วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556



 รัฐบาลโดยการนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย คงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการที่จะอรรถาธิบายต่อสาธารณชน โดยเฉพาะทหารทุกนายในกองทัพ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นและศรัทธาอันเป็นเหตุและปัจจัยพื้นฐานแห่งเสถียรภาพรัฐบาล หลังจากเนื้อหาสาระที่เรียกว่า "คลิปเสียง" สนทนาระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมถูกกระจายออกไปยังสื่อต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศตั้งแต่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 
    บนความพยายามอย่างหนักที่จะแก้ไข แก้ตัว หรือแก้ต่างว่า เสียงจากคลิปที่เผยแพร่ออกไปทางยูทูบ เป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีต่อรัฐบาล ทำการตัดต่อ ทำเสียงเลียนแบบ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยต่างๆ จนกระทั่งบิดเบือนเบี่ยงเบนว่า เป็นขบวนการที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น ถือเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรัฐบาลตลอดจนพลพรรคของเพื่อไทยที่จะต้องระดมสรรพกำลัง ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่ใช่เสียงจริง และพล.อ.ยุทธศักดิ์ไม่ได้พูดอย่างแน่นอน แม้ว่าคำแก้ตัวทั้งหลายทั้งปวงฟังไม่ขึ้น เป็นที่รู้อยู่แก่ใจของทุกคนที่ออกมาปฏิเสธก็ตาม 
    เบื้องหน้าเบื้องหลังว่าคลิปเสียงสนทนา "ยึดกองทัพ" บริหารบ้านเมืองตามอำเภอใจหลุดออกมาอย่างไร ด้วยวิธีไหน เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป แต่สิ่งที่สังคมไทยไม่สามารถมองข้ามอีกต่อไป นั่นคือ คลิปเสียงนี้เป็นพยานหลักฐานชิ้นล่าสุดที่สะท้อนฟ้องบอกว่า ระบอบทักษิณและเครือข่ายชินวัตร ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการใช้อำนาจบริหารบ้านเมือง ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวและประสบพบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ สังคม การเมือง มานานเกือบทศวรรษ มีทั้งกรณีพาคนไปตาย เผาบ้านเผาเมือง เกิดบรรยากาศของการแตกความสามัคคีแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
    ด้วยการท่องคาถารัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งของเสียงข้างมาก สามารถพิสูจน์ทราบได้อย่างไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่า รัฐบาลทักษิณคิด เพื่อไทยทำ "เหิมเกริม" อำนาจจนมีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าจะพาประเทศชาติประชาชนฉิบหาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งนี้ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี นโยบายประชานิยมสุดโต่งที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการหาเสียง หรือโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด กำลังสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นอาจจะทำให้ประเทศชาติล้มละลาย เพราะไม่เพียงแต่ภาวะขาดทุนกว่า 2 แสนล้านบาทที่มากมายมโหฬารเท่านั้น ความเป็นเจ้าแห่งตลาดข้าวของประเทศไทยก็ถูกช่วงชิงไปจากผลกระทบของราคาข้าวที่สูงกว่าความเป็นจริง  และที่น่าอดสูที่สุด เห็นจะเป็นคุณภาพของข้าวไทยที่ด้อยน้อยถอยลง จนถึงขั้นถูกปฏิเสธการนำเข้า ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายได้ออกมาคัดค้าน ตักเตือน และเรียกร้องให้รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่จะติดตามมาอย่างต่อเนื่อง
    ความฉิบหายที่กำลังส่งสัญญาณมาเป็นระยะๆ เพราะรัฐบาลประชาธิปไตยเสียงข้างมากลากไป อีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะหนีไม่พ้นแนวคิด "อยากได้ต้องเอาให้ได้" ของระบอบทักษิณ นั่นคือ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญว่าด้วยการบริหารจัดการการเงินการคลังหรือไม่อย่างไร แต่ในที่สุด แนวคิดที่ไม่สนใจต่อความถูกต้อง นอกจากเหิมเกริมต่ออำนาจของระบอบทักษิณ ทำให้มีรองนายกรัฐมนตรีออกมากล่าวแบบเอาสีข้างเข้าถูว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไม่ใช่ "เงินแผ่นดิน" กระทั่งมีคำถามว่า แล้วคณะรัฐมนตรี 35 คน จะรับผิดชอบแบกภาระหนี้สินที่จะตามมา 50 ปีแทนคนไทยทั้ง 65 ล้านคนกระนั้นหรือ
     การพูดเอาแต่ได้ ตีตวามเข้าข้างตัวเอง เหมือนศรีธนญชัยด้วยการระบุว่า เงินกู้ในโครงการเพื่อพัฒนาประเทศในด้านโครงข่ายคมนาคมภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคมจำนวน 2 ล้านล้านบาท ผูกพันไปยังรัฐบาลอื่นๆ ไม่น้อยกว่า 10 ปี ไม่ใช่เงินแผ่นดิน คือข้อเท็จจริงที่ตอกย้ำวิธีคิดของรัฐบาลภายใต้การครอบงำจากระบบทักษิณ ที่เหิมเกริมลุแก่อำนาจ เฉกเช่นเดียวกับการที่ตั้งข้อกล่าวหาต่อนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ตามคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่า เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลในกรณีที่มาเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะผ่านคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่า มีการโกงทุกขั้นตอนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล จนเป็นเหตุให้มีภาวะขาดทุนสูงกว่า 2 แสนล้านบาท 
    แทนที่รัฐบาลจะแสดงความขอบคุณและยกย่องข้าราชการซื่อสัตย์ ยุติธรรม ทำงานตรงไปตรงมา กล้าที่จะพูดจะบอกโดยไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจใดๆ ทางการเมือง หรือในวงการค้าข้าวซึ่งกล่าวกันว่ามีมาเฟียอยู่ในทุกระดับและขั้นตอนที่ร่วมกันโกงกิน ให้สมกับที่รัฐบาลชุด ครม.ปู 5 เพิ่งแถลงต่อประชาชนทั่วประเทศว่า จะใส่ใจให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตนั้น รัฐบาลกลับแสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการตงฉิน นอกจากนั้นที่น่าสมเพชอดสูใจคือ การสอนและสั่งว่า เป็นข้าราชการอย่าทำงานนอกเหนือหน้าที่ โดยไม่สนใจเลยว่า ไม่เพียงแต่ข้าราชการเท่านั้น แม้กระทั่งประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกงทั่วไป ก็ต้องมีหน้าที่ต่อการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน
    สัญญาณแห่งความฉิบหายที่กำลังระบายคืบคลานยึดประเทศชาติบ้านเมืองเป็นเหยื่ออันโอชะ เพราะถูกระบอบทักษิณอาศัยคำว่า "ประชาธิปไตย" เป็นคาถาบริหารอำนาจตามอำเภอใจนี้ ลำพัง "คลิปเสียงลับ" สนทนาระหว่างทักษิณ กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อาจจะจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย เหมือนการเล่นแง่จับโกงของรัฐบาลที่ถามหาใบเสร็จกรณีการโกงโครงการรับจำนำข้าว และการเบี่ยงเบนว่าเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไม่ใช่เงินแผ่นดิน แต่สาระสำคัญที่ประชาชนเริ่มสะสมจากประสบการณ์ไม่ถึง 2 ปีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บวกกับคำพิพากษาของตุลาการศาลฎีกาในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ระบุว่า ผู้นำระบอบทักษิณใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ สั่งให้จำคุก 2 ปีนั้น สามารถเป็นสิ่งตอกย้ำเตือนใจได้ว่า ผู้บริหารที่คิดเองเออเองจนเหิมเกริมว่าอำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านระบบเลือกตั้ง จะใช้อย่างไรก็ได้ตามใจฉัน สุดท้ายบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น