วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556



ปิดล้อมกกต.ม็อบป่วนเลือกตั้ง 9 พรรคย่องสมัครเช้ามืด

พท.ส่งปูปาร์ตี้ลิสต์เบอร์1ชุดดำป่วนปาประทัดยักษ์ คปท.จี้ ‘ธาริต’ เเจงอายัด

ป่วนรับสมัครเลือกตั้ง “ม็อบ กปปส.” บุกปิดล้อมทางเข้าออกสนามไทย-ญี่ปุ่นฯ ขณะที่ 9 พรรคการเมืองย่องเงียบเข้าสมัครตั้งแต่เช้ามืด มี พท.ด้วย ส่งปูเบอร์ 1 ปาร์ตี้ลิสต์ สมชาย เบอร์ 2 ส่วนอีก 26 พรรคเผ่นลงบันทึกประจำวันที่ สน.ดินแดง ด้านม็อบฮือบุกกดดันหวิดวุ่น เจอชายชุดดำป่วนปาประทัดยักษ์ 4 ลูกซ้อน ขณะที่ “กกต.” ยันใช้สนามไทย-ญี่ปุ่นรับสมัคร ส.ส.ต่อ ไม่เปลี่ยนสถานที่แน่ เล็งนัดวันจับสลากหมายเลข หลังวันที่ 27 ธ.ค. ด้าน “สุเทพ” ไม่สบายใจมวลชนคุกคามสื่อ วาง 3 มาตรการ รปภ.เข้ม ส่วน “ม็อบ คปท.” บุกดีเอสไอจี้ “ธาริต” แจง อายัดบัญชีแกนนำ ขณะที่เจ้าตัวยังกร้าวแยกสำนวนฟัน 38 แกนนำรายคน อ้างมีพยานหลักฐานชัด เล็งเชือดผิดกฎหมายเลือกตั้งอีกคดี
กปปส.ปิดล้อมไทย-ญี่ปุ่นทุกประตู
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชน กทม. ไทย-ญี่ปุ่น (ดินแดง) บรรยากาศการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ในวันแรกตั้งแต่ช่วงเช้า กลุ่มผู้ชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ปักหลักตั้งแต่คืนวันที่ 22 ธ.ค. ได้ปิดประตูทางเข้าทั้ง 6 ประตูเพื่อไม่ให้ผู้สมัครเข้าไปได้ โดยแกนนำได้ประกาศบนรถปราศรัย หากใครต้องการจะเข้าไปต้องข้ามหัวประชาชนไปก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่ กกต.บางส่วนที่เดินทางมาและสื่อมวลชนต้องรออยู่ด้านนอก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังอยู่ด้านใน โดยด้านในสถานที่รับสมัครมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ 7 กองร้อย ต่อมาเมื่อเวลา 08.15 น. มวลชน กปปส.จากเวทีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง เดินทางมาสมทบบริเวณหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง และสมทบกับมวลชนที่ปักหลักอยู่ก่อนหน้าแล้ว ต่อมา 09.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณหน้าประตู 2 ศูนย์เยาวชนฯ ได้เกิดเหตุวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสที่แต่งกายใส่สูทจนทำให้ผู้ชุมนุมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จึงทำให้ถูกรุมเป่านกหวีดใส่ จนทำให้ต้องหลบเข้ามาในรถถ่ายทอดสดของสำนักข่าวทีนิวส์ จากนั้นนายสมศักดิ์ต้องมาเดินคุ้มกันส่งนักข่าวดังกล่าวออกจากพื้นที่ชุมนุม โดยผู้ชุมนุมยังคงปักหลักบริเวณหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
ทหาร 390 นายคุมเข้ม
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การส่งกำลังทหารเข้าช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มีการเซ็นอนุมัติคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย (ร้อย รส.) จากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) จำนวน 2 กองร้อย ประมาณ 300 นาย พร้อมด้วยสารวัตรทหารจำนวน 90 นาย จากกองพันทหารสารวัตรที่ 11 (พัน สห.11) ออกปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยภายในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้ร้องขอ หลังมวลชนกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้เคลื่อนย้ายเข้าล้อมสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ กกต.และผู้สมัคร ส.ส.เข้าไปภายในได้ ผบ.ทบ.สั่งการให้กำลังทหารชุดดังกล่าวออกปฏิบัติภารกิจเข้าประจำที่ตั้งภายในสนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ตั้งแต่เวลา 20.00 น. คืนวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา และพร้อมปฏิบัติภารกิจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยคู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยกองทัพบกได้รับการร้องขอกำลังสนับสนุนจาก ศอ.รส. ซึ่งได้ผ่านกระบวนการตามขั้นตอน เพื่อขอกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลในส่วนของตัวอาคารสถานที่ เช่นเดียวกับการร้องขอให้ไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยที่รัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเน้นดูแลอาคารสถานที่เป็นหลัก ไม่ได้ดูแลในส่วนของมวลชนแต่อย่างใด เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ดูแลในด้านของมวลชน ซึ่งได้มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันชัดเจนแล้ว
9 พรรคเข้าสมัครกีฬาเวสน์ 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพรรคการเมืองที่มาสมัครก่อน เวลา 08.30 น. และเข้าไปในบริเวณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชน กทม. ไทย-ญี่ปุ่น (ดินแดง) มี 9 พรรคการเมืองประกอบด้วย 1.พรรคประชาธิปไตยใหม่ มาเวลา 03.00 น., 2.พรรคชาติพัฒนา มาเวลา 03.30 น., 3.พรรคเพื่อไทย มาเวลา 04.00 น., 4. พรรคดำรงไทย มาเวลา 04.55 น., 5.พรรคกสิกรไทย มาในเวลา 05.05 น., 6. พรรคถิ่นกาขาว มาในเวลา 05.21 น., 7.พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า มาในเวลา 05.25 น. และ 8.พรรคชาติไทยพัฒนา มาในเวลา 05.32 น. ขณะที่ เมื่อเวลา 07.40 น. นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ได้เข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อแล้ว
26 พรรค ลงบันทึก สน.ดินแดง
ส่วนที่ สน.ดินแดง ซึ่งเจ้าหน้าที่ กกต. ระบุว่า ใช้เป็นศูนย์ย่อยในการรับสมัคร เพื่อให้พรรคการเมืองที่ประสงค์จะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง มีตัวแทนพรรคเล็ก รวมถึงหัวหน้าพรรค ทยอยเดินทางมาแจ้งความประกอบการยื่นใบสมัคร โดยที่ต้องรับแจ้งความก่อนเพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันด้านเวลา ว่ามาถึงที่สมัครแล้วไม่สามารถเข้าภายในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น (ดินแดง)ได้ โดย ณ เวลา 08.30 น. มีพรรคการเมือง 26 พรรคเข้ามายื่นเอกสารเพื่อสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ประกอบด้วย 1.พรรคพลังประเทศไทย 2.พรรคเสรีนิยม 3.พรรคชาติสามัคคี 4.พรรครักไท 5.พรรคไทยมหารัฐพัฒนา 6.พรรคเสียงประชาชน 7.พรรครักษ์สันติ 8.พรรคภราดรภาพ 9.พรรคพลังสหกรณ์ 10.พรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย 11.พรรคแทนคุณแผ่นดิน 12.พรรคพลังประชาธิปไตย 13.พรรคเมืองไทยของเรา 14.พรรคประชาสันติ 15.พรรคพลังไทยเครือข่าย 16.พรรคครูไทยเพื่อประชาชน 17.พรรคยางพารา 18.พรรคคนขอปลดหนี้ 19.พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า 20.พรรคเครือข่าย ชาวนาแห่งประเทศไทย 21.พรรคประชาสามัคคี 22.พรรคเพื่อสันติ 23.พรรคไทยรักธรรม 24.พรรครักประเทศไทย 25.พรรคพลังไทยรักชาติ และ 26.พรรคภูมิใจไทย โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งตัวแทนมา
สรุป 34 พรรคสมัครปาร์ตี้ลิสต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ กกต. ได้สรุปรายชื่อพรรคการเมืองที่มาสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวันแรก ก่อนเวลา 08.30 น. ซึ่งตามกฎหมายถือว่ามาพร้อมกัน โดยมีทั้งหมด 34 พรรคการเมือง และมี 9 พรรคการเมือง ที่สามารถเดินทางมายื่นบัญชีรายชื่อที่สถานที่รับสมัครอาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ประกอบด้วย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคเพื่อไทย พรรคดำรงไทย พรรคกสิกรไทย พรรคถิ่นกาขาว พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ซึ่งพรรคสุดท้ายที่สามารถเข้ามาได้ถูกผู้ชุมนุมสกัด พร้อมทั้งมีการแย่งเอกสารหลักฐานไปด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงอนุโลมให้ส่งเอกสารโดยการโทรสาร
กกต.ยันขั้นตอนยังไม่สมบูรณ์
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมด้วยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย และนายประวิตร รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม ได้ร่วมกันแถลงข่าวภายหลัง กกต.เปิดรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในวันแรกที่อาคารกีฬาเวศน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง โดยนายสมชัย กล่าวว่า กกต.ยืนยันว่าจะดำเนินการรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อไปตามกำหนดการเดิม ระหว่างวันที่ 23-27 ธ.ค. เวลา 08.30-16.30 น. จนถึงขณะนี้ กกต.ยังไม่มีมติเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัครและยังไม่ขยายเวลารับสมัคร ดังนั้นผลของการยื่นเอกสารสมัครรวมถึงการลงบันทึกประจำวันของพรรคการเมืองต่างๆ ยังถือว่าไม่เป็นการรับสมัครที่สมบูรณ์เพราะยังไม่ได้ตรวจสอบเอกสาร ยังไม่มีการลงนามโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และพรรคการเมืองยังไม่ได้ชำระเงิน นอกจากนี้ กกต.ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติต่างๆ ของผู้สมัคร จึงยืนยันได้ว่า กกต.จะยังไม่จับสลากหมายเลขในวันนี้ (23 ธ.ค.) ส่วนข้อกล่าวหาที่ระบุว่า กกต.ลักหลับ เปิดรับสมัครตั้งแต่ช่วงเวลา 03.00 น. นั้น ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการเข้ามายื่นแสดงความจำนงว่าพรรคการเมืองจะลงสมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น การที่เจ้าหน้าที่ กกต.เข้าไปประจำการในอาคารกีฬาเวศน์ 2 ตั้งแต่เวลา 03.00 น. ก็เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดรับสมัคร ยอมรับว่า กกต.ขยันไปเตรียมการตั้งแต่ก่อนรุ่งเช้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการรับสมัคร ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า กกต.เปลี่ยนสถานที่ไปรับสมัครตามโรงพักนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะการเปิดรับสมัครทำได้ที่เดียวคืออาคารกีฬาเวศน์ 2 ซึ่งเป็นไปตามที่ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา
เตรียมนัดวันจับสลากหมายเลข
นายสมชัย กล่าวว่า การที่แจ้งให้พรรคการเมืองไปโรงพักเพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวันว่า มาถึงแล้วแต่เข้าไปสมัครไม่ได้ โดย กกต.จะถือเอาเวลาในการลงบันทึกประจำวันมาใช้ประกอบการจับสลาก โดยพรรคที่ลงบันทึกประจำวันหลังเวลา 08.30 น. จะได้เบอร์เรียงต่อจากพรรคที่มาก่อนเวลา 08.30 น. ถึงอย่างไรการรับสมัครก็ต้องทำภายในอาคารกีฬาเวศน์ 2 แม้จะต้องโรยตัวลงไปก็ตาม ส่วนที่มีข่าวว่า กกต.จะย้ายสถานที่รับสมัครและจับสลากที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์นั้น ไม่เป็นความจริง ไม่สามารถทำได้จนกว่า กกต.จะมีมติ โดย กกต.จะประชุมกันทุกวันเพื่อประเมินสถานการณ์ ขณะนี้ยังต้องรอดูจนถึงวันที่ 27 ธ.ค. จึงจะตัดสินใจได้ว่าจะนัดให้แต่ละพรรคการเมืองมาจับสลากหมายเลขในวันเวลาใด ซึ่ง กกต.จะต้องประกาศและดำเนินการอย่างโปร่งใส เปิดเผยต่อหน้าสักขีพยานและสื่อมวลชน โดยทุกพรรคการเมืองต้องเข้ามามีส่วนร่วม
กปปส.บุก สน.ดินแดงกดดัน
ขณะที่ กลุ่ม กปปส. ที่นำโดย ชุมพล จุลใส นายณัฐพล ทีปสุวรรณ นายสกลธี ภัททิยกุล และ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ได้นำรถเครื่องเสียงมาปราศรัยด้านหน้า สน.ดินแดง โดยนายชุมพล กล่าวว่า ที่มาในวันนี้ไม่ต้องการมาปิดล้อมสถานที่แต่ต้องการมาฟังนโยบายและอยากทำให้เห็นว่าสถานที่นี้ไม่ได้เป็นไปตามที่ กกต. กำหนดรับสมัคร ดังนั้นจะมาเปิดที่นี่ไม่เหมาะสม โดยช่วงแรกมีเหตุวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อแกนนำประกาศว่าขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่ายั่วยุการชุมนุม และอย่าให้ผู้ชุมนุมเข้าไปด้านใน แต่มี กปปส. ส่วนหนึ่งได้วิ่งตามบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ที่มายั่วยุเข้ามาในซอยแฟลตข้างสถานีตำรวจ แต่จากนั้นก็ไม่มีเหตุวุ่นวาย
ป่วนมือมืดปาประทัด สน.ดินแดง
จากนั้นเมื่อเวลา 11.25 น. เกิดเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด ด้านหลัง สน.ดินแดง ที่มวลมหาประชาชน กปปส. ได้ปิดล้อมไว้ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พรรคการเมืองต่างๆ มาลงบันทึกประจำวันแจ้งความจำนงว่าจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อก่อนเวลา 08.30 น. แต่ไม่สามารถเข้าไปภายในสถานที่สมัครรับเลือกตั้งได้ และ กกต.ได้แจ้งให้มาดำเนินการเพื่อจะนัดหมายรับสมัครในโอกาสต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่มีเสียงปืนดังขึ้น มวลชนต่างตระหนกตกใจลุกฮือ ทำให้แกนนำ กปปส. อาทิ นายชุมพล จุลใส และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันฑ์ ได้ประกาศให้มวลชนอยู่ในความสงบ และนั่งลงกับพื้นอย่างก่อความวุ่นวายใดๆ สักครู่ก็ประกาศว่า เสียงที่ได้ยินได้รับแจ้งว่า เป็นเสียงหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดระเบิด ทำให้มวลชนโห่ร้องอย่างกึกก้อง จากนั้นนายพุทธิพงษ์ได้รับแจ้งว่า เสียงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่หม้อแปลงไฟระเบิด แต่เป็นเสียงปืน ทำให้นายพุทธิพงษ์ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ รองผู้กำกับฯ สน.ดินแดง ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าไม่ใช่เสียงปืน และพื้นที่ที่เกิดเหตุนั้นเป็นนอก สน.ดินแดง แต่มาจากลานจอด
แกนนำถกป้องมวลชลคุกคามสื่อ
ส่วนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน ตัวแทนจากสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชน 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 2.สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย 3.สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และ 4.สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้เข้าพบ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. เพื่อหารือถึงเหตุการณ์การชุมนุมใหญ่ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่กลุ่มผู้ชุมนุมคุกคามการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สื่อข่าวทีวี ระหว่างการรายงานสด ทั้งนี้ การเจรจาหารือกันทั้ง 2 ฝ่าย ต่างมีมติร่วมกันว่าจะให้มีผู้ประสานงานโดยตรงเกี่ยวกับสื่อและถ้าหากเกิดเหตุร้ายใดๆ ก็จะมีอำนาจตัดสินใจแก้ปัญหาได้ทันที พร้อมกันนี้บริเวณพื้นที่การชุมนุมจะจัดพื้นที่สำหรับจอดรถถ่ายทอดสดให้อยู่รวมกัน เพื่อตัดปัญหาการคุกคามสื่อ และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนภาคสนามทุกสำนักข่าวติดปลอกแขนสื่อสีเขียว ที่ออกโดยสมาคมนักข่าวฯ และบัตรแสดงตนว่าเป็นผู้สื่อข่าว เพื่อสะดวกในการเข้าออกพื้นที่การชุมนุมทุกครั้ง และเพื่อความปลอดภัย ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กลุ่ม กปปส. กล่าวว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว และยอมรับว่าการ์ดที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาจากหลากหลายส่วน ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการดูแลและควบคุม แต่ตนจะพยายามทำความเข้าใจกับการ์ดเพิ่มมากขึ้น และจะมีกระบวนการหารือกับแกนนำที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการ์ด เพื่อทำความเข้าใจในการทำงานร่วมกับสื่อมวลชนให้มากขึ้น รวมทั้งจัดโซนนิ่งให้สื่อในการทำงาน
วาง 3 มาตรการ รปภ.สื่อ
ต่อมา นายเอกณัฏ พร้อมพพันธุ์ โฆษก กปปส. แถลงถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์การ์ดเวที มีการปิดล้อมพร้อมข่มขู่ผู้สื่อข่าวภาคสนาม ในระหว่างการรายงานสดสถานการณ์การชุมนุมว่า ในนาม กปปส. ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอโทษผู้สื่อข่าวภาคสนาม อย่างไรก็ตาม กปปส.ได้จัดให้มี 3 มาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้สื่อข่าว ดังนี้ 1.จัดพื้นที่พิเศษไว้ให้สำหรับรายงานข่าว 2.ทีมโฆษก กปปส.เตรียมผู้ประสานงานระหว่าง กปปส. สื่อมวลชน และการ์ด โดยจะติดสัญลักษณ์ชัดเจน และ 3.ตนพร้อมด้วย นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.ที่ดูแลการ์ดจะอบรมการ์ดอีกครั้ง ให้เข้าใจการทำงานของสื่อมวลชน และแกนนำจะพยายามประชาสัมพันธ์ให้ความร่วมมือกับสื่อมวลชนภาคสนาม การนำเสนอข่าวไม่ได้มาจากผู้สื่อข่าวภาคสนามอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงผู้บริหารสื่อด้วย จึงขอให้สื่อมวลชนเข้าใจกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นกัน เพราะเขารู้สึกไม่ดีเนื่องจากเห็นว่ามีคนพยายามของฝ่ายระบอบทักษิณเข้าครอบงำการนำเสนอข่าว
ม็อบยังคุกคามสื่อ
ต่อมาเวลา 15.00 น. บรรยากาศการชุมนุมที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กลุ่มผู้ชุมนุมยังปิดกั้นบริเวณรั้วสนามกีฬาโดยรอบ ไม่ให้บุคคลภายในทั้งผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ออกมาภายนอกสนามกีฬาได้ ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขึ้นมาล้อม พร้อมตะโกนขับไล่ และใช้มือตบ แสดงความไม่พอใจในการเสนอข่าวของผู้ประกาศข่าวช่อง 7 ที่กำลังรายงานสด พร้อมกับดึงเสื้อของช่างภาพโอบี ทำให้ผู้ประกาศช่อง 7 ได้ถอนการรายงานสด กลับสถานี ทั้งนี้ระหว่าง เก็บอุปกรณ์ผู้ชุมนุมได้ดึงสายเคเบิ้ลของกล้องไปมัดไว้ที่รั่วสนามกีฬา พร้อมบอกว่า กลับไม่ได้ ไม่อนุญาตให้กลับ โดยล่าสุดผู้สื่อข่าว สำนักต่างๆ ทั้ง ช่องทีเอ็นเอ็น ช่อง 5 ช่อง 7 ได้เริ่มถอนกลับสถานี เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะที่แกนนำในเวทีดังกล่าวนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่การชุมนุมหน้าสนามกีฬา และการปราศรัยบนเวทียังมีการโจมตีการทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง
ม็อบ คปท.บุกยึดดีเอสไอ
ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 12.00 น. นายนิติธร ล้ำเหลือ และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ได้นำมวลชนมาที่ทำการกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เพื่อร้องขอให้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอออกมาพบกับประชาชน และได้มีการปราศรัยโจมตีการทำงานของดีเอสไอจนกระทั่งเวลา 12.20 น. ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้ฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจและชุดปฏิบัติการพิเศษดีเอสไอ โดยไม่มีการตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้นจากเจ้าหน้าที่ และเข้ายึดอาคารดีเอสไอและประกาศให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจออกนอกอาคาร อย่างไรก็ตาม ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมมาถึงและสามารถเขาไปภายในตัวอาคารได้ มีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้เข้าไปในห้องทำงานของผู้สื่อข่าวประจำดีเอสไอ พร้อมต่อว่าถึงการทำงานอยู่เป็นระยะ รวมถึงมีการถ่ายภาพสื่อมวลชนที่อยู่ภายในห้อง ทำให้สื่อหลายแขนงที่นั่งทำงานอยู่ต้องอพยพออกจากห้องดังกล่าว จากนั้น เวลา 14.30 น. กลุ่ม คปท. ได้ทยอยเดินทางออกจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปยังพื้นที่ชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ดี ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมเดินกลับ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เข้าตรวจสอบความเสียหายของพื้นที่ภายในอาคาร ซึ่งเบื้องต้นกล้องวงจรปิดบางตัวถูกกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำถุงพลาสติกรวมถึงนำแก้วกระดาษปิดเลนส์กล้องไว้ และมีการทิ้งรองเท้าที่ใช้ปาใส่ภาพการ์ตูนล้อเลียนนายธาริตหลายคู่ ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของดีเอสไอก็ได้นำแผงรั้วเหล็กกลับมาวางเป็นแนวกั้นตามเดิม
“ธาริต” อ้างโน้ตบุ๊คหาย 2 เครื่อง
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า จากการที่แกนนำกลุ่ม คปท.และแกนนำกลุ่ม กปปส.ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาบริเวณภายในตัวอาคารของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ห้ามปรามแล้ว จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาอาคาร และได้เข้ามาบริเวณชั้น 1 และ ชั้น 2 ซึ่งได้รื้อค้นทรัพย์สินบางส่วน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของทางราชการสูญหาย จำนวน 2 เครื่อง และไมโครโฟนของนักข่าวช่อง 3 ซึ่งวางไว้ได้สูญหายไปเช่นกัน อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวทั้งหมด ซึ่งดีเอสไอจะดำเนินคดีกับผู้บุกรุกสถานที่ราชการ และลักทรัพย์ของทางราชการ โดยเฉพาะแกนนำ ทั้งนี้ ดีเอสไอจะไม่แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของความผิดในการก่อม็อบ ซึ่งดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว
แยกสำนวนฟัน 38 แกนนำ
นายธาริต กล่าวต่อว่า ในขณะนี้ได้ดำเนินการกำหนดแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาที่เป็นแกนนำตั้งแต่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กับแกนนำหลักรวมทั้งสิ้น 38 คน ขณะที่นายสุเทพนั้นศาลได้อนุมัติหมายจับไว้แล้ว ส่วนแกนนำอีก 37 คนพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหาแล้ว ที่ประชุมได้กำหนดแยกสำนวนคดีออกเป็น 38 สำนวน 38 คน โดยมุ่งเน้นการสอบสวนไปที่พฤติกรรมของการกระทำความผิดในลักษณะต่อเนื่องเกี่ยวพัน เชื่อมโยงกันมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิด แล้วแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งพยานหลักฐานมีความชัดเจนเพียงพอต่อการแจ้งข้อหาทั้ง 38 คน และหลังจากนี้จะมุ่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อได้สำเนาการเดินบัญชีธนาคาร (STATEMENT) ย้อนหลัง 6 เดือน จากทุกบัญชีทุกธนาคารมาเพื่อวิเคราะห์ความเชื่อมโยงทางการเงินไปกับบุคคลอื่นและกลุ่มทุนที่สนับสนุนเพื่อขยายผลการสอบสวนอีกต่อไป ยืนยันว่าการสอบสวนจะเป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพราะทำงานร่วมกันถึง 3 องค์กร จะไม่มีการกลั่นแกล้งหรือช่วยเหลือกันเป็นอันขาด เนื่องจากขณะนี้ปรากฏว่ามีกลุ่มคนได้กระทำความผิดต่อกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง โดยมีแนวโน้มจะร่วมกันกระทำความผิดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของ สตช. เพราะยังไม่ได้กำหนดให้เป็นคดีพิเศษ จึงได้ประสานงานกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เพื่อให้พนักงานสอบสวนของ บช.น.ดำเนินการต่อไป
“พท.” จี้ กกต.ฟัน กปปส.ขวางเลือกตั้ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.และคณะ นำมวลชนไปปิดล้อมอาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง สถานที่รับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.จนถึงวันนี้ ถือเป็นการกระทำท้าทายกฎหมาย ท้าทายอำนาจ กกต. มีการค้นตัวผู้สมัคร คุกคามสื่อ คุกคามเจ้าหน้าที่ กักขังเจ้าหน้าที่พรรค ตรวจค้นคนเข้าออก การกระทำเหล่านี้ตรงข้ามกับที่บอกว่าแค่มาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน กฎหมู่เหนือกฎหมาย ตอนนี้ความผิดสำเร็จแล้ว ขอเรียกร้องให้ กกต.ทั้ง 5 คน ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 76 มีโทษสูงสุดจำคุก 5 ปี ปรับถึง 1 แสนบาท รวมทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี นอกจากนี้ยังผิดมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่น บาท ขณะเดียวกันขอให้ กกต.ตรวจสอบด้วยว่าถ้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมืองรู้เห็นเป็นใจ ก็เอาผิดยุบพรรคการเมืองได้ ขอให้ กกต.ดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
“ยิ่งลักษณ์” เบอร์ 1 “สมชาย” เบอร์ 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับลำดับรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่พรรคเพื่อไทยที่ยื่นต่อ กกต.นั้น 10 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม 2.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี 3.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย 4.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ 5.นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม 6.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน 7.นายเสนาะ เทียนทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ 8.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ 9.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ 10.นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ
บ้าน 111-109 คัมแบ็กยึดหัวแถว
ขณะที่แกนนำคนสำคัญอย่างนายโภคิน พลกุล มือกฎหมายจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อยู่ในลำดับที่ 11 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผอ.เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย อยู่ลำดับ 12 ส่วนนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่ในลำดับ 14 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาที่เพิ่งนำคณะย้ายมาร่วมกับพรรคเพื่อไทย เป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 16 ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคอยู่ลำดับ 21 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการอยู่ลำดับที่ 39 นายพิชิต ชื่นบาน คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ลำดับ 37 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคลำดับ 38 ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา อยู่ลำดับ 41
โจกแดงไม่ตกขบวนการันตี ส.ส.
ในส่วนของแกนนำ นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกวางไว้ในลำดับที่ 19 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ลำดับ 20 วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ลำดับที่ 34 ขณะที่แกนนำ นปช.คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในโซนปลอดภัยประมาณลำดับที่ 40-50 คาดหมายว่าจะได้รับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น น.พ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายอดิศร เพียงเกษ นอกจากนี้ยังมีรายชื่อของนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ นายวัฒนา เมืองสุข มือประสานใต้ดิน นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย อยู่ในผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับประมาณ 40-60
ดัน “พงศ์เทพ” อะไหล่นายกฯ แทนปู
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 หรือไม่ แต่ทางพรรคได้เตรียมบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ถึง 2-3 คน เพื่อให้เหมาะแล้วแต่ช่วงเวลาแล้วแต่สถานการณ์การเมือง หากมีการเลือกตั้งและพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ เป็นแกนนำเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังไม่แน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดสินใจจะชูคนในครอบครัวชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าต้องให้ผู้ที่สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1 จะต้องเป็นนายกฯ เสมอไป เพียงแต่ระบุให้ ส.ส.โหวตเลือกนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหากสถานการณ์ที่ต้องสู้รบต่อไป กระแสม็อบเริ่มตีกลับไม่ขยายเป็นวงกว้างอย่างปัจจุบัน ก็จะชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หรืออีกแนวทางเลือกเก็บ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ให้บอบช้ำทางการเมืองมากกว่านี้ ก็จะหันมาชูนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 2 ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ในสถานการณ์ที่ยังต้องพึ่งพาความไว้วางใจจากคนในตระกูลในการขับเคลื่อนทางการเมืองที่กำลังแหลมคม อย่างไรก็ดี หากข้อเสนอปฏิรูปประเทศที่พรรคเพื่อไทยเสนอไป กลุ่ม กปปส.หรือเป็นที่ตอบรับจากสังคมวงกว้าง และเพื่อเป็นการลดกระแสคนในครอบครัวชินวัตรเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการบริหารประเทศนั้น ได้มีการมองไปถึงอีกหนึ่งนายกฯ สำรองที่จะชูมาเพื่อเป็นภาพลักษณ์ในการปฏิรูปประเทศ มีภาพที่ไม่ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านมากนั้น ซ้ำยังเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้วางใจขึ้นมาแทนเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 9 ที่ร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรม ไทยรักไทย พลังประชาชน เรื่อยมาถึงเพื่อไทย และยังเป็นมือกฎหมายภาพลักษณ์ดีในสายตาต่างชาติและนักลงทุน
วันที่ 24/12/2556 เวลา 6:26 น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น