วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ขอกดไลค์เป็นคนที่ 1,087,070 ท่านขุนน้อย 25 March 2556


ขอกดไลค์เป็นคนที่ 1,087,070






ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน...ยังไม่เคยมี เฟซบุ๊ก เหมือนใครต่อใครเค้าซะที เลยไม่ได้มีโอกาสไปกดอะไรก็ไม่รู้ ที่เรียกๆ กันว่า กดไลค์ ให้กับท่านอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับผู้คนอีก 1,087,069 คน อันส่งผลให้อดีตนายกฯ ผู้หล่อล่ำ (อวบ) รายนี้...กลายเป็นผู้ซึ่งมีแฟนเพจ
เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ไปแล้ว...ว่าซั่น!!!
                           -----------------------------------------------------
    แต่ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนเพจ คงต้องขออนุญาต กดไลค์ เอาไว้ ณ ที่นี้ก็แล้วกัน โดยเฉพาะกับคำพูด คำจา เนื่องในโอกาสการประชุมใหญ่สามัญ พรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2556 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวคราวใน ไทยโพสต์ ฉบับวานนี้ คือในขณะที่ลูกพรรค หรือผู้บริหารพรรคบางราย เริ่มแสดงอาการอึดอัด กับการพ่ายแพ้เลือกตั้ง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า และพยายามปลุกกระตุ้นความรู้สึก ของใครต่อใครในพรรค ให้กระเหี้ยนกระหือรือ กับการได้มาซึ่งชัยชนะ แต่อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรครายนี้ กลับสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เอาไว้แบบนิ่มๆ ว่า “พรรคประชาธิปัตย์คิดที่จะทำมากกว่าปัญหาเฉพาะหน้า หรือคิดถึงผลการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะพรรคประชาธิปัตย์มองว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่การเป็นหลักให้บ้านเมืองในการฉายภาพอนาคตให้คนมีความหวัง เพื่อเดินไปด้วยกันสู่อนาคตที่พวกเราพึงอยากเห็น...”
                             --------------------------------------------------------
    นี่...ต้องเรียกว่า อะไรจะเท่ จะเก๋ เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแร้น หรืออย่างในเนื้อข่าวบางช่วง บางตอน ที่ถอดคำพูด คำจา ออกมาแบบคำต่อคำ เช่น...“พรรคยังยืนยันว่าจะเดินหน้าตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ และจะไม่ยอมให้ประเทศถูกโกงกินรวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องดีๆ พรรคจะไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล การจัดทำพิมพ์เขียว (แนวคิดเรื่องนโยบายสาธารณะ) ในครั้งนี้ หากรัฐบาลจะนำไปปฏิบัติ พรรคก็ยินดี ขอย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์ตลอดระยะเวลา 60 ปี และจากนี้อีกหลายปี ผมเชื่อว่ายังคงอยู่ในภาวะที่การเมืองสับสนวุ่นวาย แต่เราก็มีหน้าที่ผดุงรักษาความถูกต้อง เราไม่ได้อยู่เพื่อการชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่อยู่คู่กับสังคมเพื่อดำเนินตามแนวทางประชาธิปไตยต่อไป...”
                              ----------------------------------------------------------
    เหตุที่ต้องเปลี่ยนมา กดไลค์ กลางหน้าหนังสือพิมพ์แบบโล่งๆ โจ้งๆ เช่นนี้ คงไม่ได้เกี่ยวกับความชอบ ความชม ต่อพรรคการเมือง อย่างพรรคประชาธิปัตย์ อะไรมากมายนัก เพราะในอดีตที่ผ่านมา ตัวเองก็เคยออกแข้ง ออกอาวุธ ใส่พรรคการเมืองพรรคนี้ มาในชนิดดอกต่อดอก เล่นเอาอดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคอย่าง คุณพี่ชวน หลีกภัย ท่านเคยง้างๆ ทำท่าจะถีบกลับ หลายต่อ หลายครั้ง และการ กดไลค์ คราวนี้ คงไม่ใช่เป็นแค่ความหลงใหล ในรสเสน่ห์ของตัวบุคคล อย่างอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เพียงลำพังเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่า แนวคิด ในการแยกแยะ ใคร่ครวญ พิจารณา ปัญหาความเป็นไปของชาติบ้านเมือง โดยรวมนั่นแหละ ซึ่งมันมีอะไรมากซะยิ่งกว่าเพียงแค่ ชัยชนะ หรือ ความพ่ายแพ้ ของพรรคการเมืองพรรคใด พรรคหนึ่ง นักการเมืองรายใด รายหนึ่ง ไปจนกระทั่งกลุ่มบุคคล หรือตัวบุคคล ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ก็ตาม...
                         ------------------------------------------------------------
    พูดง่ายๆ ว่า...สถานการณ์ความเป็นไปในบ้านเมืองทุกวันนี้ ไม่ว่าพรรคการเมือง พรรคใด นักการเมืองรายใด หรือกลุ่มการเมืองฝ่ายไหน คิดว่าตัวเองประสพชัยชนะ แต่สุดท้าย...ประเทศไทยทั้งประเทศ มันกำลังออกอาการ แพ้ทะรูดทะราด หนักขึ้นเรื่อยๆ แพ้ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไปจนถึงการต่างประเทศ เป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ชัยชนะของคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด พรรคการเมือง พรรคหนึ่ง พรรคใด แต่ต้องเป็นชัยชนะของผู้คน ทุกกลุ่ม ทุกเหล่า ทุกฝ่าย ที่สามารถสลัดตัวเอง ให้หลุดไปจากผลประโยชน์เฉพาะหน้า ในทางส่วนตัว หันมายึดเอาผลประโยชน์ระยะยาว โดยมีชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง อันนี้นี่แหละ...ถือเป็นภารกิจสำคัญเอามากๆ ซึ่งไม่แต่เพียง พรรคการเมือง หรือ นักการเมือง เท่านั้น ที่จะต้องหันมายึดเป็นแนวคิด เป็นแก่นสาระ ในการดำเนินการทางการเมือง แต่ยังหมายรวมไปถึงผู้คนทุกหมู่ ทุกเหล่า ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ นักธุรกิจ ปัญญาชน สื่อมวลชน ฯลฯ ที่ในระยะหลังๆ ต่างหนักไปทาง เห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แถมยังเป็นแค่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
                       -------------------------------------------------------------
    เหตุที่ใครต่อใครยังไม่คิดจะ ก้าวข้ามทักษิณ และ ทักษิณยังไม่ยอมให้ก้าวข้าม ไปง่ายๆ นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันคงไม่ใช่เป็นเพราะ ทักษิณ มีฤทธิ์ มีเดช มีบุญญาบารมี เคยสร้างเวร สร้างกรรม ในอดีตชาติเอาไว้มากมายเหลือกำลังลาก อะไรประมาณนั้น แต่มันน่าจะเป็นเพราะผู้คนในแต่ละแวดวง แต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่าย ตลอดไปจนนักการเมืองในแต่ละพรรค ล้วนแล้วแต่หนักไปทาง เห็นแก่ตัว ยิ่งขึ้นๆ ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ในแบบหยาบๆ ง่ายๆ นั่นเอง ที่กลายเป็นแรงขับ แรงส่ง เป็นตัวดลบันดาลให้ ทักษิณ ยิ่งมีฤทธิ์ มีบารมี เพิ่มขึ้นๆ ในทุกเมื่อเชื่อวัน สามารถทำให้อดีตนายพล และบรรดานายพล ทั้งในราชการและเกษียณราชการไปแล้ว ผู้เคยถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล มาด้วยกันทั้งสิ้น ได้แต่ยืนมองภัยคุกคามความมั่นคง ต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แบบตาปริบๆ ไม่ได้คิดจะแก้ปัญหา จนตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไปแล้วก็ว่าได้...
                      ----------------------------------------------------------------
    ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าในมหาสมาคม ไปยันถึงวัดแต่ละวัด ที่เห็นแก่ อามิส มากกว่าเห็นแก่ พระศาสนา จนทำให้คำว่า คุณธรรม ศีลธรรม ไม่เพียงแต่เป็นอะไรที่เชยซ์ซ์ซ์ ยังกลายเป็นอะไร ที่ออกไปทางปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ยิ่งขึ้นทุกที นักวิชาการ ปัญญาชน ที่หันมาเอา อัตตา เป็นตัวนำ ไม่ใช่เอา ปัญญา เป็นธงนำ สื่อมวลชนที่เปลี่ยนสภาพตัวเองจาก นกน้อยในไร่ส้ม ไปเป็น อีแร้งตอมศพ กันเป็นสำนักๆ ประชาชน หรือบรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ที่เสพติดประชานิยม ชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่มันทำให้เกิดอาการ แพ้กันไปทั้งประเทศ และเป็นเหตุให้ ทักษิณ มีฤทธิ์ จนไม่ว่าใครก็ใคร ต่างข้ามไม่พ้นไปซักกะที...
                    ------------------------------------------------------------------
    การเอาชนะสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้...มันถึงพอจะทำให้เกิด ชัยชนะของประเทศ ขึ้นมาได้มั่ง ไม่ใช่แค่การชนะในเขตเลือกตั้ง แต่ละเขต แต่กลับต้องมา แพ้กันทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่ครองเสียงส่วนใหญ่ในสภา ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาล แต่กลับโดนโลกทั้งโลกดูหมิ่น ดูแคลน เพราะเพียงแค่จัดประชุมนานาชาติยังทำไม่ได้ ถูกมวลชนฝ่ายตรงข้ามไล่กระทืบ ไล่เผาบ้าน เผาเมือง ฉิบหายวายวอด กันไปเป็นแถบๆ จนแม้กระทั่งทุกวันนี้ ที่ยังหาทางประนีประนอม หาทางปรองดอง กันไม่ได้ ก็เป็นเพราะทุกฝ่ายยังพร้อมจะจมอยู่ในความพ่ายแพ้ของประเทศ ยังไม่สามารถสลัดตัวเอง ให้หลุดไปจากผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์เฉพาะหน้าได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านได้สะท้อนออกมา เป็นความรู้สึกนึกคิด ต้องถือว่าชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว และไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภารกิจของพรรคการเมือง อย่างพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เป็นภารกิจของประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ที่จะต้องร่วมมือ ร่วมใจ หาทางเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ให้จงได้...
                        ----------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น