ถนนมหาประชาชน ‘กำนัน’ทอดน่องวงเวียนใหญ่-สวนลุม/เจ๊ปอง-นกเขาโวยริดสีดวง
คลื่นมวลมหาประชาชนเรือนล้านหลั่งไหล 5 เวทีใหญ่ 10 เวทีเล็กใจกลางเมืองหลวง มวลชนสตรีวางดอกไม้จันทน์บ้านนายกฯ ขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง "ลุงกำนัน" คึก! เดินอีกจากวงเวียนใหญ่ไปสวนลุมฯ วันจันทร์ไปเยี่ยมสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น "เจ๊ปอง-นกเขา" เจอริดสีดวงตลบหลัง ส่งฝูงลิ่วล้อใส่แว่นดำคุกคามบุพการีวัยชรา ให้เซ็นหมายเรียกตอนโพล้เพล้ ลั่น 23 ธ.ค.เจอกัน จะไปพบที่ดีเอสไอ "ปู" หนูไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดินหน้าตกเขียวหาเสียงอีสาน ประชาธิปัตย์เตือนแบงก์ระวังเดือดร้อนตาม "ธาริต"
ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) แถลงถึงแนวทางการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 22 ธันวาคม ว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์ เพราะจากการประเมิน จะมีคนมาร่วมชุมนุมจำนวน 2-3 ล้านคน โดยจะเปิดเวทีใหญ่เพิ่มอีก 5 เวที จากเดิมมี 3 เวที
คือ เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สยาม อโศก สวนลุมพินี และแยกราชประสงค์ ซึ่งจะมีเวทีย่อยตามถนนเส้นหลักอีก 10 เวทีคือ ที่อุรุพงษ์ ราชเทวี ประตูน้ำ เจริญผล เพลินจิต หัวลำโพง สามย่าน บางรัก คลองเตย และทองหล่อ
โฆษก กปปส.เผยว่า เวลา 10.00 น. นายสุเทพ จะเริ่มทำกิจกรรม โดยไปวงเวียนใหญ่ เพื่อเชิญชวนและระดมมวลชนจากฝั่งธนบุรีให้เคลื่อนขบวนมาสมทบที่เวทีสีลมและสวนลุมฯ จากนั้นนายสุเทพจะไปเยี่ยมทุกเวทีใหญ่ ก่อนกลับมาอ่านแถลงการณ์ ปราศรัยครั้งสำคัญที่เวทีราชดำเนินภายหลังเคารพธงชาติ
นายเอกนัฏกล่าวอีกว่า จะมีขบวนรถแรลลี่ 4 ขบวน จากภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะไปสมทบกับผู้ชุมนุมที่ 5 เวทีหลัก และขบวนรถอีแต๋นจากสมาคมชาวนาไทยมาสมทบด้วย นอกจากนี้ จะมีขบวนของสตรีและสาวประเภทสอง ที่จะรวมตัวกันเคลื่อนขบวนในเวลา 09.00 น. จากเวทีราชดำเนิน เพื่อไปวางดอกไม้จันทน์และพวงหรีดที่หน้าบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ที่ซอยโยธินพัฒนา 3 เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของพลังหญิง และขอร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วน 10 เวทีย่อย จะมีจอ แอลอีดีที่ลิงค์สัญญาณถ่ายทอดการชุมนุมของเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมายังเวทีย่อยๆ แบบมีทั้งภาพและเสียง โดยบริเวณรอบพื้นที่ชุมนุม จะมีการกระจายเครื่องเสียงรอบพื้นที่เวทีย่อยทั้ง 10 จุดด้วย
นอกจากนี้ นายเอกนัฏได้ตอบโต้การแถลงการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (ศอ.รส.) ใน 4 ประเด็น ว่า 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ศอ.รส.แถลงการณ์เป็นการใส่ร้ายประชาชนว่าไม่เคารพกติกา ตนขอย้ำว่าพวกตนเคารพกติกา เคารพรัฐธรรม เนื่องจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการชุมนุมของ กปปส.เป็นไปโดยความสงบเรียบร้อย
2.การนำนานาชาติ และผลกระทบทางเศรษฐกิจอ้างนั้น ตนเห็นว่าปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นผลกระทบจากโครงการประชานิยมของรัฐบาล 3.การประกาศเรื่องสภาปฏิรูปของรัฐบาล โดยย้ำให้เลือกตั้งก่อน ทั้งที่ประชาชนได้แสดงเจตนาชัดเจนแล้วต้องมีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากหลายภาคส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี
4.การที่รัฐบาลออกมาแถลงว่า ประชาชนออกมาคุกคามการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนขอย้ำว่าพี่น้องประชาชนยึดหลักสันติอหิงสา ในขณะที่พวกเราถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่ทั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้บังคับบัญชา เช่น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่กระทำการเกินกว่ากฎหมายบัญญัติ และกระทำการต่อผู้บริสุทธิ์ ทำให้องค์กรต้องเสื่อมเสียประชาชนต้องเข้าใจผิด
"เจ๊ปอง-นกเขา" โวยลั่น
จากนั้นนายเอกนัฏได้เชิญ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก แนวร่วม กปปส. และนายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำ ร่วมแถลงข่าวกรณีการคุกคามของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเมื่อคืนวันที่ 20 ธ.ค. โดย น.ส.อัญชะลีเล่าเหตุการณ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามว่า วันศุกร์ เวลา 16.00 น. นายธาริตได้ส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอประมาณ 10 คนมาบ้านตนที่ จ.สมุทรปราการ โดยมีท่าทีข่มขู่คุกคามคนในบ้าน ซึ่งมีบิดาของตนอายุ 88 ปีอาศัยอยู่ร่วมกับพี่สาว
เธอกล่าวว่า ระหว่างนั้นพี่สาวกับพี่เลี้ยงไม่มีใครอยู่บ้าน โดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เรียกให้บิดาของตนออกมาเซ็นเอกสารฉบับหนึ่ง พร้อมบอกว่าเป็นของน.ส.อัญชะลี ทำให้บิดาของตนเซ็นเอกสารดังกล่าวไป แต่เมื่อพี่เลี้ยงกลับมาก็โทร.หาพี่สาวทันที โดยเมื่อพี่สาวกลับมาถึงบ้านก็ขอดูเอกสาร แต่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอก็ไม่ให้ ทั้งยังท้าทายให้ไปเจอกันที่สถานีตำรวจ เมื่อพี่สาวไปถึงสถานีตำรวจ ก็พบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทั้งหมด แต่พี่สาวก็แจ้งความไปว่าให้คนแก่เซ็นชื่อในเอกสารได้อย่างไรโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
“เจ้าหน้าที่ดีเอสไอยังมาบอกว่า เจ้านายสั่งมา แต่การไปก็คุกคาม ข่มขู่ ใส่แว่นดำ ก็ไม่สมเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และยังเอาเอกสารใบนั้นกลับไปด้วย ถ้าบอกว่าเป็นหมายเรียกแล้วจะไปที่บ้านหลังนั้นทำไม เพราะดิฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นตามทะเบียนบ้าน หากจะเป็นแบบนี้ เป็นดีเอสไอได้อย่างไร ไปข่มขู่ให้คนแก่เซ็นชื่อ คนดีๆ ไม่ทำกัน” น.ส.อัญชะลีกล่าว
ด้านนายนิติธรกล่าวว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจำนวนหลายคนมายื่นหนังสือที่บ้านพักตนเช่นกันเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยพยายามให้บิดาเซ็นรับรองเอกสาร แต่โชคดีบิดาไม่ได้เซ็น พร้อมกับระบุว่าตนไม่ได้อยู่บ้านเป็นเวลา10 ปี และหากเจอก็ช่วยฝากบอกว่ากลับบ้านได้แล้วคิดถึง ทั้งนี้ ตนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของดีเอสไอถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะหากจะมายื่นหมายศาลหรือหมายเรียก ตามหลักปฏิบัติควรมาเพียงแค่คนเดียว แต่การมาหลายคนนั้นเป็นลักษณะเหมือนมาจับกุมหรืออายัดทรัพย์
เขากล่าว่า ประเด็นอายัดทรัพย์แกนนำ กปปส. ซึ่งดีเอสไอก็ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการมาตรา พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยเฉพาะนายธาริต ในฐานะเลขานุการคดีพิเศษ ต้องนำเสนอสรุปเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณา ซึ่งจะต้องเรียกผู้เสียหายและผู้ที่ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูล โดยต้องให้มีการนำหลักฐานมาโต้แย้งหักล้างก่อน ไม่ใช่รีบรัดทำคดี
"กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ผ่านมาไม่เคยทำคดีอะไรสำเร็จเลย โดยหน่วยงานกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานที่มีการทุจริตมากที่สุด วันนี้ต้องขอบคุณคุณธาริต เพราะผมจ้องตรวจสอบคุณธาริตมานานแล้ว แต่เราไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง โดยวันจันทร์ที่ 23 ขอให้คุณธาริตอยู่ที่ดีเอสไอด้วย ผมจะไปเยี่ยม ขอให้อยู่ ให้เจอกับผมหน่อย" นายนิติธรกล่าว
ปชป.เตือนแบงก์
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า อำนาจในการอายัดบัญชีทรัพย์สินหรือเงินในบัญชีนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ปปง. ดังนั้นนายธาริตกำลังใช้อำนาจเกินขอบเขตและขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตนขอเตือนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือ เรื่องนี้ตนทราบมาว่านายธาริต ดำเนินการโดยพลการ ไม่ได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของหน่วยงาน ตรงนี้เปรียบได้ว่าเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ใช้อำนาจเกินขอบเขต รังแกประชาชน ตรงนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกรงว่าการชุมนุมในวันที่ 22 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเอาไม่อยู่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า บัญชีธนาคารของตนมีอยู่บัญชีเดียวคือธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้งนี้ตนขอเรียนว่าการดำเนินการของตนเป็นการดำเนินการตามสิทธิในฐานะประชาชนคนไทย ซึ่งมีสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ และตนก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่มีส่วนให้เกิดการดำเนินการอะไรที่นอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ส่วนตัวแม้จะเคยทำหน้าที่บนเวที แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การที่ไปขึ้นเวทีก็ไปในฐานะประชาชนคนไทยที่มีสิทธิจะกระทำได้ ดังนั้นดีเอสไอและธนาคารไม่มีสิทธิจะมาอายัดหรือดำเนินการใดๆ กับบัญชีของตน
"ขอตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง ถ้ามีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ผมคงต้องดำเนินการตามกฎหมายกับทางธนาคารและดีเอสไอต่อไป" นายองอาจกล่าว
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง กล่าวเช่นกันว่า นายธาริตควรหยุดเลิกใช้กฎหมายมาเป็นทาสรับใช้ หรือเป็นขี้ข้า พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้มอบอำนาจให้อธิบดีดีเอสไอสามารถสั่งยึดหรืออายัดการทำธุรกรรมของเอกชนกับธนาคารได้ ยกเว้นนอกจากจะมีใช้อำนาจของ ปปง. ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานมาดำเนินการได้
"ขอเตือนไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีว่า หากทางธนาคารหลงเชื่อคำขู่ หรือการรับใช้กระบวนการระบอบทักษิณ ธนาคารอาจจะมีความเดือดร้อนในฐานะที่ยับยั้งการทำธุรกรรมที่เป็นสัญญาทางแพ่งระหว่างธนาคารกับตนหรือเอกชนรายอื่น จึงอยากให้ธนาคารได้พิจารณาทางข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ รอบคอบ ส่วนนายธาริตก็ให้เตรียมรับทราบการถูกแจ้งความดำเนินคดีเพิ่ม ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบขัดกฎหมายอาญามาตรา 157 และใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 200" นายสาธิตกล่าว
"ธาริต" เดินหน้าขู่
อย่างไรก็ตาม นายธาริตยังคงใช้ตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอขัดขวางการชุมนุมต่อไป โดยเผยว่า จะต้องถอดเทปการปราศรัยของบุคคลที่ขึ้นเวทีปราศรัย กปปส.ทุกคน เพราะดีเอสไอต้องดูเจตนา จากนั้นก็จะไปดูข้อมูลย้อนหลังว่ามีความเชื่อมโยงกับ กปปส.มากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าข่ายก็อาจจะต้องดำเนินการ
เขากล่าวว่า การบริจาคเงินให้ กปปส. ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นรายๆ ไป กลุ่มทุนที่มีเจตนาดีเอสไอก็ต้องดูเป็นพิเศษ ถ้าเข้าข่ายเจตนาก็สามารถดำเนินการฐานกระทำผิดร่วมกันได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ดีเอสไอได้ตั้งกรอบหรือไม่ว่าการบริจาคเงินจำนวนเท่าไรถึงจะมีความผิด นายธาริต ตอบว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เราดูพวกที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงมากกว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเป็นท่อน้ำเลี้ยง ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินการได้
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ยังคงเดินสายปฏิบัติราชการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการตกเขียวหาเสียงล่วงหน้า เมื่อวันเสาร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากโรงแรมตักสิลา จ.มหาสารคาม ไปยัง อ.นาดูน เพื่อนมัสการพระธาตุนาดูน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวมหาสารคาม ก่อนออกเดินทางมีประชาชนและข้าราชการท้องถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ 3 รูป มาให้การต้อนรับและให้กำลังใจ โดยพระสงฆ์ได้ให้พรแก่รักษาการนายกฯว่า "ขอให้ตระกูลชินวัตรเป็นนายกฯ ตลอดไป" และได้มอบพระเครื่องเป็นสิริมงคล
ต่อมาเวลา 10.00 น. รักษาการนายกฯ เดินทางมาถึงวัดพระธาตุนาดูน เพื่อนมัสการพระธาตุนาดูน พร้อมบวงสรวงพระธาตุนาดูนด้วยของไหว้ 9 อย่าง ทั้งผลไม้ น้ำผึ้ง ข้าวสวย ข้าวเหนียว ล้วนเป็นของพื้นบ้านอีสาน โดยพรหมสีลา เที่ยงธรรม พรหมประจำพระธาตุเป็นผู้ประกอบพิธี และถวายผ้าห่มพระธาตุความยาว 108 เมตร โดยความยาวของผ้ามีความหมายว่า ปัญหาร้อยแปดที่พันตัวให้ผ่านพ้นไป ทั้งนี้พระธาตุนาดูนเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2528 โดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ทำหน้าที่วางศิลาฤกษ์
จากนั้นรักษาการนายกฯ พร้อมคณะได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน แหล่งรวบรวมข้อมูลอนุรักษ์และจัดแสดงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวัฒนธรรมชาวอีสาน พร้อมรับฟังบรรยายสรุปแผนงานโครงการในพื้นที่ จ.มหาสารคาม โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเส้นทางหลวงเพื่อเพิ่มศักยภาพด่านการคมนาคมของจังหวัด และรับฟังศักยภาพการกักเก็บน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ เพื่อใช้อุปโภคบริโภคของจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียง โดยภาพรวมสามารถบริหารจัดการน้ำได้หลังจากที่ได้มีการบูรณาการส่วนงานต่างๆ ร่วมกัน
นอกจากนี้ เธอยังโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ว่า "หลังจากตรวจราชการในพื้นที่ จ.มหาสารคาม และ จ.กาฬสินธุ์ มาทั้งวัน ก่อนเดินทางไกลต่อไปที่ จ.อุดรฯ ขอแวะซื้อขนมเติมพลังระหว่างเดินทางหน่อยนะคะ" โดยมีรูปเธอโพสท่าหยิบขนมในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าฝืนยิ้ม
"ปลอด" หยามกำนัน
ส่วนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า นายสุเทพเชิญคณะทูตจากประเทศต่างๆ เข้าพบ แต่ปรากฏว่ามีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการจาก 2 ประเทศ และผู้แทนเอ็นจีโออีก 2 กลุ่มที่เข้าพบ ตอนที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2553 ตนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ชี้แจงต่อคณะทูตเกี่ยวกับการชุมนุมในขณะนั้น ซึ่งประกอบด้วยเอกอัครราชทูตเกือบ 40 ประเทศ ซึ่งไม่เหมือนกับการชุมนุมของนายสุเทพ ในขณะนี้ที่คณะทูตส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
"ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าที่คุณสุเทพประกาศไม่สนับสนุนให้จัดการเลือกตั้งนั้น เพราะคุณสุเทพไม่ชอบการเลือกตั้งหรือเปล่า เพราะเลือกตั้งทีไรต้องแพ้ทุกที ดังนั้น เพราะว่าแพ้ตลอด คุณสุเทพจึงต้องปฏิรูปการเลือกตั้งให้เสียงข้างน้อยชนะ สร้างกติกาประชาธิปไตยแบบ กปปส.ให้เกิดขึ้นบนโลก ใช่ไหม?
คุณสุเทพครับ ผมเห็นคุณทางทีวี ปราศรัยบนเวทีแบบเหนื่อยๆ เหมือนคนป่วย ผมก็ขอแนะนำไปพบแพทย์บ้าง หรือลองหาเวลาไปกราบพระอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถือ พยายามข่มใจนั่งสมาธิ ย้อนมองดูตัวเองว่าไอ้ที่ทำๆ อยู่นี่มันดี มันงาม มันถูกต้องหรือครับ ผมรู้จักท่านดี และอยากให้ท่านดีเหมือนเดิมครับ " นายปลอดประสพระบุ
ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรค แถลงถึงกรณีที่กลุ่ม นกภป. นำโดยพล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ประธาน นกภป. แถลงจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมืองเพื่อรวมตัวกันขับไล่รัฐบาลว่า ถือเป็นความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของนายทหารเกษียณทั้งหลาย ที่เห็นรายชื่อคนมานั่งแถลงแล้วต้องยอมรับว่าเดาทางได้ไม่ยาก ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายทหารตำรวจเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้นำเหล่าทัพในขณะนี้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงเลวร้ายลงไปกว่านี้มาก
"กลุ่มคนเหล่านี้เหมือนหลับไป 20 ปีแล้วเพิ่งตื่นขึ้นมา อาจจะคิดตามโลกไม่ทัน ไม่รู้ว่าทหารยุคนี้เขาเป็นทหารประชาธิปไตยกันหมดแล้ว จะทำอะไรก็ต้องประเมินกระแสสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านเหล่านี้เป็นทหารแก่ แช่แข็ง ที่มาผิดที่ ต้องไปร่วมกับ กปปส. ไม่ใช่แตกแถวมาผิดเวลา ต้องย้อนหลังถอยเวลากลับไป 20 ปี แนวความคิดแบบนี้จึงจะมีคนฟัง" รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
กสม.เป็นห่วง
ขณะที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การชุมนุมวันที่ 22 ธ.ค.นี้ โดยระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่เพื่อยกระดับการชุมนุมตามพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ดังที่ปรากฏในสื่อมวลชนนั้น กสม.เกรงว่าสถานการณ์การชุมนุมดังกล่าวอาจหมิ่นเหม่ที่จะนำไปสู่ความไม่เข้าใจและนำไปสู่ความรุนแรง ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม.ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโปรดพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
กลุ่มผู้ชุมนุมต้องชุมนุมด้วยความสงบ และปราศจากอาวุธ ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง สื่อมวลชนต้องนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และต้องเป็นการสร้างสรรค์ ช่วยให้สังคมเกิดความสันติ รัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุม และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องช่วยกันป้องปราม ระมัดระวังและ ทำหน้าที่มิให้เกิดสถานการณ์อ่อนไหว เปราะบางที่หมิ่นเหม่ต่อความรุนแรงใดๆ และการปฏิบัติต่อกลุ่ม ผู้ชุมนุมต้องเป็นไปตามหลักการสากล โดยมุ่งอำนวยความสะดวกให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ
นพ.สามารถ ตันอริยกุล ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ในการวางแผนรับสถานการณ์การชุมนุมว่า เชื่อว่าในวันดังกล่าวไม่น่ามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่อาจพบการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังและสภาพอากาศ เนื่องจากผู้ชุมนุมมีหลายกลุ่มวัย
ส่วนการชุมนุมที่มีหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ทั้งเวทีใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ราชประสงค์ สวนลุมพินี อโศก และเวทีย่อย อุรุพงษ์ เจริญผล หัวลำโพง บางรัก ราชเทวี สามย่าน คลองเตย ประตูน้ำ เพลินจิต ทองหล่อ คาดว่าจะทำให้การจราจรติดขัดเป็นอัมพาตหลายพื้นที่ จึงประสานรถไฟฟ้าบีทีเอสในการขนย้ายลำเอียงผู้ป่วยแทน เบื้องต้นประสานไว้ 3 สถานี ดังนี้
1.การขนส่งทางทิศเหนือ ใช้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสนามเป้า ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล (รพ.) วิชัยยุทธ รพ.รามาธิบดี รพ.เปาโล 2.การขนส่งทางทิศใต้ ใช้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ ส่งต่อไปยัง รพ.เลิดสิน รพ.ศิริราช และ 3.การขนส่งทิศตะวันออก ใช้สถานีเอกมัย ประสานส่งต่อที่ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.สิรินทร โดยการขนส่งดังกล่าวจะมีรถพยาบาลฉุกเฉินประจำตามจุด และใช้ทางด่วนในการขนย้ายผู้ป่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง ตั้งแต่ช่วงเย็นมีประชาชนทยอยเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากจนเต็มพื้นที่ ตั้งแต่แยกผ่านฟ้าลีลาศถึงแยกคอกวัว ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใญ่สวมเสื้อกันหนาว ภายหลังอากาศในพื้นที่เริ่มเย็นลง และเมื่อเวลา 19.45 น. นิสิตเก่าบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 30, 32, 36 นำโดยนายปรีชา ศรีอัศวกุล อดีตประธานรุ่น 32 ได้ขึ้นบนเวทีปราศรัยเพื่อมอบเงินจำนวน 327,000 บาท เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการชุมนุม ภายหลังดีเอสไอสั่งอายัดบัญชีเงินบริจาค "ครัวราชดำเนิน" บัญชีที่ใช้เพื่อช่วยเหลือการชุมนุม โดยนายสุเทพ กปปส. เป็นผู้รับมอบเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เครือข่าย กปปส. ประกาศบนเวทีเชิญชวนประชาชนให้ถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารทุกแห่ง ในวันที่ 23 ธ.ค. เพื่อตอบโต้รัฐบาลและดีเอสไอที่สั่งอายัดบัญชีของแกนนำและบัญชีบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือการชุมนุม
ช่วงค่ำวันเสาร์ นายสุเทพขึ้นปราศรัยว่า หลังการชุมนุมวันที่ 22 ธ.ค.แล้ว เราจะยืนประท้วงที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่าควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
เขายังกล่าวว่า มวลมหาประชาชนจะไปปิกนิกกลางถนน ปิดเมืองหลวงครึ่งวัน คน กทม.ไปไหนมาไหนต้องนั่งรถไฟฟ้าหรือเดิน ไม่ต้องใช้รถยนต์ เพราะไม่มีที่ให้วิ่ง โดยจะกระจายคนไปตามเวทีต่างๆ โดยตนไปเริ่มต้นเดินที่วงเวียนใหญ่ ข้ามสะพานสาทร ไปยังสวนลุมพินี
"เราจะสู้อย่างขาวสะอาด เพื่อให้ลูกหลานภูมิใจกับการต่อสู้ของเรา" นายสุเทพกล่าวในตอนท้าย.
ด้านนายนิติธรกล่าวว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจำนวนหลายคนมายื่นหนังสือที่บ้านพักตนเช่นกันเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยพยายามให้บิดาเซ็นรับรองเอกสาร แต่โชคดีบิดาไม่ได้เซ็น พร้อมกับระบุว่าตนไม่ได้อยู่บ้านเป็นเวลา10 ปี และหากเจอก็ช่วยฝากบอกว่ากลับบ้านได้แล้วคิดถึง ทั้งนี้ ตนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของดีเอสไอถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะหากจะมายื่นหมายศาลหรือหมายเรียก ตามหลักปฏิบัติควรมาเพียงแค่คนเดียว แต่การมาหลายคนนั้นเป็นลักษณะเหมือนมาจับกุมหรืออายัดทรัพย์
เขากล่าว่า ประเด็นอายัดทรัพย์แกนนำ กปปส. ซึ่งดีเอสไอก็ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการมาตรา พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยเฉพาะนายธาริต ในฐานะเลขานุการคดีพิเศษ ต้องนำเสนอสรุปเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณา ซึ่งจะต้องเรียกผู้เสียหายและผู้ที่ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูล โดยต้องให้มีการนำหลักฐานมาโต้แย้งหักล้างก่อน ไม่ใช่รีบรัดทำคดี
"กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ผ่านมาไม่เคยทำคดีอะไรสำเร็จเลย โดยหน่วยงานกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานที่มีการทุจริตมากที่สุด วันนี้ต้องขอบคุณคุณธาริต เพราะผมจ้องตรวจสอบคุณธาริตมานานแล้ว แต่เราไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง โดยวันจันทร์ที่ 23 ขอให้คุณธาริตอยู่ที่ดีเอสไอด้วย ผมจะไปเยี่ยม ขอให้อยู่ ให้เจอกับผมหน่อย" นายนิติธรกล่าว
ปชป.เตือนแบงก์
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า อำนาจในการอายัดบัญชีทรัพย์สินหรือเงินในบัญชีนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ปปง. ดังนั้นนายธาริตกำลังใช้อำนาจเกินขอบเขตและขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตนขอเตือนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือ เรื่องนี้ตนทราบมาว่านายธาริต ดำเนินการโดยพลการ ไม่ได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของหน่วยงาน ตรงนี้เปรียบได้ว่าเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ใช้อำนาจเกินขอบเขต รังแกประชาชน ตรงนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกรงว่าการชุมนุมในวันที่ 22 ธ.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเอาไม่อยู่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า บัญชีธนาคารของตนมีอยู่บัญชีเดียวคือธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้งนี้ตนขอเรียนว่าการดำเนินการของตนเป็นการดำเนินการตามสิทธิในฐานะประชาชนคนไทย ซึ่งมีสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ และตนก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่มีส่วนให้เกิดการดำเนินการอะไรที่นอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ส่วนตัวแม้จะเคยทำหน้าที่บนเวที แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การที่ไปขึ้นเวทีก็ไปในฐานะประชาชนคนไทยที่มีสิทธิจะกระทำได้ ดังนั้นดีเอสไอและธนาคารไม่มีสิทธิจะมาอายัดหรือดำเนินการใดๆ กับบัญชีของตน
"ขอตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง ถ้ามีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ผมคงต้องดำเนินการตามกฎหมายกับทางธนาคารและดีเอสไอต่อไป" นายองอาจกล่าว
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง กล่าวเช่นกันว่า นายธาริตควรหยุดเลิกใช้กฎหมายมาเป็นทาสรับใช้ หรือเป็นขี้ข้า พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้มอบอำนาจให้อธิบดีดีเอสไอสามารถสั่งยึดหรืออายัดการทำธุรกรรมของเอกชนกับธนาคารได้ ยกเว้นนอกจากจะมีใช้อำนาจของ ปปง. ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานมาดำเนินการได้
"ขอเตือนไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีว่า หากทางธนาคารหลงเชื่อคำขู่ หรือการรับใช้กระบวนการระบอบทักษิณ ธนาคารอาจจะมีความเดือดร้อนในฐานะที่ยับยั้งการทำธุรกรรมที่เป็นสัญญาทางแพ่งระหว่างธนาคารกับตนหรือเอกชนรายอื่น จึงอยากให้ธนาคารได้พิจารณาทางข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ รอบคอบ ส่วนนายธาริตก็ให้เตรียมรับทราบการถูกแจ้งความดำเนินคดีเพิ่ม ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบขัดกฎหมายอาญามาตรา 157 และใช้อำนาจหน้าที่กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 200" นายสาธิตกล่าว
"ธาริต" เดินหน้าขู่
อย่างไรก็ตาม นายธาริตยังคงใช้ตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอขัดขวางการชุมนุมต่อไป โดยเผยว่า จะต้องถอดเทปการปราศรัยของบุคคลที่ขึ้นเวทีปราศรัย กปปส.ทุกคน เพราะดีเอสไอต้องดูเจตนา จากนั้นก็จะไปดูข้อมูลย้อนหลังว่ามีความเชื่อมโยงกับ กปปส.มากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าข่ายก็อาจจะต้องดำเนินการ
เขากล่าวว่า การบริจาคเงินให้ กปปส. ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นรายๆ ไป กลุ่มทุนที่มีเจตนาดีเอสไอก็ต้องดูเป็นพิเศษ ถ้าเข้าข่ายเจตนาก็สามารถดำเนินการฐานกระทำผิดร่วมกันได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ดีเอสไอได้ตั้งกรอบหรือไม่ว่าการบริจาคเงินจำนวนเท่าไรถึงจะมีความผิด นายธาริต ตอบว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เราดูพวกที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงมากกว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเป็นท่อน้ำเลี้ยง ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินการได้
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ยังคงเดินสายปฏิบัติราชการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการตกเขียวหาเสียงล่วงหน้า เมื่อวันเสาร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากโรงแรมตักสิลา จ.มหาสารคาม ไปยัง อ.นาดูน เพื่อนมัสการพระธาตุนาดูน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวมหาสารคาม ก่อนออกเดินทางมีประชาชนและข้าราชการท้องถิ่น รวมถึงพระสงฆ์ 3 รูป มาให้การต้อนรับและให้กำลังใจ โดยพระสงฆ์ได้ให้พรแก่รักษาการนายกฯว่า "ขอให้ตระกูลชินวัตรเป็นนายกฯ ตลอดไป" และได้มอบพระเครื่องเป็นสิริมงคล
ต่อมาเวลา 10.00 น. รักษาการนายกฯ เดินทางมาถึงวัดพระธาตุนาดูน เพื่อนมัสการพระธาตุนาดูน พร้อมบวงสรวงพระธาตุนาดูนด้วยของไหว้ 9 อย่าง ทั้งผลไม้ น้ำผึ้ง ข้าวสวย ข้าวเหนียว ล้วนเป็นของพื้นบ้านอีสาน โดยพรหมสีลา เที่ยงธรรม พรหมประจำพระธาตุเป็นผู้ประกอบพิธี และถวายผ้าห่มพระธาตุความยาว 108 เมตร โดยความยาวของผ้ามีความหมายว่า ปัญหาร้อยแปดที่พันตัวให้ผ่านพ้นไป ทั้งนี้พระธาตุนาดูนเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2528 โดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ทำหน้าที่วางศิลาฤกษ์
จากนั้นรักษาการนายกฯ พร้อมคณะได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน แหล่งรวบรวมข้อมูลอนุรักษ์และจัดแสดงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวัฒนธรรมชาวอีสาน พร้อมรับฟังบรรยายสรุปแผนงานโครงการในพื้นที่ จ.มหาสารคาม โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเส้นทางหลวงเพื่อเพิ่มศักยภาพด่านการคมนาคมของจังหวัด และรับฟังศักยภาพการกักเก็บน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ เพื่อใช้อุปโภคบริโภคของจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียง โดยภาพรวมสามารถบริหารจัดการน้ำได้หลังจากที่ได้มีการบูรณาการส่วนงานต่างๆ ร่วมกัน
นอกจากนี้ เธอยังโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ว่า "หลังจากตรวจราชการในพื้นที่ จ.มหาสารคาม และ จ.กาฬสินธุ์ มาทั้งวัน ก่อนเดินทางไกลต่อไปที่ จ.อุดรฯ ขอแวะซื้อขนมเติมพลังระหว่างเดินทางหน่อยนะคะ" โดยมีรูปเธอโพสท่าหยิบขนมในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าฝืนยิ้ม
"ปลอด" หยามกำนัน
ส่วนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า นายสุเทพเชิญคณะทูตจากประเทศต่างๆ เข้าพบ แต่ปรากฏว่ามีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการจาก 2 ประเทศ และผู้แทนเอ็นจีโออีก 2 กลุ่มที่เข้าพบ ตอนที่กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2553 ตนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ชี้แจงต่อคณะทูตเกี่ยวกับการชุมนุมในขณะนั้น ซึ่งประกอบด้วยเอกอัครราชทูตเกือบ 40 ประเทศ ซึ่งไม่เหมือนกับการชุมนุมของนายสุเทพ ในขณะนี้ที่คณะทูตส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
"ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าที่คุณสุเทพประกาศไม่สนับสนุนให้จัดการเลือกตั้งนั้น เพราะคุณสุเทพไม่ชอบการเลือกตั้งหรือเปล่า เพราะเลือกตั้งทีไรต้องแพ้ทุกที ดังนั้น เพราะว่าแพ้ตลอด คุณสุเทพจึงต้องปฏิรูปการเลือกตั้งให้เสียงข้างน้อยชนะ สร้างกติกาประชาธิปไตยแบบ กปปส.ให้เกิดขึ้นบนโลก ใช่ไหม?
คุณสุเทพครับ ผมเห็นคุณทางทีวี ปราศรัยบนเวทีแบบเหนื่อยๆ เหมือนคนป่วย ผมก็ขอแนะนำไปพบแพทย์บ้าง หรือลองหาเวลาไปกราบพระอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถือ พยายามข่มใจนั่งสมาธิ ย้อนมองดูตัวเองว่าไอ้ที่ทำๆ อยู่นี่มันดี มันงาม มันถูกต้องหรือครับ ผมรู้จักท่านดี และอยากให้ท่านดีเหมือนเดิมครับ " นายปลอดประสพระบุ
ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรค แถลงถึงกรณีที่กลุ่ม นกภป. นำโดยพล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ประธาน นกภป. แถลงจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมืองเพื่อรวมตัวกันขับไล่รัฐบาลว่า ถือเป็นความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของนายทหารเกษียณทั้งหลาย ที่เห็นรายชื่อคนมานั่งแถลงแล้วต้องยอมรับว่าเดาทางได้ไม่ยาก ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายทหารตำรวจเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้นำเหล่าทัพในขณะนี้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงเลวร้ายลงไปกว่านี้มาก
"กลุ่มคนเหล่านี้เหมือนหลับไป 20 ปีแล้วเพิ่งตื่นขึ้นมา อาจจะคิดตามโลกไม่ทัน ไม่รู้ว่าทหารยุคนี้เขาเป็นทหารประชาธิปไตยกันหมดแล้ว จะทำอะไรก็ต้องประเมินกระแสสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านเหล่านี้เป็นทหารแก่ แช่แข็ง ที่มาผิดที่ ต้องไปร่วมกับ กปปส. ไม่ใช่แตกแถวมาผิดเวลา ต้องย้อนหลังถอยเวลากลับไป 20 ปี แนวความคิดแบบนี้จึงจะมีคนฟัง" รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
กสม.เป็นห่วง
ขณะที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การชุมนุมวันที่ 22 ธ.ค.นี้ โดยระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่เพื่อยกระดับการชุมนุมตามพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ดังที่ปรากฏในสื่อมวลชนนั้น กสม.เกรงว่าสถานการณ์การชุมนุมดังกล่าวอาจหมิ่นเหม่ที่จะนำไปสู่ความไม่เข้าใจและนำไปสู่ความรุนแรง ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม.ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโปรดพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
กลุ่มผู้ชุมนุมต้องชุมนุมด้วยความสงบ และปราศจากอาวุธ ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง สื่อมวลชนต้องนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และต้องเป็นการสร้างสรรค์ ช่วยให้สังคมเกิดความสันติ รัฐบาล กลุ่มผู้ชุมนุม และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องช่วยกันป้องปราม ระมัดระวังและ ทำหน้าที่มิให้เกิดสถานการณ์อ่อนไหว เปราะบางที่หมิ่นเหม่ต่อความรุนแรงใดๆ และการปฏิบัติต่อกลุ่ม ผู้ชุมนุมต้องเป็นไปตามหลักการสากล โดยมุ่งอำนวยความสะดวกให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ
นพ.สามารถ ตันอริยกุล ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ในการวางแผนรับสถานการณ์การชุมนุมว่า เชื่อว่าในวันดังกล่าวไม่น่ามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่อาจพบการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังและสภาพอากาศ เนื่องจากผู้ชุมนุมมีหลายกลุ่มวัย
ส่วนการชุมนุมที่มีหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ทั้งเวทีใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ราชประสงค์ สวนลุมพินี อโศก และเวทีย่อย อุรุพงษ์ เจริญผล หัวลำโพง บางรัก ราชเทวี สามย่าน คลองเตย ประตูน้ำ เพลินจิต ทองหล่อ คาดว่าจะทำให้การจราจรติดขัดเป็นอัมพาตหลายพื้นที่ จึงประสานรถไฟฟ้าบีทีเอสในการขนย้ายลำเอียงผู้ป่วยแทน เบื้องต้นประสานไว้ 3 สถานี ดังนี้
1.การขนส่งทางทิศเหนือ ใช้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสนามเป้า ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล (รพ.) วิชัยยุทธ รพ.รามาธิบดี รพ.เปาโล 2.การขนส่งทางทิศใต้ ใช้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสุรศักดิ์ ส่งต่อไปยัง รพ.เลิดสิน รพ.ศิริราช และ 3.การขนส่งทิศตะวันออก ใช้สถานีเอกมัย ประสานส่งต่อที่ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.สิรินทร โดยการขนส่งดังกล่าวจะมีรถพยาบาลฉุกเฉินประจำตามจุด และใช้ทางด่วนในการขนย้ายผู้ป่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง ตั้งแต่ช่วงเย็นมีประชาชนทยอยเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากจนเต็มพื้นที่ ตั้งแต่แยกผ่านฟ้าลีลาศถึงแยกคอกวัว ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใญ่สวมเสื้อกันหนาว ภายหลังอากาศในพื้นที่เริ่มเย็นลง และเมื่อเวลา 19.45 น. นิสิตเก่าบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 30, 32, 36 นำโดยนายปรีชา ศรีอัศวกุล อดีตประธานรุ่น 32 ได้ขึ้นบนเวทีปราศรัยเพื่อมอบเงินจำนวน 327,000 บาท เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการชุมนุม ภายหลังดีเอสไอสั่งอายัดบัญชีเงินบริจาค "ครัวราชดำเนิน" บัญชีที่ใช้เพื่อช่วยเหลือการชุมนุม โดยนายสุเทพ กปปส. เป็นผู้รับมอบเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เครือข่าย กปปส. ประกาศบนเวทีเชิญชวนประชาชนให้ถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารทุกแห่ง ในวันที่ 23 ธ.ค. เพื่อตอบโต้รัฐบาลและดีเอสไอที่สั่งอายัดบัญชีของแกนนำและบัญชีบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือการชุมนุม
ช่วงค่ำวันเสาร์ นายสุเทพขึ้นปราศรัยว่า หลังการชุมนุมวันที่ 22 ธ.ค.แล้ว เราจะยืนประท้วงที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่าควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
เขายังกล่าวว่า มวลมหาประชาชนจะไปปิกนิกกลางถนน ปิดเมืองหลวงครึ่งวัน คน กทม.ไปไหนมาไหนต้องนั่งรถไฟฟ้าหรือเดิน ไม่ต้องใช้รถยนต์ เพราะไม่มีที่ให้วิ่ง โดยจะกระจายคนไปตามเวทีต่างๆ โดยตนไปเริ่มต้นเดินที่วงเวียนใหญ่ ข้ามสะพานสาทร ไปยังสวนลุมพินี
"เราจะสู้อย่างขาวสะอาด เพื่อให้ลูกหลานภูมิใจกับการต่อสู้ของเรา" นายสุเทพกล่าวในตอนท้าย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น