วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ขจัดปัจจัยเสี่ยงสะสมเสบียง “ชิน” วางแผนกินรวบประเทศ วิเคราะห์การเมือง จาก ไทยโฟสต์ 24 March 2556




ขจัดปัจจัยเสี่ยงสะสมเสบียง ชินวางแผนกินรวบประเทศ
จากการบริหารงานรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกือบ 2 ปีมาจนถึงวันนี้ แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของพวกเขานั้นต้องการบริหารประเทศให้ยาวนานที่สุด เพื่อคุมกลไกรัฐและงบประมาณของประเทศ โดยไม่แคร์สายตาประชาชนทั่วไป อีกทั้งไม่สนใจประเทศชาติว่าจะล่มจมเช่นใด 
แม้กระทั่งมวลชนคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของตัวเองก็ถูกเพิกเฉยตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ก็ย่อมสะท้อนภาพออกมาชัดเจน กระบวนการใดที่กระทบต่อเสถียรภาพของตัวเองก็จะแขวนเรื่องดังกล่าวไว้ทั้งหมด ไล่ตั้งแต่สัญญาใจที่นายใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะต้องปรับ ครม.ทุก 6 เดือน ตอบแทนเจ้าหนี้ต่างๆ ที่เคยสนองงานให้แต่ก็ต้องถูกยื้อเวลาออกไปเพื่อป้องกันแรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย 
ไล่ตั้งแต่กลุ่มมัชฌิมาที่มี ส.ส. 7 คน ภายใต้การนำของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ยกทั้งตัวทั้งใจหวังจะแทรกตัวไปขอเอี่ยวตำแหน่งเล็กๆ ใน ครม. จากคนในพรรคเพื่อไทย รวมทั้งความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นเมื่อ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีต ส.ส.หลายสมัยจากจังหวัดเลย หากต้องคืนโควตาให้แก่นายยงยุทธติยะไพรัชอดีตแกนนำพรรคพลังประชาชน ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ ในพรรคก็วิ่งกันฝุ่นตลบเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเอง ยังไม่นับรวมหากคนเสื้อแดงไม่ได้ตำแหน่งใดๆเพิ่มหรือต้องถูกปรับออกอาจเกิดรอยร้าวขึ้นได้ง่าย  ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องตัดบทก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย เพื่อประคองให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารราชการแผ่นดินได้ราบรื่นไปก่อน และรอโอกาสที่เหมาะสม ไม่แน่อาจจะรอปรับ ครม.ยาวไปถึงคนบ้านเลขที่109พ้นโทษทางการเมืองในปลายปีก็เป็นได้
ในขณะเดียวกัน ระหว่างนี้ “นายใหญ่ก็เตรียมแผนสำรองเอาไว้ป้องกันล่วงหน้า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพลาดท่าแพ้ฟาวล์พ้นจากตำแหน่ง จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จเรื่องการให้อดีตสามีกู้เงินจำนวน30ล้านบาท
ด้วยการสั่งให้ นายเกษม นิมมลรัตน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวตัวเอง และพี่สาวของนายกฯ มาลงสมัคร ส.ส. เพื่อเป็นตัวตายตัวแทน หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องประสบอุบัติเหตุทางการเมือง 
แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็ให้นางเยาวภาช่วยดูแลงานทางด้านนิติบัญญัติเพื่อควบคุม ส.ส. และช่วยผลักดันกฎหมายต่างๆ ตามความต้องการ พร้อมทั้งแก้ปัญหาผู้ทรงเกียรติสันหลังยาวโดดประชุม จนทำให้สภาฯ ล่ม สร้างความอับอายให้แก่พรรคเพื่อไทย เมื่อการบริหารจัดการในพรรคเริ่มเข้าที่ ก็ถึงเวลาเลี้ยงกระแสคนเสื้อแดงมวลชนของตัวเอง ด้วยการสร้างประเด็นหลอก ปั้นนักแสดงนำชายคือ นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง ที่ไปรวบรวม ส.ส.จำนวน 42 รายชื่อ ทำท่าทำทางแสดงความบริสุทธิ์ใจ จะช่วยเหลือพี่น้องเสื้อแดงที่หลงผิดและต้องคดี ในเหตุการณ์จลาจลทางการเมืองเมื่อกลางปี 2553 ด้วยการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยกเลิกโทษให้บุคคลดังกล่าว 
แม้จะมีการยื่นให้บรรจุตามระเบียบวาระการประชุมสภาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยท่าทางแอคชั่นของนายวรชัย ที่ระบุว่าจะใช้เอกสิทธิ์ขอเลื่อนมาพิจารณาก่อน แต่ขอเท็จจริงกลับวางหมากให้คนในพรรคเพื่อไทยออกมาต้าน จนเรื่องถูกดองไว้ เท่านี้แกนนำ นปช. ก็เอาไปอ้างว่าทำเพื่อคนเสื้อแดง และมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการหลอกต้มต่อไปได้เรื่อยๆหรือไม่ตามมาด้วยแผนปูทางสร้างอำนาจระยะยาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการบัญชาเกมสั่งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา ได้แก่ มาตรา 237 ให้ยกเลิกการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และห้ามยุบพรรคการเมืองและพ่วงมาตรา 68 เกี่ยวกับสิทธิในการยื่นเรื่องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจะยื่นโดยตรงไม่ได้ต้องยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณาเท่านั้น 
โดยประเด็นหลักที่ต้องแก้ไขคือมาตรา 68 หากทำสำเร็จตามเป้าหมาย รัฐบาลก็สามารถโหวตรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ค้างอยู่ในการประชุมของรัฐสภาได้ทันที หรือภายหลังจากนั้นจะแก้ไขให้ยกเลิกมาตรา 309 เพื่อยกเลิกผลการไต่สวนของ คตส.ให้เป็นโมฆะ เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นโทษจากคดีต่างๆ ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น 
หรือแม้กระทั่งจะยุบศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และองค์กรอิสระ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะจะไม่มีช่องทางตามรัฐธรรมนูญใดอีกแล้ว ให้ผู้ไม่เห็นด้วยร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยับยั้งการกระทำได้ทันทีอีกต่อไป แม้แต่ส.ส.หรือส.ว.ก็ตาม รวมทั้งยังโยนเศษกระดูกให้แนวรวมอย่าง ส.ว.สายเลือกตั้ง ที่กำลังใกล้หมดวาระในปีหน้า ด้วยการแก้ไขมาตรา 111-118 และมาตรา 120 โดยให้มี ส.ว.เลือกตั้งจำนวน 200 คนเท่านั้น ยกเลิก ส.ว.สรรหาและให้ส.ว.เลือกตั้งสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ติดต่อกันโดยไม่ต้องเว้นวรรค 
หากทำได้สำเร็จจริง วุฒิสภาของไทยก็ไม่ต่างจากสภาทาสในสมัย ส.ว.ชุดปี 43 ที่ระบอบทักษิณยึดครองได้หมด ที่สำคัญยังเป็นกังวลว่าหากมีแต่วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง อนาคตอาจมีการช่วยเหลือให้มีการถอดถอนองค์กรอิสระที่รัฐบาลยังควบคุมไม่ได้ และเป็นปรปักษ์กับตัวเอง ได้แก่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นต้น 
ถัดมาคือการตระเตรียมกระสุนดินดำเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป ด้วยการรีบผลักดันร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ จำนวน 2.2 ล้านล้านบาท โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีเนื้อหา 4 หน้า รวม 19 มาตรา และจะพิจารณาในสภาฯ ในวันที่ 28-29 มี.ค.นี้
กรณีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เพราะเป็นการกู้เงินจำนวนมากที่สุดของประวัติศาสตร์ประเทศไทย และมีการตั้งข้อสังเกตว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นนั้นหรือไม่ เพราะเป็นโครงการระยะยาว 7 ปี และมีการใช้งบประมาณชัดเจนปีละ 3 แสนล้านบาท ที่สามารถตั้งงบเป็นรายปีได้ และที่น่าวิตกคือเป็นการละเมิดวินัยการเงินการคลังและทำให้พี่น้องชาวไทยเป็นหนี้ไปอีก50ปี 
ขณะที่การตรวจสอบตามกลไกของสภาฯ ก็ทำได้น้อย เพราะไม่มีการชี้แจงรายละเอียดของโครงการ มีที่มาที่ไป การใช้งบประมาณเป็นเช่นใด แตกต่างจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ถึงความเป็นไปได้ของโครงการ มิใช่การใช้อำนาจเต็มจากครม.เพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อรวมกับของเรียกน้ำย่อยก่อนหน้านี้คือการออกพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาทและขนมหวานที่กำลังจะตามมาคือร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ.2557จำนวน2.4ล้านล้านบาท 
มีการเปรียบเปรยว่าหากมีการทุจริตกันเกิดขึ้น เม็ดเงินจะตกหล่นกันมหาศาลถึงเพียงไหน 10%, 20% หรือ 30% และพรรคการเมืองอื่นๆ ก็จะไม่มีทางตระเตรียมงบประมาณเอาไว้ต่อกรกับพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อย่างแน่นอน 
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ ต้องภาวนาให้ศาลรัฐธรรมนูญยับยั้งการกระทำ และชี้ว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา169เพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2-3 ประเด็นข้างต้นขัดต่อรัฐธรรมนูญเช่นกัน เพราะจงใจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยที่เคยวางหลักเอาไว้ว่าศาลมีเขตอำนาจรับคำฟ้องได้โดยตรงรวมทั้งการแก้ไขยังเป็นการกระทำขัดกันซึ่งผลประโยชน์ในเรื่องการยกเลิกการเว้นวรรคการดำรงตำแหน่งของ ส.ว.เลือกตั้งอีกด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีคนเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความทั้ง2เรื่องแล้ว
นี่คือแผนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณคิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนจะต้องสดับฟัง รู้เท่าทัน และลุกขึ้นมาป้องกันสิทธิและหน้าที่ของตัวเองก่อนที่แผ่นดินไทยจะถูกกินรวบด้วยน้ำมือของคนตระกูลเดียว!!!
  ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น