ค่าแรง 300 บาทส่งผลกระทบผู้ประกอบการ
นายสัมพันธ์ พงษ์พรรณนากูล ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสงครามเผยถึงผลกระทบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ของรัฐบาลต่อผู้ประกอบการธุรกิจในจังหวัดสมุทรสงครามว่านโยบายนี้ของรัฐบาลทำให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ในทุกจังหวัดได้รับผลกระทบหมด ผู้ประกอบการยิ่งใหญ่มากยิ่งได้รับผลกระทบมาก ผู้ประกอบการรายย่อยก็ได้ผลกระทบน้อย ซึ่งผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต้องปรับตัว ซึ่งการปรับตัวส่วนใหญ่จะใช้วิธีลดคนงานลง และน้ำเครื่องจักรมาใช้แทน และถึงแม้ว่าต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรเป็นจำนวนเงินที่สูง แต่ในระยะยาวจะคุ้มกว่าใช้แรงงานคน จังหวัดสมุทรสงครามค่าแรงในปี 2555 ที่ผ่านมาอยู่ที่วันละ 245 บาท เมื่อปรับเป็น 300 บาท ผู้ประกอบการต้องจ่ายเพิ่มวันละ 55 บาท ซึ่งเป็นการปรับแบบก้าวกระโดด ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกต้นทุนที่สูงขึ้น
โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแล้วปรับตัวไม่ได้ จนต้องเลิกกิจการ ของจังหวัดสมุทรสงครามในขณะนี้คือธุรกิจค้าปลีกรายย่อย เพราะธุรกิจนี้ไม่สามารถเอาพนักงานออก หรือลดกำลังคนลงได้ หากใช้คนน้อยจะมีปัญหากับธุรกิจ เพราะการดูแล การเทคแคร์ลูกค้า การให้บริการ และการป้องกันสินค้าถูกโจรกรรมไม่สามารถที่จะนำเครื่องจักรมาใช้แทนคนได้ ซึ่งนอกจากธุรกิจค่าปลีกรายย่อยแล้วธุรกิจที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายแข่งกับธุรกิจในกรุงเทพฯ ยังได้รับผลกระทบในเรื่องต้นทุนค่าโลจิสติกที่สูงขึ้น เดิมผู้ประกอบธุรกิจในจังหวัดสมุทรสงครามที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายแข่งกับสินค้าที่ผลิตในกรุงเทพ ฯ ที่กรุงเทพ ฯ อาศัยส่วนต่างของค่าแรงไปชดเชยค่าขนส่ง เมื่อค่าแรงเท่ากันทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของต่างจังหวัดสมุทรสงครามสูงกว่า แถมยังต้องเสียเวลาขนส่ง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับนักธุรกิจในกรุงเทพ ฯ ได้
"ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายย่อย หลายรายต้องหยุดทำธุรกิจไปเพราะมาจิ้นของธุรกิจค้าปลีกรายย่อยได้แข่งขันกันมานาน ซึ่งธุรกิจรายย่อยซึ่งผู้ประกอบการเป็นคนในท้องถิ่นต้องต่อสู้กับค้าปลีกข้ามชาติกับนายทุนข้ามชาติมานานแล้ว ทำให้กำไรเหลือน้อย พอแค่เลี้ยงพนักงานไม่ให้ตกงาน พอมาเจอปัญหาค่าแรงแล้ว ทำให้ขาดทุนเพราะกำไรที่เคยได้ต้องจ่ายไปเป็นค่าแรง ซึ่งมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐยังไม่เพียงพอที่จะให้ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยอยู่ได้ ส่วนธุรกิจอื่นที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายในกรุงเทพ ฯ ที่ผ่านมาลอาศัยส่วนต่างค่าแรงที่ถูกกว่าไปชดเชยค่าขนส่ง ทำให้แข่งขันกับนักธุรกิจในกรุงเทพ ฯ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด"ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าว
โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแล้วปรับตัวไม่ได้ จนต้องเลิกกิจการ ของจังหวัดสมุทรสงครามในขณะนี้คือธุรกิจค้าปลีกรายย่อย เพราะธุรกิจนี้ไม่สามารถเอาพนักงานออก หรือลดกำลังคนลงได้ หากใช้คนน้อยจะมีปัญหากับธุรกิจ เพราะการดูแล การเทคแคร์ลูกค้า การให้บริการ และการป้องกันสินค้าถูกโจรกรรมไม่สามารถที่จะนำเครื่องจักรมาใช้แทนคนได้ ซึ่งนอกจากธุรกิจค่าปลีกรายย่อยแล้วธุรกิจที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายแข่งกับธุรกิจในกรุงเทพฯ ยังได้รับผลกระทบในเรื่องต้นทุนค่าโลจิสติกที่สูงขึ้น เดิมผู้ประกอบธุรกิจในจังหวัดสมุทรสงครามที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายแข่งกับสินค้าที่ผลิตในกรุงเทพ ฯ ที่กรุงเทพ ฯ อาศัยส่วนต่างของค่าแรงไปชดเชยค่าขนส่ง เมื่อค่าแรงเท่ากันทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของต่างจังหวัดสมุทรสงครามสูงกว่า แถมยังต้องเสียเวลาขนส่ง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับนักธุรกิจในกรุงเทพ ฯ ได้
"ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายย่อย หลายรายต้องหยุดทำธุรกิจไปเพราะมาจิ้นของธุรกิจค้าปลีกรายย่อยได้แข่งขันกันมานาน ซึ่งธุรกิจรายย่อยซึ่งผู้ประกอบการเป็นคนในท้องถิ่นต้องต่อสู้กับค้าปลีกข้ามชาติกับนายทุนข้ามชาติมานานแล้ว ทำให้กำไรเหลือน้อย พอแค่เลี้ยงพนักงานไม่ให้ตกงาน พอมาเจอปัญหาค่าแรงแล้ว ทำให้ขาดทุนเพราะกำไรที่เคยได้ต้องจ่ายไปเป็นค่าแรง ซึ่งมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐยังไม่เพียงพอที่จะให้ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยอยู่ได้ ส่วนธุรกิจอื่นที่ต้องขนส่งสินค้าไปขายในกรุงเทพ ฯ ที่ผ่านมาลอาศัยส่วนต่างค่าแรงที่ถูกกว่าไปชดเชยค่าขนส่ง ทำให้แข่งขันกับนักธุรกิจในกรุงเทพ ฯ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอด"ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น