต่ออัยการหรือศาลรัฐธรรมนูญ ทางใดทางหนึ่งได้ ถ้าแก้ไขแล้ว สิทธิยื่นคือประชาชน และอำนาจรับเบื้องต้นคืออัยการสูงสุด และยังขยายอำนาจในการสั่งยุติเรื่อง กับถ้าทำเรื่องไม่เสร็จภายใน 30 วัน ค่อยส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แล้วทุกวันนี้ ไว้ใจได้ไหม ในอัยการสูงสุด ตรงนี้ อำนาจปกปักพิทักษ์รัฐธรรมนูญของประชาชนหายไปเลย แล้วถ้าแก้ไขได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น มองได้ 2 แนวทาง ที่คนพวกนี้จะทำ คือ
1.  ไปยกมือผ่านวาระ 3 แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่ยังอยู่ในสภา ตั้ง สสร.เอามาตรา 309 ออกไป หรือ
2.  แก้ไขมาตรา 309 ทันที
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ทิ้งมา ก่อนเวลาอันควร และถ้าส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างไร ศาลก็ตัดสินว่าขัดรัฐธรรมนูญ 100% แต่ถ้ายังมีเศษไพ่ใบสุดท้ายหลงเหลืออยู่นั้น ระบอบทักษิณยังมีเกมส์ให้เล่นต่อได้ กล่าวคือ ถ้าแก้ไขมาตรา 68 ได้ อะไรก็ง่ายขึ้น ใช้แนวทาง 1 ช้าหน่อย แต่เนียน แนวทาง 2 เร่ง เร็ว รีบ ด่วนสั่งได้ โดยการเอามาตรา 309 ที่เป็นก้างตำคอ ออกไปเสีย เมื่อพ้น 180 วันแล้ว นำร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม มาโหวตใหม่ นำขึ้นทูลเกล้า ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ใช้เป็นกฎหมาย เพียงแค่นี้ ทักษิณกลับประเทศไทยได้ทันที สุดซอยจนได้ เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร
วันนี้ ทักษิณยังสั่งขี้ข้าให้ลุยเข้าไปให้สุดซอย ยิ่งลักษณ์ยังไม่ยอมแพ้ ดึงดันทำร่างนิรโทษกรรมให้สำเร็จ แม้จะมียี่เกดราม่า จัดฉาก น้ำตาท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ขออภัย ขอความเมตตา ถามกลับหน่อยซิ คุณเคยเมตตาต่อประเทศไทย ต่อประชาชนคนไทย บ้างไหมใจดำอำมหิตต่อประเทศชาติ และประชาชน ทั้งพี่ ทั้งน้อง เคยเห็นกันไหมครับ หมาเมื่อขนของมันยังเยอะ ฟูฟ่อง เห็บหมายังกระโดดเกาะ แต่หมาที่ใกล้ตาย ถ้าเห็บหมายังเกาะ ก็คงต้องปล่อยตายไปพร้อมกัน
ม็อบราชดำเนิน ยังต้องดำเนินต่อ ม็อบ อุรุพงษ์ ต้องขยายให้มากกว่านี้ การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด สงครามยังไม่จบ หัวใจของฝ่ายมาร คือทักษิณ ชินวัตร ผ่านตัวแทนน้องสาวชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แค่ล้มหรือชลอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ไม่เพียงพอ ตอบโจทย์ไม่ได้ ต้อง Set Zero ล้างเสียให้สิ้น อย่าให้ตระกูลชินวัตรเสนอหน้าออกมาอีก แล้วไปให้ไกลกว่านั้น ปฎิรูปประเทศไทย เพื่อประชาชนคนไทยทุกคน
ผลแห่งการกระทำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สาวไปได้ถึงต้นเหตุในวันที่คนไทยลุกขึ้นมารวมพลังกันอีกครั้ง นั่นคือ การคอร์รัปชันโกงกิน ที่สำนึกร่วมของประชาชนเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันต่อการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ล้างผิดคนโกงอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้บริสุทธิ์ไร้มลทิน 
    พลังคนไทยที่ถูกผนึกขึ้นอีกครั้งในทุกภาคส่วนของสังคม  ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนที่ลุกขึ้นมาชุมนุมที่อุรุพงษ์ แล้วผนึกรวมกำลังกับกลุ่มสีลม หรือกลุ่มประชาชนที่สถานีรถไฟสามเสน ที่ยกระดับไปสู่การปักหลักถนนราชดำเนิน 
    กลุ่มประชาชนเหล่านี้คือ กลุ่มปฏิบัติการประชาธิปไตยทางตรงอย่างเป็นรูปธรรม พวกเขาเหล่านี้ตระหนักตื่นรู้ ถึงสิทธิ์อันชอบธรรมในการชุมนุมโดยสงบ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามหน้าที่พลเมือง ที่คอยกำกับตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาลอย่างเต็มกำลัง ควบคู่ไปกับการเกิดเครือข่ายต้านกฎหมายนิรโทษในแต่ละจังหวัด ที่กำลังจุดติดเป็นไฟลามทุ่งในทั่วทุกภาค  
    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นับเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมไปทุกส่วน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์สาธารณสุข หมอ -พยาบาล โรงพยาบาลรัฐและเอกชน  ขณะเดียวกันในแวดวงวิชาการ บุคลากรที่สำคัญในวงการศึกษาหลักของประเทศ  อย่างอธิการบดีมหาวิทยาลัยในประเทศทั้ง 25 มหาวิทยาลัย  อาทิ ม.ธรรมศาสตร์, ม.ศรีนครินทรวิโรฒ, ม.วลัยลักษณ์ฯ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั
 
     ม.เกษตรศาสตร์, ม.ขอนแก่น, ม.เชียงใหม่, ม.มหิดลม.สงขลานครินทร์, ม.ศิลปากร, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), ม.แม่ฟ้าหลวง, ม.แม่โจ้, ม.มหาสารคาม, ม.บูรพา, ม.พะเยา ฯลฯ ต่างร่วมลงนามคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้อย่างถ้วนหน้า
    นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์แนวรบด้านออนไลน์ที่ตื่นตัวอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโซเชียลมีเดียที่เรียกได้ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นำไปสู่การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนที่มีแนวคิดไปในทางเดียวกัน  นัดหมายสื่อสารสร้างพลังทางการเมืองผ่านออนไลน์ หรือการเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมโดยตรง โดยเห็นได้จากแคมเปญรณรงค์ "ล้านชื่อหยุดกฎหมายล้างผิดคดีโกง" ที่ชาวโซเชียลออนไลน์แห่ลงชื่อกันไปแล้วกว่า 4.6 แสนรายชื่อ ภายในระยะเวลา 5 วันที่เริ่มรณรงค์หยุดกฎหมายล้างผิดใน  
www.change.org  
    ปฏิกิริยาของผลกระทบดันสุดลิ่ม พ.ร.บ.นิรโทษกรรม  กลายเป็นกระแสโหมต้านคนโกงในสังคมไทย ที่ผนึกกำลังรวมกันทุกภาคส่วนทั้งธุรกิจ-เอกชน เป็นเสียงสัญญาณที่  ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทาสในเรือนเบี้ยตระกูลชิน ต้องสดับตรับฟังถึงวิถีการเมืองที่เรียกว่า อำนาจเผด็จการสภาฯ  ตัดสินด้วยเสียงข้างมาก ที่ใช้ไม่ได้กับการเมืองยุคยิ่งลักษณ์ ในวันนี้ 
    เพราะเสียงข้างมากลากถูกฎหมาย มัดมือชกอย่างเหิมเกริม หวังแต่เพียงประโยชน์ส่วนตน กำลังถูกสั่งสอนจากประชาชนเจ้าของประเทศ ยิ่งย่ามใจใช้อำนาจโกงกินบ้านเมือง นำพาชาติเสียหาย ยิ่งต้องไม่เสียเวลาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ออกไปโดยเร็ว
.
แล้ว "ลิงประชาธิปัตย์" ก็ยกทัพลูกหลาน "พระนารายณ์" ยาวหลายกิโล จากสถานีสามเสนมาหลอกสมุน "ยักษ์หน้าเหลี่ยม" ยึดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินได้สำเร็จ พร้อมตั้งค่ายคูประตูรบ จ่อประจันหน้าด่าน "กรุงลงกา" เพื่อทำศึกแตกหักกับทัพจอมอสูร "ฆาตกร-โกงแผ่นดิน-กินประเทศ" ยกต่อไป 
    ถ้าว่าไป ก็เหมือนรามเกียรติ์ตอน "หนุมานจองถนน" กว่าจะใช้เล่ห์กล และกำลังพลลิงถมหินในทะเลสร้างทางเข้ากรุงลงกาได้ ก็ต้องใช้ทั้งเล่ห์ ทั้งกล ทั้งมนต์เสน่ห์หนักหนาเอาการ
    ก็ต้องบอกว่าการยกระดับ "ขั้นแรก" ของคุณสุเทพและคณะประชาธิปัตย์ "เข้าแผน" คือเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้
    ถ้าพูดในภาพรวม ที่เห็นรูปแบบเคลื่อนทัพจากสถานีสามเสนอันเหมือนหนองน้ำ ไปลงทะเลใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของมังกรวานนี้ (๔ พ.ย.๕๖
)
    ก็ชัดว่า การทำศึกปราบโจรแผ่นดินครั้งนี้ ไม่ใช่ "สุเทพโชว์" หรือ วันแมนโชว์ และไม่ใช่สถานการณ์พาไปวันๆ 
    หากแต่ถึงพร้อมด้วยยุทธศาสตร์-ยุทธวิถี และเล่ห์กลศึกชนิด "เป็นขั้น-เป็นตอน" ซึ่งต้องพูดว่า     ฝ่ายเสนาธิการ...เยี่ยม!
    กองทัพประชาธิปัตย์ใช้เวลาเพียง ๓ วัน สามารถ "ใช้ใจ-แลกใจ" ประชาชน จากเรือนพัน เป็นเรือนหมื่น จากเรือนหมื่น เป็นเรือนหลายหมื่น และเช้าวาน จากหลายหมื่น แค่เที่ยง ขยับขึ้นเป็นเรือนแสน 
    และแสนๆ แน่นขนัดตอนค่ำ ทอดยาวไปตามราชดำเนิน ถนนแห่งชัยชนะประชาชน ถนนที่ตีนบริสุทธิ์ประชาแห่งราช ย่ำร้อยครั้ง   ชนะทั้งร้อยครั้ง!
    ประชาชนทุกวันนี้ ต่างอยู่ในสภาพ "อกไหม้-ไส้ขม" มองยิ่งลักษณ์บริหารด้วยทุจริต-คอร์รัปชันตาปริบๆ 
    ราชการงานเมืองที่มุ่งทำ ก็มิใช่เพื่อบ้านเมือง หากแต่เพื่อ "บ้านกู-โคตรกู-พี่ชายกู" แต่เงินภาษีประชาชน มันช่างหดหู่ยิ่งนัก    ยิ่งเห็นสมคบรัฐสภาออกกฎหมายนิรโทษให้ "ฆาตกร-โกงแผ่นดิน-กินประเทศ" ก็ได้แต่ร้อง ด้วยร้อน-แล้ง อยู่ในหัวอก    หมดสิ้นแล้ว ประเทศไทย....!    พูดอะไรก็เป็นภัยกับตัวเอง เพราะพวกโจรเริงเมืองหูตามันเกลื่อนกลาดทั้งในระบบราชการและระบบชาวบ้าน ขืนไม่หรี่ตาตามโจร ก็จะโดน "ระบอบทักษิณ" เล่นงาน
     จนกระทั่งสุเทพและคณะ "ตั้งเวที" สถานีสามเสน เป้าหมายที่ประกาศ เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจ เหมือนบ่งหนองให้ไหล แค่คลายเจ็บปวด     แต่มันจะไม่หาย....    ถ้าสุเทพและคณะไม่นำประชาชนขับมันไปให้พ้นจากไทยแผ่นดิน!    แค่ให้ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษทักษิณ มันไม่พอ เพราะเหมือนรีดหนอง แต่ไม่เค้นเอาหัวฝีร้ายออกจากเนื้อใน มันก็หายยาก     เดี๋ยวๆ มันก็ "กลัดหนอง-กินเนื้อ" ให้ "ปวดทั้งแผ่นดิน" ไม่สิ้น ไม่คลาย!    การเคลื่อนขบวนออกจากสถานีสามเสน แวะสถานีอุรุพงษ์ ก่อนไปสักการะศาลหลักเมือง กล่าวคำปฏิญาณต่อ "พระแก้วมรกต" และบูรพมหากษัตริย์ ณ พระบรมมหาราชวัง แล้วมาจอดสถานีสุดท้าย "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"    นั่นไม่ใช่การ "ซื้อใจ-วัดใจ" ประชาชน หากแต่เป็นการ "ได้รับ" พลังน้ำใจ จากประชาชนทั้ง ๒ ฟากถนน ทั้งพระราม ๖ อุรุพงษ์ สะพานขาว ผ่านฟ้า ราชดำเนิน สนามหลวง ที่หลั่งไหล เรียงราย
    มอบให้สุเทพกับคณะมหาชนนับหมื่น-นับแสน ที่ยิ่งเดิน ท้ายขบวนยิ่งต่อยาว..ต่อยาว..เป็นดาวหางขึ้นกลางประเทศ!    การเคลื่อนทัพของสุเทพ นอกจากเป็นยุทธวิธี ยังแฝงยุทธศาสตร์ "แหลมคม" ด้วยการแวะสถานีอุรุพงษ์ ส่งนัย "ปิง-วัง-ยม-น่าน" รวมเป็น "เจ้าพระยา ใหญ่สายเดียวกัน"
    และก่อนหน้า กปท.โดยสันติอโศกที่สวนลุมฯ ก็เคลื่อนมารวมกับ คปท.ที่อุรุพงษ์ พร้อมเครือข่ายประชาชน ๗๗ จังหวัด     "ทั้งผองรวมเป็นหนึ่ง"     ประกอบด้วย พลตรีจำลอง ศรีเมือง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พิภพ ธงไชย สุริยะใส กตะศิลา นิติธร ล้ำเหลือ อุทัย ยอดมณี และนักศึกษาอาชีวะ
    การแวะของสุเทพ เท่ากับประกาศให้ทราบว่า "นี้...เนื้อเดียวกัน" ในแนวทางสู่เป้าหมาย เพียงแยกเวทีกันไป ทางยุทธศาสตร์!    การเดินทัพของสุเทพ โดยไม่บอกเป้าหมาย ปล่อยให้ทุกคนกระหายอยากรู้ ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง     หลายคนอาจคาดเดาได้ สุดท้ายสุเทพต้องย้ายเวทีมายึดชัยภูมิราชดำเนิน แต่ก็มีพวกหนึ่งที่ หลงค่ายกลสุเทพ คือตำรว
    เหนื่อยเปล่า...ที่ต้องระดมกันกั้นกำแพงคุกรอบทำเนียบฯ-รอบสภาฯ แต่ว่ามวลชนคนไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษณ์, ไม่เอารัฐสภาสมศักดิ์-นิคม เขาไม่มาทางนี้ แต่ไปทางโน้น!
    เมื่อคิดหยั่งผ่าน "ทางเดินทัพ" จึงไม่รู้สึกอะไรนักที่คณะพรรคประชาธิปัตย์ โดยสุเทพประกาศเป้าหมายการตั้งเวทีชุมนุมแค่ว่า    "ให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษทักษิณออกไป"!    ประชาชนร่วมเดินทัพ มีปฏิกิริยาไม่ค่อยพอใจนัก เพราะเห็นว่า มันเบา-โหวงเหวง ไม่สมราคาที่กรีธาทัพ สะท้านฟ้า-สะเทือนดิน
    และอีกอย่าง รู้อยู่กับใจ มาป่านนี้ "มันถอนไม่ได้แล้ว" ครั้นจะมารอวัดใจจาก ส.ว.ให้โหวตไม่รับ ดูไม่สมเหตุสมผล "จะเล่นละครกับรัฐบาลแหกตาประชาชนหรืออย่างไร?"    บางคนตั้งข้อสงสัยเช่นนี้....
    ก็อยากบอกว่า "ดีแล้วที่คนสงสัย"    เพราะนั่นแสดงว่าแผนและยุทธศาสตร์ปราบทรราชมารแผ่นดินของสุเทพกับมวลมิตรร่วมแนวทางแต่ละเวทีแยบคาย ใช้ได้...เพราะคนภายนอก     เดาไม่ได้-คาดหมายไม่ถูก!
    ไว้ใจสุเทพ ตามที่อภิสิทธิ์บอกซักพักเหอะ แล้วจะเห็นเหมือนที่ไม่คิดว่าเคลื่อนพลจากสามเสนไปยึดราชดำเนิน    ที่ตั้งเงื่อนไข "ให้ถอน พ.ร.บ.นิรโทษ"    เถอะ...แล้วมันจะถูกยกระดับเป็น "ไล่ยิ่งลักษณ์ออกไป" ในไม่ช้า!    ถ้าไม่ไล่....    เรา-ประชาชน ก็ต้องหันเท้าเข้าหาสุเทพและคณะ ไล่มันไปแทน!!    ครับ...ก็บอกตามที่ผมคาดเดาให้สบายใจกัน โทษด้วยบริหารเหิมเกริมของยิ่งลักษณ์ ฝ่ายรัฐบาล และของสมศักดิ์-นิคม ฝ่ายรัฐสภา 
    มันถึงขั้น "อนันตริยกรรมแผ่นดิน" หนักหนาเกินกว่าแค่ "ดีดไข่-ดีดแคม" แล้วอภัยให้กันไป!    นอกจาก "มหาประชาชน" ตื่นแล้วทั่วประเทศ!    คณาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ นิสิต-นักศึกษา หลายสถาบัน นักธุรกิจ-พ่อค้า จำนวนมาก แพทย์-พยาบาล หลายสถาบัน รวมทั้งข้าราชการที่กลัวแสนกลัวนักการเมือ

    ยกเว้น ตำรวจ และทหาร        ขณะนี้...........    ไม่มีใครกลัว "อำนาจ" รัฐบาลทรราชแล้ว!
    ต่างประกาศตัว ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการบริหารทุจริต-คอร์รัปชัน ต่อต้านการออกกฎหมายลูกฆ่ากฎหมายแม่ คือรัฐธรรมนูญ ล้มอำนาจสถาบันประเทศ ล้างหลักนิติรัฐ ด้วยการนิรโทษ "ฆาตกร-โกงแผ่นดิน-กินประเทศ" นามว่าทักษิณ!    ข้าราชการ "กระทรวงพาณิชย์" ประมาณ ๑๐๐ คน เป็นข้าราชการแห่งแรกต้องบันทึกไว้ ที่รักประเทศ รักสะอาด-สุจริต-เกลียดคอร์รัปชัน ในระบบราชการ
    เย็นวาน เขาเหล่านั้นต่างออกมา "ประกาศตน" ต้านรัฐบาลบริหารคอร์รัปชัน หยัดยืนเคียงข้างประชาชน!
    เอาละ เพื่อเป็น "สัญญาผูกมัด" สุเทพและคณะพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ผมจะนำคำปฏิญาณที่คุณสุเทพกล่าวต่อพระแก้วมรกต และบุรพมหากษัตริย์ มาไว้เป็นสักขี ดังนี้
    "แผ่นดินไทยพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ได้สร้างขึ้นทำนุบำรุงนำมาซึ่งความผาสุกจนมาปี ๒๔๗๕ รัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย 
    ต่อมาได้มีกระบวนการผู้คนยึดอำนาจเป็นของคนคนเดียว คณะเดียว เป็นเหตุให้พี่น้องต้องมาต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า มาจนบัดนี้ เป็นที่ปรากฏแน่ชัดแล้วว่า ความถูกต้องรวบอำนาจการปกครองในหมู่เขา โดยไม่คำนึงสิทธิอำนาจ พยายามแก้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อล้างผิดให้คนโกง คนทุจริต คนเผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าประชาชน-ทหาร ทำลายกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถดำรงนิติรัฐปกครองนิติธรรม จึงมารวมตัวกันปกป้องชาติ ประชาชน ภายใต้การปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  
    พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งสัตย์ปฎิญาณต่อเบื้องหน้าพระแก้วมรกต พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าเป็นผู้สำนึกบุญคุณบ้านเมือง ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาบ้านเมือง พวกข้าพเจ้าทั้งหลายขอตั้งสัจวาจาจะดำเนินการต่อสู้คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้างผิดคนโกงอย่างเต็มที่ ให้กฎหมายดังกล่าวมีอันเป็นไปใช้ไม่ได้และต่อสู้กับคนทุจริต     จนกว่าคนเหล่านี้จะสาบสูญไปจากแผ่นดินไทย 
    ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์บุญบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าทั้งหลายที่ตั้งใจทำดีจงมีความสุข ความเจริญ ขอให้มีชัยชนะในการต่อสู้ปกปักรักษ
บ้านเมือง"    นี่จงเป็นสัจ ทำสำเร็จ จงจำเริญ ผิดสัจ จงวิบัติพลัน.
ขนาดถือเป็นเพียง มือใหม่หัดม็อบ เท่านั้น...แต่ไม่ว่าโดยบุคลิก ลีลา ความอดทน อดกลั้น ในการพูดจาปราศรัย  ตลอดไปจนถึงความเฉียบขาดในการวางแผน การตัดสินใจ  คงต้องยอมรับว่ายี่ห้อ เทพเทือก ในวันนี้ สามารถแปะเอาไว้ข้างฝา จัดอยู่ในทำเนียบแถวหน้าของ นักเคลื่อนไหวมวลชน อย่างไม่มีใครกล้าปฏิเสธกันได้ง่ายๆ...
                                                           ----------------------------------------------------
    การเคลื่อนขบวนมวลชนนับหมื่น นับแสน ออกไปยืดเส้น ยืดสาย จากสถานีรถไฟสามเสน ผ่าเข้าสู่ใจกลางม็อบอุรุพงษ์ ก่อนร่วมควงแขน เคียงบ่า เคียงไหล่ โผล่ออกไปแถวหลานหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วัดพระแก้ว ฯลฯ วันวานนี้ ถ้าหากว่ากันตามภาษานักเทคนิครัฐประหาร อย่าง คูร์สิโอ มาลาปาเต อาจต้องเรียกว่า...ถือเป็นการ ซ้อมรบแบบมองไม่เห็น เอาเลยประมาณนั้น คือเป็นการติดเครื่อง จูนเครื่อง ทดสอบความแรงของกระบอกสูบ อัตราเร่งในระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ เชนจ์เกียร์ ได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ หลังจากนั้น...ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดสินใจเหยียบคันเร่ง กันเมื่อไหร่ ตอนไหน เท่านั้นเอง...

                                                        -------------------------------------------------------
    ประกอบกับอัตราความเร็วและความแรงของบรรดาม็อบแต่ละม็อบในช่วงนี้...คงต้องยอมรับว่า ต่างฝ่ายต่างพร้อมแล้วที่จะใส่เกียร์ห้า ติดเทอร์โบ กะจะเหยียบให้มิดตีน มิดด้าม ไปด้วยกันทั้งสิ้น เสียงเป่านกหวีดที่ดังสนั่นลั่นโลกไปทั่วทั้งย่านสีลม โดยม็อบสีลม ความร้อนเร่าของนักเรียนอาชีวะและนักศึกษารามคำแหงที่ไหลมาบรรจบกับความลึก ความจัดจ้าน ของนักรบมืออาชีพแห่งสมรภูมิภูผาทีอย่างพลตรี จำลอง ศรีเมือง ที่แยกอุรุพงษ์ ไปจนถึงความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ของบรรดาม็อบพื้นบ้านในแต่ละจังหวัด ฯลฯ งานนี้...โอกาสที่คุณน้อง ปู ยิ่งลักษณ์ จะลอยไป ลอยมา กรีดกรายเป็นพรีเซนเตอร์ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนแต่ก่อน...น่าจะลำบากเอามากๆ!!!
                                             ------------------------------------------------------------
    แม้ว่าจะยังคงใช้วิธีนิ่งเงียบ ตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง ท่องคาถาซ้ำๆ ว่าเป็นเรื่องรัฐสภา รัฐบาลไม่เกี่ยว...แต่โดยอากัปกิริยาเท่าที่พอจับสังเกตได้ไม่ยาก คงต้องสรุปว่าชักจะ ออกอาการ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการระบายความเกรี้ยวกราดใส่คนใกล้ชิดอย่างคุณ ปุ้มปุ้ย แบบตรงไป-ตรงมา การเอ่ยคำพูดซ้ำๆ เรียกร้องให้อภัยต่อกันและกันด้วยเส้นเสียงสั่นๆ แถมน้ำตาคลอเบ้าอีกต่างหาก ซึ่งก็ยังมิอาจสรุปได้ว่า สั่นเพราะความสะเทือนใจ หรือสั่นเพราะความตกใจกันแน่  เนื่องจากความหมายของ การให้อภัย ที่ว่า มันดูจะไม่ได้ถูกกลั่น ถูกกรอง ออกมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ ที่จริงใจ แต่อย่างใด แต่ออกไปทางสั่นๆ ไหวๆ พอๆ กับลีลาการกระโดดไป กระโดดมา ของ จิงโจ้ ซะละมากกว่า...

                                                      ------------------------------------------------------------
    และแม้ว่าขั้นตอนของการต่อต้าน คัดค้าน กฎหมายนิรโทษกรรม (พี่ชายนายกฯ) จะยังคงเหลืออยู่อีกประมาณยก สองยก คือยังต้องรอไปถึงขั้นตอนวุฒิสภา ไปจนถึงขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่โดยอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในแต่ละม็อบ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...มันชักจะเกิดการสั่งสม สะสม เกิดการยกระดับ ชนิดนาทีต่อนาทีไปแล้วก็ว่าได้ เรียกว่า...ถึงจะยังไม่รู้หมู่ รู้จ่า ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวุฒิสภา หรือเป็นศาลรัฐธรรมนูญกันแน่ ที่จะเป็นผู้หยุดยั้งกฎหมายอัปยศฉบับนี้กันในยกสุดท้าย แต่จะเป็นด้วยความเจ็บปวด รวดร้าว ทรมาน จากพิษบาดแผล ที่ถูกรัฐบาลประเคนใส่มาโดยตลอด 2 ปีกว่าๆ  หรือไม่ เพียงใด ก็มิอาจสรุปได้ แนวโน้มที่ผู้คนในแต่ละม็อบจะพร้อมใจส่งเสียงตะโกนว่า รัฐบาล...ออกไป หรือ ยิ่งลักษณ์...ออกไป มันชักจะใกล้ถึงจุดแบบเฉียดฉิวเต็มที...
                                                     -------------------------------------------------------------
-
    พูดง่ายๆ ว่า...อาจไม่ต้องรอเวลาลากไปถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน อันเป็นวันที่คาดๆ เอาไว้ว่า ได้เวลาที่วุฒิสภาจะหันมาสุมหัวรวมตัวเพื่อใคร่ครวญ พิจารณาในเรื่องราวเหล่านี้ แม้กระทั่ง ณ วินาทีนี้ หรือในวันนี้ พรุ่งนี้ หลายต่อหลายราย ยังถึงกับเผลอหลุดปาก ส่งเสียงตะโกนในแบบที่ว่าออกมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย หรือมันได้เกิดการยกระดับทางอารมณ์ความรู้สึกแบบออโตเมติกขึ้นมาดื้อๆ ชนิดไม่ว่าผู้นำมวลชนมือใหม่หรือมือเก่าก็ตามแต่ อาจจะ เอาไม่อยู่ กันเลยก็ไม่แน่!!! คือแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะสิ้นสุด ยุติ ด้วยการแพ้น็อก แพ้คะแนนกันในยก 5 หรือในกรณีของกฎหมายนิรโทษกรรมแต่เพียงเท่านั้น เผลอๆ...มันอาจมียก 6 ตามมา หรือไม่งั้นอาจถึงขั้นขออนุญาตน็อกก่อนระฆังยกสุดท้ายจะเริ่มต้น และผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของหมัดน็อก อาจไม่ใช่แค่รัฐสภา แต่รวมไปถึงรัฐบาลที่อาจถูกอัปเปอร์คัตร่วงคาเวทีเอาง่ายๆ...
                                                     -----------------------------------------------------------------
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ถ้าหากรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นอยู่แต่การเอาชนะในทางเทคนิค อาศัยเหลี่ยม เล่ห์ เพทุบาย อาศัยอำนาจรัฐ หรืออำนาจมวลชนอันธพาลเป็นที่ตั้ง งัดเอากฎหมายที่ถูกทำให้กลายเป็นกฎหมา มาสร้างความหงุดหงิด รำคาญ มาใช้ข่มขู่ คุกคาม ผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในอารมณ์ ประชาชนทนไม่ไหว หนักขึ้นเรื่อยๆ หรือปล่อยให้กุ๊ย ให้อันธพาล ออกไปโรยหมามุ่ย ไปตีหัว คั่วแห้ง ใครต่อใคร เพื่อให้เกิดความกลัว โอกาสที่ม็อบหนึ่งม็อบใดจะเกิดอาการ  นอตหลุด ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่ต่างไปจากช่วงจังหวะเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลา 16 นั่นแหละ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างทำท่าจะยุติลงไปได้บ้างแล้วก็ตาม แต่ด้วยเหตุที่อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนมันถูกยกระดับไปถึงขั้นพร้อมจะจุดระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่เจอเข้ากับ ไม้ขีด ก้านเดียวเท่านั้น กระทั่งเผด็จการแท้ๆ ยัง เอาไม่อยู่ แล้วเผด็จการในคราบประชาธิปไตย หรือเผด็จการทุนสามานย์จะไปเหลืออะไร!!! แรงกดดันที่รัฐบาลได้สร้างสมมาตลอดช่วง 2 ปีกว่าๆ จนก่อให้เกิดบรรดา ประชาชนทนไม่ไหว โผล่ขึ้นมาเต็มบ้าน เต็มเมือง เช่นนี้ มันจึงไม่ต่างอะไรไปจากการเพิ่ม อัตราเสี่ยง ให้กับตัวเอง ชนิดยังไม่ทันถึงยกสุดท้าย...อาจต้องอพยพไปตั้งหลักอยู่ที่มอนเตเนโกรทั้งตระกูลเอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                    --------------------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก สุนทโรวาท อิหม่าม อาลี... ผู้ใดก็ตามที่ขึ้นขี่ความเป็นทรราช ภายในไม่นานไม่ช้าบังเหียนในมือของเขานั่นแหละ ที่จะกระชากตัวเขาเองให้คว่ำคะมำลงมา
...
ผ่าประเด็นร้อน       
       ไม่ได้คิดจะทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชนภาคส่วนต่างๆ ชะงักงัน แต่เรื่องที่กลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ โดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์พยายามจะบอกว่า ต้องฝากความหวังไว้ที่ วุฒิสภาให้เป็นด่านสำคัญในการคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ       
       หวังจะเห็นวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ในวาระแรกที่เป็นวาระรับหลักการ หรือหากสกัดไม่ได้ วุฒิสภาเห็นชอบจนผ่านวาระแรกไปได้ ก็ขอให้กรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของวุฒิสภาไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่ผ่านสภาฯ มาแล้วตอนพิจารณาวาระ 2 วุฒิสภาก็เห็นชอบกับร่างดังกล่าวที่ กมธ.วุฒิสภาไปปรับแก้ไขที่จะต่างจากร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร จนสุดท้ายวุฒิสภาโหวตเห็นชอบในวาระ 3 ตามร่างของ กมธ.วุฒิสภา ที่ไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงร่างของสภาผู้แทนฯจนหมด       
       อันจะนำไปสู่การตั้งกรรมาธิการร่วมฯสองสภาฯ คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา       
       เพราะหากวุฒิสภาไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขร่างที่ผ่านสภาล่างมา สภาทาสเพื่อไทยไม่ยอมแน่ ฝ่ายสภาเพื่อไทย ยังไงก็ต้องยืนกรานให้คงตามร่างเดิมที่ผ่านสภาล่างมาทุกตัวอักษร ห้ามแตะต้องทำให้ต้องตั้งกมธ.ร่วมสองสภาฯ       
       หากกระบวนการทั้งหมดเป็นไปแบบนี้ก็จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ ทักษิณ ชินวัตร-เพื่อไทย ติดเครื่องเร่งกันอย่างหนักในชั้นสภาผู้แทนฯมาสะดุดในชั้นวุฒิสภา อย่างน้อยก็เกือบร่วมๆ 2 เดือน หากทุกอย่างเป็นไปตามที่บอกไว้ข้างต้น       
       อันนี้ยังไม่นับรวมกับขั้นตอนที่เมื่อมีการตั้ง กมธ.ร่วมสองสภาแล้ว กมธ.ก็ต้องมานั่งประชุมกันต่ออีก อาจจะประมาณสัก 1-2 สัปดาห์ เพื่อหาข้อสรุปว่าจะเอายังไง ก็ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาแบบไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นร่าง พ.ร.บ.สำคัญๆ อย่างเช่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ แบบนี้ ทางเพื่อไทยก็ต้องพยายามดันให้ กมธ.ร่วมสองสภามีมติกลับไปใช้ร่างเดิมที่ผ่านสภาฯให้ได้       
       แม้หากไม่สามารถทำได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก ทว่า หากเกิดเหตุแบบนั้นจริงเพื่อไทยก็แก้ปัญหาได้อยู่ดี คือ เมื่อกมธ.ร่วมฯ ส่งรายงานของ กมธ.กลับไปที่สภาล่าง ฝ่ายเพื่อไทยก็ยังสามารถใช้เสียงสภาทาสที่มีอยู่ในมือประมาณ 300 เสียง ลงมติในที่ประชุมสภาฯ ให้ยืนยันกลับมาใช้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับ ลักหลับคืนปล่อยผีได้อยู่ดี       
       จะเห็นได้ว่าเมื่อดูขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญแล้วยังไงเสียก็ยากที่วุฒิสภาจะสกัดกั้นหรือยับยั้งร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ได้       
        อย่างในการโหวตวาระแรก ที่มีข่าวว่าวิปวุฒิสภาจะดันเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมวุฒิสภาฯ 8 พ.ย. หากปรากฏว่าวุฒิสภา ไม่รับหลักการในวาระแรก คือ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ไม่ผ่านวุฒิสภาวาระแรก     
       ก็ใช่ว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จะตกไป เพียงแต่ว่าสภาฯ จะต้องเว้นวรรคไปประมาณ 180 วัน คือ หมายความว่าในช่วง 180 วัน ที่ก็คือ 6 เดือน สภาฯจะไม่สามารถนำ ร่าง พ.ร.บ.ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน เช่น ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของเฉลิม อยู่บำรุง มาพิจารณาใหม่ได้ แต่หากพ้น 180 วันไปแล้ว ทางสภาผู้แทนฯ ก็นำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่วุฒิสภาตีตก กลับมายืนยันได้อีกครั้ง แล้วหากสภาฯ มีมติเสียงข้างมากยืนยันร่างดังกล่าว ขั้นตอนต่อไปก็เข้าสู่กระบวนการเตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยไม่ต้องส่งกลับไปที่วุฒิสภาอีกครั้ง       
       เมื่อดูตามขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า วุฒิสภาก็ทำได้แค่คอยแตะเบรก ดึงจังหวะให้ช้าลงเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจในการสกัดกั้น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯได้เลย       
       จึงไม่แปลก เมื่อเวทีสามเสนของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศว่า จะขอรอดูการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในชั้นวุฒิสภาก่อน ถึงค่อยยกระดับการเคลื่อนไหวคนถึง ส่ายหน้า-ผิดหวังกันหมด       
       โดยเฉพาะคนที่เข้าใจขั้นตอนการพิจารณากฎหมายที่รู้ดีว่า หากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ผ่านสภาฯ มาแล้ว ก็ยากแล้วที่จะขวางได้ในชั้นวุฒิสภาเพราะสภาสูง ก็ทำได้แค่ถ่วงเวลาให้ช้าลงเท่านั้น แต่สกัดไม่ได้       
       อีกทั้งต้องยอมรับความจริงว่า วุฒิสภาชุดนี้ หากพูดถึงความเป็นอิสระ-การไม่ถูกแทรงแซงจากการเมืองนอกสภาสูง ก็ใช่ว่าจะปลอดมลทินเรื่องดังกล่าว กลับเป็นไปในทางตรงข้ามที่อุดมไปด้วย ทาสแม้วเกลื่อนไปหมด       
       บอกได้ว่าตอนนี้วุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียง ส.ว.สายพรรคร่วมรัฐบาล มากกว่า ส.ว.สายอิสระ-กลุ่ม 40 ส.ว.ที่กลุ่มหลังรวมตัวกันเสียงในวุฒิสภาก็ยังน้อยกว่า ส.ว.สายพรรคร่วมรัฐบาลหลายสิบเสียง       
       ตรงนี้เห็นได้ชัดจากการจับมือกันของ ส.ว.เลือกตั้ง และพวก ส.ว.สรรหาบางส่วน ที่ระยะหลังวิ่งเข้าหาพรรคร่วมรัฐบาล จากที่พวกนี้ได้จับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลในการเสนอญัตติแก้ไขรธน. ทั้งเรื่องที่มา ส.ว.-แก้มาตรา 68 และมาตรา 190       
       เมื่อดูจากเสียงเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่วุฒิสภาเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 86 เสียง ต่อ 41 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง แสดงให้เห็นว่า ส.ว.สายพรรคร่วมรัฐบาล มีอยู่ในหน้าตักก็แตะระดับ 80 เสียงขึ้นไป ขณะที่ ส.ว.ที่น่าจะลงมติไม่เอาด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ก็น่าจะอยู่ที่ระดับแค่ประมาณ 40 เสียงเท่านั้น       
       ตัวเลขนี้แม้มีสิทธิสวิงกันได้ คืออาจมี ส.ว.ที่เคยเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เปลี่ยนใจไม่เอาด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เพราะเห็นว่ากระแสสังคมต่อต้านสูง จนทำให้คะแนนเสียงเห็นชอบไม่เกินกึ่งหนึ่ง แต่ก็มีข่าวว่า ส.ว.สายพรรคร่วมรัฐบาล ที่น่าจะรับงานมาจากสายเพื่อไทยแล้ว ก็เริ่มล็อบบี้พวก ส.ว.ด้วยกันเองกันหนักๆ เพื่อขอให้ช่วยโหวตเสียงผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ       
       เวลานี้เริ่มฝุ่นตลบกันแล้วในสภาสูง เพราะส.ว.สายน้ำดีที่ไม่เอา พ.ร.บ.นิรโทษฯ ก็พยายามขอเสียง ส.ว.ให้คว่ำร่าง พ.ร.บ.อัปยศนี้เช่นกัน       
       ในทางการเมืองแล้วหากร่างกฎหมายลักหลับปล่อยโจรปล้นชาติผ่านวาระแรกมาได้ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นวาระ 2 และ 3 ในชั้นวุฒิสภา ก็ไม่ต้องคิดมาก ก็น่าจะผ่านเช่นกัน เพราะล่าสุดวิปวุฒิสภาก็ออกมาบอกแล้วว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จะดันให้ผ่านทั้งฉบับก่อนปิดประชุมสมัยนี้!!!!       
       อย่างไรก็ตาม ส.ว.สายสรรหาหลายคนก็ยังมั่นใจว่าวุฒิสภาจะไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ แต่หากผ่าน ก็ต้องไปหวังที่ศาล รธน.อย่างเดียวแล้ว       
       ด้วยเหตุผลที่มาที่ไปข้างต้นทั้งหมดนี้ จึงเห็นได้ว่า แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากจะตั้งเวทีสามเสนแล้วไล่ทุบเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ไปเรื่อยๆ แบบนี้       
       เพราะหากวุฒิสภาผ่านวาระแรกแล้ว ปชป.จะรอเป่านกหวีดใหญ่หลังวุฒิสภา ให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ วาระ 3 ที่ก็คาดว่าต่อให้ติดเครื่องเร่งกันขนาดไหน ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 สัปดาห์       
       ทั้งที่เวลานี้มีความชอบธรรมมากที่สุดแล้วในการยกระดับขับไล่รัฐบาล-สภาทาสเพื่อไทย ไม่ใช่มารอเลี้ยงไข้ หรือโยนความรับผิดชอบไปให้วุฒิสภาทั้งหมดอย่างที่ สุเทพ พยายามจะทำตอนนี้       
       หาก ปชป.-เวทีสามเสน รอกันขนาดนั้น จะรอดูผลในชั้นวุฒิสภากันนานถึงตอนนั้นหรือถึงขั้นจะรอให้ศาล รธน.วินิจฉัยอีกที ก็โน่นเลย เลยเกือบปีใหม่เห็นๆ       
       หากรอกันแบบนั้น รับรองเวทีสามเสนกองเชียร์หายหมด ทักษิณก็กลับมาครองเมือง ยึดประเทศไทยโดยเบ็ดเสร็จไปแล้ว
สะเก็ดไฟ       
       สารพัดม็อบออกมาทั่วบ้านทั่วเมืองต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้างผิดคนโกง พ.ร.บ.สอดไส้ลักหลับช่วยนักโทษหนีคดีชาวบ้านร้องยี้ ทนไม่ไหวต้องออกมาแสดงพลังชุมนุม มากันด้วยใจ ไร้อามิสสินจ้าง       
       ดูอย่างม็อบสีลม คึกคักพรึ่บพรั่บเคลื่อนไหวสง่างามทรงพลัง รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย เห็นภาพก็ได้แต่หนาวๆ ร้อนๆ นอนหลับไม่เต็มตา       
       แว่วว่าตอนนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สมองวิกลจริตไปแล้วต้องทำตามบัญชาพี่ชาย ดันนิรโทษสุดซอยล้างผิดนักโทษแบบเบ็ดเสร็จ โดยรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้าแรงเสียดทานสารพัดม็อบออกมาแบบนี้ เจอของแสลงที่ทั้งเกลียดและกลัวมากที่สุด       
       วันนี้ทีมงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยยังได้รับสัญญาณชัดจากเพื่อไทย ให้เดินหน้าลุยสุดซอยไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น       
       เพราะประเมินแบบหยาบๆ ว่าม็อบต้านไม่มีอะไรยังขยายได้ไม่ใหญ่ มั่นใจเอาอยู่       
       สำคัญคือตำรวจที่เป็นมือเป็นไม้วันนี้รู้กันดีว่าเป็นรัฐตำรวจไปแล้ว ตำรวจไม่อิงประชาชนแล้ว อิงรัฐบาลมีวันนี้เพราะพี่ให้ เดี๋ยวน้องจัดให้เอง!!       
       ตำรวจตบเท้าบกันมาพรึ่บตั้งแต่ม็อบยังไม่ทันรวมตัวกันติดตอนนี้คนมามากขึ้น ตำรวจก็แทบระดมกันมาทั้งประเทศไม่ต้องทำงานปราบปรามจับกุมโจรผู้ร้ายกันแล้ว มาจับประชาชนที่มาร่วมม็อบนี่แหละเพราะคนเหล่านี้ถูกรัฐบาลมองเป็นโจร ก็ต้องทำตามเข้าทำนอง นายว่าขี้ข้าพลอย       
       กระนั้นก็ตาม ตำรวจจะยกทัพออกมาแค่ไหนก็คงทำได้เพียงตรึงสถานการณ์ไว้อย่างเดียวเจอกองทัพประชาชนมากมายขนาดนี้จะกล้าไปทำอะไร อู๋อี๋พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ก็หน้าถอดสีไปแล้วหลังไปออกหนังสือสั่งการปิดกั้นประชาชนไม่ให้ออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ถึงมือ ป.ป.ช.แน่       
       วันนี้เมื่อรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าท้าทายสังคมจ้องล้างผิดให้ ทักษิณโดยไม่สนเสียงต้าน แม้แต่คนกันเองอย่าง นปช.นับว่าบ้าบิ่นพร้อมแตกหัก ลำพังคิดว่าถ้าไปไม่ไหวก็ไปเลือกตั้งใหม่ ประชาชนก็เลือกกลับมาอยู่ดี       
       แต่มันจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิจากที่มีหวังกลับบ้าน ไม่แน่อาจไม่ได้กลับเลยตลอดชีวิตจากพฤติกรรมสามานย์ในครั้งนี้ แล้วยังจะพ่วงถูกประชาชนคนไทยไล่ส่งให้ไร้แผ่นดินซุกหัวนอนทั้งตระกูลชินวัตร       
       อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งชะล่าใจ เชื้อชั่วทักษิณยังไม่ตายง่ายๆไม่แน่ว่า จะมีหมากกล ซ่อนเกมแบบร้ายลึกเหมือนอย่างที่เคยถูกนินทากล่าวหาก่อนหน้านี้หรือไม่ แผนการที่แฝงไปด้วยความรุนแรงอาจเรียก กลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังจงรักภักดี รับเบี้ยหวัด กินเงินเดือนออกมาปั่นบ้านป่วนเมืองอีกรอบหรือแม้แต่ต้องยอมกลืนเลือดเรียกนปช.ที่เคยเขี่ยทิ้งไปแล้ว กลับมาทำงานให้อีกหน       
       ซึ่งการกลับมาครั้งนี้คงไม่ออกมาเย้วๆ ก่อม็อบแสดงพลังกันเฉยๆชายชุดดำอาจกลับมาประจำการ ปฏิบัติโหดเปื้อนเลือดอีกรอบ       
       หรือว่าบ้านเมืองเราต้องเปิดฉากรบราฆ่าฟันกันอีกครั้ง
       
       ความปรองดองที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย พร่ำบอกว่าจะนำมาสู่สังคมไทยสุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นเพียงลมปากเหม็นเน่า เพราะเป้าหมายหลักแท้จริงคือการช่วยเป่าคดีให้นักโทษดูไบจ้องจะเอากลับบ้านแบบไร้มลทิน       
       คนๆ เดียว สร้างความเกลียดชัง แตกแยกในสังคมไทยได้ถึงเพียงนี้ทั้งยังต่อเนื่องยาวนาน ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบาง มีแต่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หรือคนไทยอาจจะต้องเสียเลือดเนื้อ ห้ำหั่นกันเองอีกครั้ง       
       เพียงเพราะคนคนเดียว ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

รายงานการเมือง       
       ยิ่งปลุกยิ่งขึ้น สำหรับมวลชนต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ ทะลุซอยที่ดูเหมือนทางลมจะพัดมาเข้าทาง กลุ่มต้านเพราะมวลชนตื่นตัวร่วมออกมาแสดงพลังกันอย่างคับคั่ง       
       ปรากฎการณ์ ประชาชนตื่น เป็นแรงเหวี่ยง ปลุกให้รัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาใช้ยุทธศาสตร์ นิ่งเพื่อสยบความเคลื่อนไหว ต้อง ตื่นขึ้นมาบ้าง       
       จากเดิมประเมินกันก่อนที่เดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่ามี กลุ่มต้านไม่เกิน 10,000 คน แต่มาวันนี้ประชาชนออกมาหลายหมื่นคน แถมด้วยภาคประชาสังคมที่ดาหน้าออกมาต่อสู้กับทรราชแบบวันละหลายกลุ่ม       
       สร้างปรากฏการณ์ประชาชนออกมายึดถนน เพราะถูกรัฐบาลบีบบังคับ ซึ่งภาพที่ออกมาในแต่ละจุด ส่งผลให้รัฐบาลต้องประเมินกระดานการเคลื่อนไหวใหม่ทั้งหมด       
       ข้อมูลจาก หน่วยงานความมั่นคงส่งถึงมือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ประเมิน ม็อบต้านนิรโทษกรรมทุกกลุ่มไว้เลวร้ายสุดที่จะมี ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมถึงหลักสองแสนคน       
       ซึ่งขึ้นอยู่ว่า แกนนำของแต่ละกลุ่มจะแพ็คเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน โดยสัญญาณที่ออกมาจาก กลุ่มต้านมีออกมาให้เห็นแล้วว่าสามารถแพ็คกันพอสมควร       
       เริ่มตั้งแต่ เวทีสามเสนของ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากที่หลายฝ่ายมองว่างานนี้ "ค่ายสีฟ้า" จะโดนโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสามารถเชื่อมไปยัง เวทีอื่นได้พอสมควรแล้ว       
       “สุเทพ เทือกสุบรรณส.ส.สุราษฎร์ธานี นำ ลูกพรรคบางส่วนใช้ยุทธศาสตร์เดินเข้าหา ประชาชนส่งสัญญาณน่ากลัว เพราะนอกจากจะมี มวลชนจัดตั้งและแฟนคลับขาประจำอยู่ เวทีสามเสนแล้ว การเดินมารถ ปลุกมวลชนรายทางได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแวะแตะมือกับ "เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย" หรือ คปท.ที่แยกอุรุพงษ์       
       “ม็อบสามเสนที่เดินตัดเข้าถนนพระรามที่หก ตัดเข้าเส้นถนนหลานหลวง ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนราชดำเนิน เส้นทางดังกล่าวผ่าน หน่วยงานราชการสำคัญมากมายน่าสนใจที่บรรดา ข้าราชการออกมาให้กำลังใจกันเนืองแน่น       
       แล้วสร้างเซอร์ไพรส์ปักหลักที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแบบที่ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ แต่คงทำอะไรไม่ได้       
       ทางหนึ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าก๊วนประชาธิปัตย์ ควงคู่กับลูกพรรคเดินฝ่าฝูงชนโผล่ไปร่วมเดินสายชุมนุมที่ถนนสีลมกับ กลุ่มชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยแบบไม่บอกไม่กล่าวกันมาก่อน พร้อมร่วมพิธีกรรมเป่านกหวีดยาวส่งสีญญาณถึงคนที่คิดผลักดันกฎหมายอัปยศ       
       โดยมี กลุ่มคนเสื้อหลากสีซึ่งนำโดย ตุลย์ สิทธิสมวงศ์แกนนำ เดินทางไปร่วมชุมนุมด้วย ซึ่งสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายตามแนวถนนสีลมไม่ขาดสาย ปลุกให้บรรดานักธุรกิจตื่นตัวออกมาแอ็กชันคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก       
       การเดินของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะยุทธศาสตร์ ดาวกระจายชวนประชาชนมาเข้าร่วมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สามารถโชว์ภาพว่าทุกภาคส่วนเข้าร่วมโดยมีเป้าหมายเดียวกัน       
       อีกฟากหนึ่งจากการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน ที่ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณหรือ กปท. ขยับจากสวนลุมพินีมาร่วมหัวจมท้ายกับ คปท.ที่แยกอุรุพงษ์ โดยมีตัวชูโรงอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง-พิภพ ธงไชยที่เดินนำเข้าร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด ซึ่งมี สุริยะใส กตะศิลาผู้ประสานงานกลุ่มกรีน เป็นหัวเรือใหญ่       
       ก่อนที่ทั้งหมดจะเข้ามาแพ็คกับเวที อุรุพงษ์เพิ่มยอด มวลชนให้เยอะขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง       
       ดูทิศทางแล้วถนนทุกสายพุ่งเป้ามาร่วมชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อลดความชอบธรรมให้รัฐบาลออกกฎหมายล้างผิด เหมาเข่งโดยเฉพาะในส่วนของ "คน กทม." ที่เริ่มตื่นตัวสลัดคราบ "ไทยเฉย" ออกมาคำรามใส่รัฐบาลอีกครั้ง       
       คนกรุงล้มรัฐบาลวาทกรรม-ประวัติศาสตร์เก่าๆ ตามมาหลอนฝ่ายการเมืองอีกหน       
       ล่าสุด สุเทพประกาศกร้าวตรึงมวลชนไว้ที่ถนนราชดำเนิน โดยมีการปิดถนนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยาวไปถึงแยกผ่านฟ้า ซึ่งบรรยากาศเติมไปด้วยความฮึกเหิม แกนนำ-ส.ส.ค่ายสีฟ้าสลับหมุนเวียนขึ้นปลุกเร้ามวลชนด้วยท่าทีแข็งกร้าว       
       แถมมี วรรคทองจากถ้อยคำที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติส.ส.เสรีชน ที่ประกาศเชิญชวนคนเสื้อเหลืองให้ออกมาร่วมต่อสู้ อย่าเพียงใส่เสื้อเหลืองแค่วันที่ 5 ธ.ค.เท่านั้น       
       ตีความตรงตัวได้ว่า ค่ายสีฟ้าพยายามส่งสัญญาณยกระดับการต่อสู้ไม่เพียงต่อต้าน กฎหมายโจรเท่านั้น แต่ชี้ให้เห็นว่าศึกนี้เป็น สงครามศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยทั้งชาติต้องออกมาร่วมกันทำศึกปกป้อง ชาติ-ราชบัลลังก์”       
       ขณะที่เวทีอุรุพงษ์ก็ยังคงจับจองพื้นที่เดิมเอาไว้ โดยขยายพื้นที่ตามจำนวนมวลชนที่มากขึ้น ทำให้ต้องปิดถนนทั้งสองช่องทาง       
       ดูตามยุทธศาสตร์แล้ว ทั้ง 2 เวทีที่ตรึงกำลังไม่ห่างจากทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เมื่อประเมินตามยุทธศาสตร์การตั้งเวทีแล้ว ม็อบฝ่ายต้านยิ่งน่ากลัวเป็นเท่าทวีคูณ       
       เมื่อ ฝ่ายต้านเริ่มเข้มแข็ง ส่งผลกระทบให้ รัฐบาลต้องวางแผนกันอย่างแยบยลมากที่สุด       
       ชั่วโมงนี้ฟันธงได้เลยว่าอย่างไรเสีย นช.แม้วสั่ง ลิ่วล้อลุยต่อแน่นอน เพราะคนอย่าง นช.แม้วหากไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายไม่ยอมถอยจนนาทีสุดท้าย       
       แรงปรารถนาอยาก กลับบ้าน-เอาเงินคืนมันช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน       
       เมื่อรัฐบาลพร้อมเปิดหน้าชน ม็อบต้านก็เหลือแค่ว่าเหตุการณ์จะวุ่นวายมากน้อยขนาดไหน จะเกิดความสูญเสียแค่ไหน รัฐบาล-นช.แม้วถึงจะยอม ยกธงขาว”       
       ทางรอดหนึ่งที่เบาที่สุดในสถานการณ์นี้ของรัฐบาล คือการ ยุบสภา       
       เพราะตอนนี้แม้กระทั่ง สายเหยี่ยวในพรรคเพื่อไทย ประเมินกันแล้วว่าถ้าสถานการณ์ไปไม่รอดจริง ยอมทิ้งไพ่ ยุบสภาถือว่าเป็นทางรอดที่ดีที่สุด       
       หนึ่งลดการสูญเสีย เพื่อไม่ให้ ฝั่งตรงข้ามนำไปอ้างยกระดับการชุมนุมหรือหวังผลทางการเมืองในอนาคต       
       หนึ่งประเมินจาก ฐานเสียงที่ดูแล้วทั้งประเทศ เพื่อไทยยังมีความเข้มแข็งกว่า ปชป. - ภูมิใจไทยหากยอมเหนื่อย ล้างไพ่เลือกตั้งกันใหม่       
       โอกาสที่ เพื่อไทยจะได้เข้ามาครองอำนาจใน ทำเนียบรัฐบาลอีกรอบก็ยังมีสูง       
       เมื่อ กลุ่มต้านรวม มวลชนพร้อมท้าชน รัฐบาลเมื่อ รัฐบาล-นช.แม้วพร้อมเปิดหน้าแลก เพราะพร้อมยอม ยุบสภาสถานการณ์หลังจากนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน       
       เป็นการเผชิญหน้าที่มี ชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งหมายถึงชีวิตของประชาชนที่ยอมออกมาต่อสู้ในเกมแย่งชิง อำนาจไม่มีใครรู้ว่าจะสูญเสียกันสักเท่าไร    
       แต่ดูเหมือน เมืองไทยยังมีโอกาสต้องห้ำหั่นกันเองอีกหลายยกเป็นแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น