วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชัยชนะ "คุณชาย" กับเก้าอี้ "สุกำพล" โยกย้ายเมษายน กับ "วลิต" ศึกในทัพ 4 และใครลั่น "ไม่กราบ "ทีน"ใคร วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20:00:16 น.




ชัยชนะ "คุณชาย" กับเก้าอี้ "สุกำพล" โยกย้ายเมษายน กับ "วลิต" ศึกในทัพ 4 และใครลั่น "ไม่กราบ "ทีน"ใคร

วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20:00:16 น.
  

รายงานพิเศษ  (ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 8 มีนาคม 2556)



 แม้คะแนนเสียงของทหารในกรุงเทพฯ จะไม่ได้มาก ถึงขั้นส่งผลต่อความแพ้หรือชนะ แต่ทว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ คุณชาย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ชนะขาด พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ แห่งพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้ บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม สะเทือนไม่น้อย

ทั้งๆ ที่ผลการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งหน้าหน่วยทหาร ทั้งในเขตดุสิต พญาไท หลักสี่ และกองทัพอากาศ นั้น คะแนนระหว่างหมายเลข 9 และหมายเลข 16 ห่างกันไม่มาก แม้ว่าส่วนใหญ่ 70% จะเทให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ก็ตาม

แต่เสียงที่สะท้อนออกมาจากพรรคเพื่อไทย กลับไม่เข้าใจสภาพกองทัพ กลับโยนมาที่ พล.อ.อ.สุกำพล ที่คุมกองทัพไม่ได้ เพราะคะแนนของ พล.ต.อ.พงศพัศ ควรจะทิ้งห่างในทุกเขตทหาร

ทั้งๆ ที่กองทัพในยุคนี้ ไม่สามารถสั่งได้แล้ว พลทหาร หรือทหารเกณฑ์ในยุคนี้ ต่างเลือกด้วยตนเองบ้าง พ่อแม่ ลูกเมีย กระซิบสั่งทางโทรศัพท์มาบ้าง เพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นทหารจากอีสาน ที่ต้องย้ายภูมิลำเนาทหาร มากรุงเทพฯ

เพราะถ้ามี ผบ.หน่วย หรือ จ่ากองร้อย นายสิบ ไปสั่ง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม พลทหารเหล่านี้ ก็จะโทร.ฟ้องคนที่บ้าน ไม่แน่ว่า อาจมีทหารในหน่วยแอบถ่ายคลิปวิดีโอ ไปเป็นหลักฐานอีกด้วย ระยะหลังจึงไม่มีใครกล้าสั่งให้เลือกใคร

ดูผิวเผิน ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ จะคล้ายผลการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554 ที่ทหารเทคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ทำให้คะแนนสูสี แต่ก็ไม่อาจช่วยให้ได้ ส.ส.

เพราะถ้าเจาะลงไปแล้ว จะพบความแตกต่าง และแปลกใหม่ ตรงที่ การโหวตของแต่ละหน่วย จะสะท้อนว่า หน่วยนั้นมี ผบ.หน่วยเป็นแตงโม หรือเป็นอำมาตย์

มีการอ้างว่า ผลการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งหน่วยทหาร ในเขตพญาไท หลักสี่ บางเขน ซึ่งเป็นพื้นที่ของ ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. พล.ม.2 รอ. นั้น คะแนนหมายเลข 9 และหมายเลข 16 แทบจะเบียดกันเลย

ขณะที่แถว มทบ.11 กรมสรรพาวุธ ทบ. กองพล ปตอ. นั้น คะแนนหมายเลข 9 ค่อนข้างทิ้งห่างหมายเลข 16

หน่วยเลือกตั้งหน้าหน่วยทหารที่แขวงนครไชยศรี ถนนสามเสน เขตดุสิต เช่น หน่วยเลือกตั้งที่ 50 เลือกหมายเลข 9 จำนวน 187 คะแนน และเลือกหมายเลข 16 จำนวน 87 คะแนน เลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส 26 คะแนน หน่วยเลือกตั้งที่ 52 เลือกหมายเลข 9 จำนวน 195 คะแนน เลือกหมายเลข 16 จำนวน 97 คะแนน เลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ 31 คะแนน หน่วยเลือกตั้งที่ 55 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ 253 คะแนน เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ 84 คะแนน อีกหลายหน่วย เช่น เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ 171 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ 89 และเลือก พงศพัศ 223 คะแนน และเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ 99 คะแนน เป็นต้น

แม้ว่า บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จะให้ฟรีโหวต ยืนยันไม่มีการสั่งให้ทหารเลือกใคร แต่ ผบ.หน่วยในกรุงเทพฯ รายหนึ่ง บอกว่า "เดี๋ยวนี้ เขาไม่สั่งกันแล้ว เขาให้มองตารู้ใจกันเองว่า นายต้องการอะไร"

แล้วให้ดูที่ตัว ผบ.หน่วย แต่ละหน่วยว่า พวกใคร สายไหน เป็นเด็กของผู้ใหญ่คนไหน ก็จะปรากฏออกมาจากผลการเลือกตั้ง บางหน่วยมีการ "ขยิบตา" ให้เลือก แต่ทหารเกณฑ์ยุคนี้สั่งไม่ได้แล้ว ก็เลือกตามที่ชอบ เพราะหลายหน่วย ก็ยังมีหยอดให้เบอร์อื่นๆ อย่างละ 2-3 คะแนน ที่อาจสะท้อนการฟรีโหวต

อาจกล่าวได้ว่า กองทัพบกในยุคนี้ เสียงแตกจริงๆ ในแง่ความเป็นประชาธิปไตย ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ในแง่ของการบังคับบัญชาแล้ว อาจทำให้ ผบ.ทบ. ต้องคิดหนัก



มีกระแสอ้างว่า นายใหญ่ที่ดูไบ ก็ไม่แฮปปี้ เพราะคิดว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะ "เอาอยู่" จนทำให้กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งหน้า อาจต้องเปลี่ยน รมว.กลาโหม เนื่องจากเป็นมาครบ 1 ปีเศษ โดยจะให้จัดโผโยกย้ายทหารกลางปี เมษายนนี้ให้เสร็จเสียก่อน

แต่ปัจจัยหลัก คือ การที่ พล.อ.อ.สุกำพล โดนฝ่ายอำมาตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ เล่นงานหนัก ในการส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ทั้งคดีหนีทหารและการถอดยศร้อยตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการสั่งย้าย พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกลาโหม ที่ก็ฟ้อง ป.ป.ช. กันต่อ

ไม่นับรวมคดีการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ 3 ลำ ของ ทร. ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา และเล่นต่อ โดยมีบรรดาทหารเรือเก่า ทหารเรือแก่ ร่วมมือเพื่อหวังล้างอำนาจใน ทร. ร่วมผสมโรงด้วย

ว่ากันว่า หาก พล.อ.อ.สุกำพล ถูก ป.ป.ช. ชี้มูล ก็จะส่งผลต่อรัฐบาลด้วย จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม แต่มีรายงานว่า มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อน ตท.10 แล้วว่า ขั้นตอน ป.ป.ช. นั้นอีกนานเป็นปี แถมทั้งมีหนทางในการต่อสู้ เพราะมีหลักฐานในทุกเรื่องที่ถูกกล่าว

ไม่แค่นั้น ในเวลานี้ก็ยังไม่มีใครเหมาะที่จะเป็น รมว.กลาโหม แทน เพราะ บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต เพื่อน ตท.10 นั้นก็พอใจกับการเป็น รมช.คมนาคม แล้ว และรู้กันดีว่า เขาไม่อาจมาเป็น รมว.กลาโหม เพราะมี "โจทก์" ในกองทัพอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์

ที่สำคัญ โยกย้ายปลายปีนี้ จำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาด ของ พล.อ.อ.สุกำพล หากว่าในเวลานั้น มีปัญหาวุ่นวายที่จะเกิดจากการตัดสินคดีเขาพระวิหาร ที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่ม แล้วทางกองทัพ โดย บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. และ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. ไม่ยอมถอนทหาร อาจถึงขั้นต้องโยกย้ายแบบฟ้าผ่า และอาจสร้างเงื่อนไขในการปฏิวัติได้

พล.อ.อ.สุกำพล จึงค่อนข้างมั่นใจว่า ตนเองได้อยู่ต่อ ไปต่อ บนเก้าอี้ รมว.กลาโหม...

ดังนั้น การจัดโผโยกย้ายทหารกลางปีครั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล จึงไม่ได้ล้วงลูกอะไรมาก ตรงกันข้าม มีการแจกอัตราในส่วนของกลาโหม และสำนักปลัดกลาโหม ให้เหล่าทัพ เพราะเห็นว่า โยกย้ายนี้ขยับกันได้น้อย เฉพาะที่รองรับคนที่จะเกษียณ และที่ลาออกก่อนเกษียณไปเท่านั้น



การประชุมคณะกรรมการโผทหารตาม พ.ร.บ.กลาโหมปี 2551 ที่มีทั้ง รมว.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ. เมื่อบ่าย 5 มีนาคม 2556 ที่กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล ป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ที่ พล.อ.เสถียร เคยอัดเสียงในการประชุม เลยขอไม่ให้นำโทรศัพท์มือถือเข้าประชุมด้วย

ที่ถูกจับตามองคือ ทบ. เมื่อ บิ๊กติ๊ก พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 แทน พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ ที่จะขยับขึ้น พลเอก ก่อนเกษียณ จน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกตัวว่า "ต้องให้เขาเปลี่ยนนามสกุลมั้ย"

พร้อมยืนยันว่า "อย่ากลัวว่าผมจะตั้งคนตามที่ผมต้องการ เพราะผมตั้งอย่างนั้นไม่ได้ ผมยึดหลักการว่าการตั้งคนขึ้นมาต้องตั้งด้วยความรู้ความสามารถและด้วยคุณสมบัติของเขาเป็นหลัก ต้องมีความอาวุโสและได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะต้องรับการกลั่นกรองไปตามลำดับตั้งแต่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยจนขึ้นเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ การแต่งตั้งคนหากคิดว่าจะมาปกป้องเรายิ่งทำไม่ได้ ถ้าปกป้องด้วยความดีนั้นดีที่สุด ถ้าตั้งเขาหวังว่าจะให้คนคนนี้เข้ามามีอำนาจเพื่อมาปกป้อง ผมไม่ทำ"

ทั้งนี้ เพราะมีข่าวสะพัดใน ทบ. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะดัน บิ๊กอู๊ด พล.ท.วลิต โรจนภักดี ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายส่งกำลังบำรุง (ฝกบ.) น้องรักแห่งบูรพาพยัคฆ์ ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อให้เตรียมดันขึ้นเป็น ห้าเสือ ทบ. ให้ทันจ่อขึ้นชิง ผบ.ทบ. เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เกษียณกันยายน 2557 เนื่องจากเขาเป็น ตท.15 ที่มีอายุราชการถึงปี 2559 เพราะถ้ารอให้โตตามสายงาน จาก ผช.เสธ. ต้องเป็น รอง เสธ.ทบ. ก่อน จึงจะขึ้น พลเอก ห้าเสือ ทบ. ได้ จึงอาจไม่ทันการ

ขณะที่ บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสธ.ทบ. ทหารเสือราชินี เต็งหนึ่ง ผบ.ทบ. ตท.14 นั้น เกษียณ 2558

"ผมไม่เกี่ยว" พล.ท.วลิต ปฏิเสธที่จะพูดถึงข่าวที่จะลงไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4

แต่ทว่า การลงใต้ครั้งหลังๆ พล.อ.ประยุทธ์ ชวน พล.ท.วลิต ลงไปด้วย จึงเป็นที่จับตามองว่า อาจส่ง พล.ท.วลิต มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในการโยกย้ายใหญ่ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ทว่าก็จะทำให้เกิดการต่อต้านการเอาไฟใต้มาเสี่ยงกับการวางตัวทายาทอำนาจ อีกทั้ง พล.ท.วลิต ถูกมองว่า ร่างกายไม่สมบูรณ์ดี เพราะบาดเจ็บจากเหตุสี่แยกคอกวัว

แต่ก็มีชื่อของ บิ๊กโชย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 4 จากคนนอก ด้วยอีกคน เพราะเขาก็เคยเป็น ผบ.ฉก.นราธิวาส ทำงานในภาคใต้มาก่อน ที่มองกันว่าหากเขาขึ้นแม่ทัพภาคที่ 4 ก็จะขึ้นห้าเสือ ทบ. และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในอนาคตได้ เพราะเขาเป็น ตท.16 และอายุราชการถึงปี 2560

"แล้วแต่นายแล้ว ผู้บังคับบัญชา สั่งให้ผมไปไหน ก็ไปได้ทั้งนั้น" พล.ต.กัมปนาท กล่าว



แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกตัวสำหรับแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ว่า "ใครเป็นก็ได้อยู่แล้ว ถ้าทำตามยุทธศาสตร์และทุกคนต้องทำตามยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ว่าจะตั้งคนที่มาทำอะไรก็ได้ อย่างนั้นจะตั้งไม่ได้ ต้องตั้งคนที่ทำงานตามยุทธศาสตร์และคำสั่งตามกฎหมาย เพราะต้องทำงานในกรอบงานที่มีอยู่และตามระเบียบวินัย เก่งแค่ไหนถ้าไม่มีระเบียบวินัยก็เป็นอะไรไม่ได้"

โดยให้ บิ๊กเมา พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นคนเสนอชื่อขึ้นมา โดยปกติควรจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จะดีกว่า เนื่องจากรู้ปัญหา

จึงทำให้ชื่อของ พล.ท.สกล ชื่นตระกูล ผอ.ศูนย์ข่าวกรองภาคใต้ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กลายเป็นเต็งหนึ่ง เนื่องจากเป็นเพื่อน ตท.13 ของ พล.ท.อุดมชัย และได้รับผิดชอบงานสำคัญๆ มาตลอด อีกทั้งเป็นรุ่นพี่และเป็นพลโทแล้ว แต่ก็จะเกษียณในปี 2557 อีกทั้งเคยมีวิวาทะกับ พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านการประชุมทางไกลมาแล้วด้วย

แต่ที่มาแรงคือ พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นคู่แข่ง เพราะนอกจากเป็นรองอันดับหนึ่งแล้ว ยังเป็น ผบ.หน่วยในกองทัพภาคที่ 4 มาทุกตำแหน่ง ทั้งผู้การ และ ผบ.พล. และยังเป็นเพื่อน ตท.14 ของ บิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. ที่กำลังนำแก้ปัญหาภาคใต้ และการเจรจากับ BRN ซึ่งถือเป็นดรีมทีมความมั่นคง ที่มี บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกลาโหม และ พล.อ.อุดมเดช เสธ.ทบ. ทำงานกันอยู่ด้วย จึงเกิดศึกคนในกับคนนอกขึ้น



แต่โยกย้ายนี้ มีคลื่นใต้น้ำในกองทัพภาคที่ 2 เพราะมียุทธการใบปลิวบัตรสนเท่ห์ เลื่อยขาเก้าอี้ บิ๊กป้อม พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ ตท.13 ที่ดูผลงานอาจไม่ค่อยเข้าตา ผบ.ทบ. อีกทั้งเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยได้ทำงานให้เป็นข่าวให้ประชาชนรับทราบ

จึงมีชื่อของ พล.ท.สุรนาท สุวรรณนาคร แม่ทัพน้อยที่ 2 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกพูดถึงขึ้นมา แต่การย้ายแม่ทัพภาคที่ 2 ที่นั่งมาแค่ปีเดียว ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และจะต้องมีตำแหน่งรองรับที่เหมาะสม

แต่ที่นอนมาคือ บิ๊กเจี๊ยบ พล.ต.เฉลิมชัย สิทธิสาท รอง ผบ.นสศ. ที่จะขึ้นเป็น ผบ.นสศ. แทน บิ๊กแดง พล.ท.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ ที่จะขึ้นพลเอก ก่อนเกษียณ เพราะนอกจากเป็นรองอันดับ 1 แล้ว ยังผ่านตำแหน่งสำคัญในหน่วยมาหมด และเป็นน้องรักของ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ด้วย

แต่ก็อย่ามองข้าม พล.ต.ธนา วิทยวิโรจน์ รอง ผบ.นสศ. อีกคน ที่เป็นรุ่นพี่ ตท.15 เพื่อนร่วมรุ่น พล.ท.ปรีชา น้องชาย ผบ.ทบ. แต่ทว่า เขาไม่ได้ผ่านตำแหน่ง ผบ.หน่วยในรบพิเศษ มา จึงทำให้เสียเปรียบ



ท่ามกลางกระแสโยกย้ายทหารที่กำลังจับตา พล.ท.วลิต ว่าจะได้ลงไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 หรือไม่ ก็มีกระแสพุ่งไปที่ ผบ.หน่วยคุมกำลังอย่าง บิ๊กต๊อก พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม่ทัพภาคที่ 1 เนื่องจากเมื่อครั้งม็อบ เสธ.อ้าย เขาก็ปฏิเสธที่จะออกมาช่วย ตามที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ร้องขอ

แถมยังมีการปล่อยข่าวสะพัดอีกว่า การที่เขาได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เพราะบินไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงที่ดูไบ เลยทำให้ พล.ท.วลิต แห้ว

"คนอย่างผม ไม่มีวันไปกราบตีนใครเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ผมยืนยัน ผมเป็นคนอย่างนี้" พล.ท.ไพบูลย์ ลั่น

นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่สำหรับเขา เพราะตอนชิงตำแหน่งอยู่นั้น "มีผู้ใหญ่มาก โทร.มาบอกผมว่า มีคนไปรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ผมไปหาทักษิณ ผมไปวิ่งเต้น ท่านบอกให้ผมไปเคลียร์ ผมถามผู้ใหญ่ท่านนั้นว่า ถ้า ผบ.ทบ. ท่านเชื่อแบบนั้น ผมจะไปชี้แจงแล้วท่านจะเชื่อผมไหม ผมก็ไม่ได้ไปชี้แจง"

เพราะโดยส่วนตัวแล้ว พล.ท.ไพบูลย์ บอกว่าไม่ได้สนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เคยรู้จักตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วลงไปนอนที่ภาคใต้ โดยตนเองในนาม ฉก.เพชราวุธ ไปดูแลแค่นั้น

แต่การที่เขาเป็นน้องเลิฟ ของ บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต ผบ.ทบ. เพื่อนรัก จปร.5 ของ บิ๊กสุ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตแกนนำ รสช. ผู้มีพระคุณของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเกินกว่าจะคาดเดาได้

"ผมยังเชื่อมั่นว่า คนอย่าง ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่ยอมให้ใครมาขอหรือมาสั่งให้เลือกแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ ผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้ ท่านให้ผมมาบริหารงาน เพื่อทำงานให้ประชาชน" พล.ท.ไพบูลย์ กล่าว

แต่เขาก็ไม่เคยโกรธหรือโทษใคร กับกระแสที่ออกมา เพราะสภาพสังคม สภาพแวดล้อมหรือปัจจัยต่างๆ อาจทำให้เข้าใจผิดไปอย่างนั้นได้

"ผมว่าถึงเวลาที่เราจะต้องช่วยกัน สร้างบ้านสร้างเมืองแล้ว อย่าให้มันวนอยู่แบบนี้เลย ชาติบ้านเมืองจะได้ก้าวไปข้างหน้า ชีวิตผมผ่านอะไรมาหลายอย่าง ก็ได้บทเรียนอะไรมากมายแล้ว เอาเป็นว่า ผมจะทำหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 1 ให้ดีที่สุดแล้วกัน เพราะมันก็แค่หัวโขน ที่วันหนึ่ง เมื่อเกษียณ ผมก็เป็นแค่ พล.ท.ไพบูลย์ เท่านั้น" บิ๊กต๊อก กล่าว

นั่นเป็นการโยกย้ายที่ผ่านไปแล้ว แต่การโยกย้ายเมษายนนี้ จะมีการฟาดฟันกันแค่ไหน มีข่าวลืออะไรอีก ต้องรอฟัง และรอดูชม...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น