วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิเคราะห์การเมือง โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1-15 มีนาคม 2556



เจรจากับ โจรก่อการร้ายใต้สร้างสันติหรือชักศึกเข้าบ้าน

http://www.manager.co.th/images/blank.gif


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
1 มีนาคม 2556 06:56 น.
สะเก็ดไฟ       
       การเดินทางไปมาเลเซียของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หุ่นเชิดนักโทษชายทักษิณในวันที่ 28 ก.พ.56 นับเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกท่วงท่าของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนจะผูกติดอยู่กับความเอื้ออาทรของ ประเทศมาเลเซีย อย่างน่าประหลาดใจ       
       นับจากที่มีข่าวว่านักโทษชายทักษิณ เดินทางไปพบกับกลุ่มพูโลที่มาเลเซียประมาณเดือนมีนาคม 2555 กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมาด้วยการลอบวางระเบิด ร.ร.ลีการ์เด้น หาดใหญ่ และอีกหลายจุด เพื่อแสดงศักยภาพของกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่และไม่คิดที่จะเจรจากับรัฐบาล       
       ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ผ่านมาเกือบปีแทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเรียนรู้และเพิ่มความระมัดระวังในการขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงกลับเดินตามรอยเท้าของนักโทษชายอย่างดื้อดึงต่อไป       
       กระทั่งนำมาสู่การประโคมข่าว เปิดโต๊ะเจรจากับกลุ่มที่ก่อความไม่สงบอย่างอึกทึกครึกโครม โดยมีมาเลเซียคอยกินรวบเพราะมีแต่ได้กับได้!       
       ที่บอกว่ามาเลเซียมีแต่ได้กับได้เป็นเพราะว่า รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายไปร้องขอให้มาเลเซียยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลอื่นไม่เคยมีใครดำเนินนโยบายเช่นนี้ นอกจากเป็นการประสานความร่วมมือด้านการข่าว และอื่น ๆ หาใช่ การใช้มาเลเซียเป็นสถานที่เจรจากับกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเป็นทางการโดยมีรัฐบาลไทยรับรองเยี่ยงนี้       
       มาเลเซียจึงได้หน้าได้ตาไปโดยปริยาย มากไปกว่านั้นการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อ้อนวอนขอให้ทางการมาเลเซียช่วยเป็นตัวกลางในการประสานให้เจ้าหน้าที่ไทยได้พบกับกลุ่มก่อความไม่สงบนั้น ก็เท่ากับเป็นการ ยกระดับกลุ่มเหล่านี้ให้มีตัวตนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นภายใต้การรับรองของรัฐบาลไทยเอง หลังจากที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนยอมรับสถานะดังกล่าว       
       เพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่จะทำให้ต่างชาติยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยได้ง่ายดายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเพราะนโยบายฉาบฉวยไร้สติของรัฐบาลน้องสาวนักโทษนั่นเอง       
       จะว่าไปก็ถือเป็นตลกร้ายอย่างยิ่งเพราะในยุคคิดใหม่ ทำใหม่ของ ทักษิณ ที่มีการยุบกลไกการแก้ปัญหาทั้ง ศอ.บต.และ พตท.43 ประกอบกับมีการอุ้มฆ่าอย่างกว้างขวาง ไปจนถึงเหตุการณ์ตากใบ กรือเซะ ที่เป็นบาดแผลเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้นั้น คนที่จุดไฟใต้ให้ลุกโชนอย่างทักษิณ ในขณะนั้นไม่เคยยอมรับว่ามีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโดยใช้คำพูดว่า       
       "ไม่มีการแบ่งแยกดินแดนไม่มีผู้ก่อการร้ายอุดมการณ์มีแต่โจรกระจอก"        
       หลังจากคำพูดพล่อย ๆ ของนักโทษชายทักษิณ ภาคใต้ก็ไม่เคยสงบอีกเลยจนมีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่าห้าพันคน และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็เริ่มต้นขึ้นในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ยังไม่สามารถยกเลิกได้       
       น่าเสียดายที่ชีวิตคนในพื้นที่รวมทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ทหาร ต้องเซ่นสังเวยไปกับนโยบายคิดใหม่ ทำใหม่ จนบรรลัยไปทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนที่ผู้เป็นน้องสาวอย่างยิ่งลักษณ์จะไถ่บาปให้กับพี่ชาย กลับเดินหน้านำประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ความเสี่ยงครั้งสำคัญอีกครั้ง       
       เพราะการเดินหน้านโยบายด้านความมั่นคงอย่างโฉ่งฉ่าง เนื่องจากมีเป้าหมายทางการเมืองนำหน้าความมั่นคง จนลืมถึงความละเอียดอ่อนของปัญหาที่มีหลากหลายมิติ ไม่ใช่ว่าให้มาเลเซียมาเป็นตัวกลางแล้วทุกอย่างจะจบได้โดยง่าย เพราะเป้าหมายของกลุ่มที่อ้างว่ามีอุดมการณ์คือ การแบ่งแยกดินแดน ประกาศเอกราช แยกรัฐปัตตานีออกจากราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยไม่มีทางยอมได้       
       การที่รัฐบาลเปิดทางเจรจา ประกอบกับมีนโยบายตั้งแต่การหาเสียงเกี่ยวกับ นครปัตตานีซึ่งอ้างว่าเป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจได้ว่า จะไปไกลกว่าเขตปกครองพิเศษหรือไม่ เพราะถ้าเป็นแค่เขตปกครองพิเศษกลุ่มที่ก่อความไม่สงบย่อมไม่พอใจ ที่สำคัญคือท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่อินังขังขอบกับปัญหาภาคใต้เท่าใดนักราวกับว่าถ้าตัดด้ามขวานไปได้ก็สิ้นปัญหามารำคาญหัวใจ       
       จึงไม่แปลกที่นกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะตีชิ่งไม่ร่วมเดินทางไปมาเลเซียกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพราะคงรู้ดีว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเดินเกมพลาดเจรจาผิดกลุ่ม กระทั่งเกิดเหตุรุนแรงตามมาได้ การไม่ไปร่วมด้วยจึงเป็นความปลอดภัยที่สุด เกิดเหตุร้ายก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เดินทางไปด้วย       
       ขนาดนกรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ยังหนีแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าการตัดสินใจของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะนำมาซึ่งสันติสุข ในเมื่อยังมีความไม่แน่นอนว่ากลุ่มที่จะมาเจรจากับรัฐบาลไทยนั้นจะกุมสภาพการเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้จริง ในเมื่อเพิ่งมีกลุ่มก่อความไม่สงบถูกวิสามัญฆาตกรรมไป 17 ศพจากการบุกโจมตีฐานทหารที่อ.บาเจาะจ.นราธิวาสและกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับกลุ่มพูโลที่รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะไปเจรจาด้วย       
       ที่สำคัญคือหลายคนที่เสียชีวิตไปนั้นคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบที่มีการใช้อำนาจรัฐกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมในยุคที่นักโทษชายทักษิณเรืองอำนาจ แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมองปัญหาจากพื้นฐานความจริงที่เกิดขึ้นกลับคิดง่ายๆแค่ว่ามาเลเซียคือคำตอบทุกอย่างที่จะช่วยได้       
       อาจเป็นเคราะห์กรรมของประเทศที่มี พี่น้องตระกูลชินเป็นผู้บริหาร พี่ชายจุดไฟในภาคใต้ น้องสาวกำลังชักศึกเข้าบ้านดึงมาเลเซียเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศ ยกระดับกลุ่มก่อความไม่สงบให้มีสถานะที่ชัดเจนมากขึ้น จนอาจนำไปสู่การแทรกแซงของนานาชาติตามมา
ชายแดนใต้เริ่มชุลมุน พังเพราะ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์!!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
1 มีนาคม 2556 07:48 น.
ผ่าประเด็นร้อน       
       แน่นอนว่าการเดินทางไปเยือนมาเลเซียครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยมีเป้าหมายสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการร้องขอให้รัฐบาลมาเลเซียโดยนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ช่วยอำนวยความสะดวกหรือช่วยไกล่เกลี่ยให้แกนนำโจรใต้ที่กบดานอยู่ที่นั่นเข้ามาเจรจา ซึ่งเชื่อว่าคงไม่ใช่เป็นความริเริ่มของเธอ แต่เป็นผลมาจากทีมงานกุนซือ หรือเป็นคำสั่งมาจากภายนอก ซึ่งในที่นี้เชื่อว่าเป็นคำบัญชาโดยตรงมาจาก ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง ขณะเดียวกัน นาทีนี้เชื่อว่าคนที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันในเรื่องดังกล่าวต้องมีชื่อของ พล.อ.ชวลิตยงใจยุทธ รวมอยู่ด้วย       
       สังเกตหรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ชื่อของ พล.อ.ชวลิต มักโผล่ออกมาอย่างผิดสังเกต ทั้งในเรื่องของการเข้ามาช่วยงานรัฐบาลในตำแหน่งต่างๆ ล่าสุดก็มีข่าวว่าจะมานั่งเป็น กุนซือใหญ่ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เข้ามาดูแลปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเอ่ยชื่อคนนี้ขึ้นมา หลายคนอาจรู้สึกขนลุกขนพองสยองเกล้า กับบทบาทในอดีตที่มีแต่เรื่องน่าเวียนหัว และสับสนวุ่นวายตั้งแต่หนุ่มยันแก่ จากลูกพี่กลายเป็นลูกน้องหรือแม้กระทั่งคนรับใช้ก็เป็นมาแล้ว       
       ข่าวคราวของ พล.อ.ชวลิตที่ผุดขึ้นมาไล่หลัง กลุ่มวาดะห์ที่นำโดย วันมูหะมัดนอร์ มะทา และเด่น โต๊ะมีนา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นหัวหน้างานด้านยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาชายแดนใต้แต่ไม่เคยลงพื้นที่เลย ซึ่งคนพวกนี้ล้วนมีสายสัมพันธ์ที่ดีมานาน กลายเป็นว่าการสร้างภาพสร้างผลงานในพื้นที่เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น       
       ขณะเดียวกัน การเดินทางไปเยือนมาเลเซียของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังเกิดขึ้นก็ล้วนสอดคล้องต้องกัน หลังจากก่อนหน้านั้นไม่นานมีการเคลื่อนไหวของแกนนำ กลุ่มพลูโลแบะท่าพร้อมเจรจากับรัฐบาลไทย แต่คำถามก็คือคนพวกนี้เป็น ของจริงหรือเปล่า และที่ผ่านมาไม่เคยแสดงบทบาทอะไรออกมานานแล้ว        
       หากจำกันได้ก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนก่อน ก็เคยมีการ จัดฉากเจรจากันมาครั้งหนึ่งแล้วที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ คราวนั้นมีข่าวปรากฏตามสื่อต่างประเทศออกมาว่า ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับลงทุนบินมาคุยด้วยตัวเอง และมีเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่เป็นคนกันเองปรากฏเป็นภาพออกมาว่ากำลังคุยหารือกับกลุ่มคนไทยบางกลุ่มในนามของกลุ่มต้มยำกุ้ง”       
       อย่างไรก็ดี ในเมื่อเป็นของปลอม เป็นการจัดฉากสร้างภาพ ทุกอย่างก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า กลายเป็นว่าขณะที่มีข่าวการเจรจาที่มาเลเซียแต่ฝั่งไทยก็ได้เกิดเหตุรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เป็นการแสดงศักยภาพของกลุ่มโจรให้เห็นว่า ของจริงอยู่ที่นี่อะไรประมาณนั้น       
       การริเริ่มเจรจากับแกนนำโจรใต้รวมทั้งความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เดินทางไปมาเลเซียเพื่อร้องขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องดังกล่าว ทำให้เห็นว่าการ สร้างภาพทางการเมืองเพื่อหวังผลในพื้นที่เริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีกครั้งหลังจากมีการตั้งกลุ่มวาดะห์เข้ามาเป็นที่ปรึกษา รวมไปถึงข่าวการตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ามาเป็นที่ปรึกษานายกฯฝ่ายความมั่นคง ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปอีกก็อาจเข้าใจได้ว่านี่อาจเป็นความพยายามแยกสลายเอกภาพภายในกองทัพทั้งในระดับบนและในพื้นที่ชายแดนใต้ก็เป็นได้       
       เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ชวลิต ก็เคยเป็นผู้นำกองทัพ มีลูกน้องมีเส้นสายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน        
       ดังนั้นหากสังเกตให้ดีจะพบว่าการริเริ่มเจรจาของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคงในสังกัดไม่ว่าจะเป็น ศอ.บต. และ สภาความมั่นคงแห่งชาติที่ออกมารับลูกอย่างดี แต่ตรงกันข้ามกับฝ่ายกองทัพที่มีปฏิกิริยาเฉยเมย หรือแม้กระทั่งแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนออกมาจากกองทัพภาคที่ 4 พร้อมทั้งเตือนให้ระมัดระวัง เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มโจรที่ต้องการแสดงศักยภาพ       
       และที่สำคัญให้จับตาความเคลื่อนไหวใหม่ที่อาจจะออกมา เช่น นครรัฐปัตตานี หรือเขตปกครองตนเองจะถูกจุดพลุขึ้นมาอีกในเมื่อมีชื่อของพล.อ.ชวลิตยงใจยุทธโผล่ออกมา        
       อย่างไรก็ดี หากให้สรุปกันแบบรู้ทันก็ต้องบอกว่านี่เป็นเพียงปาหี่สร้างภาพ สร้างสถานการณ์เพื่อให้สอดคล้องว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้น รัฐบาลมาถูกทาง และในท้ายที่สุดนี่ก็เพื่อหวังผลทางการเมืองในพื้นที่เพื่อแย่งชิงกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นคู่แข่งเท่านั้นเองไม่ใช่ต้องการแก้ปัญหาอย่างถาวร       
       เพราะในสถานการณ์จริง ปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้ตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามา ทุกอย่างไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่ดีขึ้น มีแต่แนวโน้มมั่วซั่วเละตุ้มเป๊ะมากกว่าเดิม เมื่อมองจากตัวบุคคลที่ส่งเข้ามารับผิดชอบ แค่เห็นหน้าก็หลับตานึกภาพออกแล้วว่าอนาคตจะเป็นแบบไหน!!
งานถนัด เหลิม บางบอนเล่นการเมืองโหมไฟใต้

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
1 มีนาคม 2556 08:04 น.
รายงานการเมือง       
       ความหวังที่จะนำสันติสุขคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีอยู่หรือไม่ และจะเกิดขึ้นระหว่างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังบริหารประเทศอยู่หรือไม่ เค้าลางแห่งความหวังน่าจะมีคำตอบตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นและเห็นกันอยู่ในปัจจุบันแบบคาตา       
       โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเลือกเอา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงรองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่ง ไม่มีใจและปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่พร้อมจะรับตำแหน่งดังกล่าว มาเป็นหัวเรือใหญ่ในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ที่เป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับฝ่ายบริหารในการบัญชาการดับไฟใต้       
       ท่าทีของ เฉลิมชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ไม่คุ้นเคยกับงานด้านนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด แต่ก็มิวายดิ้นไม่รอด เมื่อถูกไฟต์บังคับ เพราะมีการปรับ ครม.ปู 3” ปรากฏว่าไร้หัวหมู่ที่จะทำเรื่องนี้ต่อจาก "บิ๊กอ๊อด - พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" อดีตรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่ถูกเขี่ยออกแบบไม่รู้ตัว เนื่องด้วยสาเหตุเคาะโควตากันไม่ลงตัว       
       แม้จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว เฉลิมก็หาได้กระตือรือร้นจะทำหน้าที่แบบเป็นกิจจะลักษณะ ชนิดมีข่าวทีก็ให้สัมภาษณ์ที จะมากระโตกกระตากเอาก็ตอนที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ ขึ้นแบบถี่ยิบ ตั้งแต่คาร์บอมเจ้าหน้าที่ทหารที่ อ.รามัน จ.ยะลา ยิงพ่อค้าชาวระยองที่มารับซื้อผลไม้เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลาถึงจะเทกแอ็คชั่นทำมาดเป็นจะประกาศเคอร์ฟิว”       
       แต่กระนั้นก็เป็นเพียงไอเดียที่ไม่ได้มีการทำการบ้านมาอย่างดี เพียงแต่แอ็คชั่นเพื่อให้สังคมรับรู้ว่า เฉลิมเป็นผอ.ศปก.กปต.ไม่ได้นิ่งนอนใจขยับเขยื้อนและมีการเสนอไอเดียออกมาเรื่อยๆ       
       แถมยังมีเสียงนินทาลอยออกมาอีกว่า ในที่ประชุม ศปก.กปต.เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการประชุมว่าจะเอาหรือไม่เอาแนวคิด เคอร์ฟิวของ เฉลิมนั้นปรากฏว่า เจ้าตัวอ้างในที่ประชุมว่า จริงๆ แล้วไอเดียที่ปล่อยออกมารู้อยู่แล้วว่า อย่างไรหน่วยงานความมั่นคงก็ไม่เอา แต่แค่หาเรื่องไปตอบกระทู้ฝ่ายค้านในสภาเท่านั้น       
       และพอเสร็จศึก เคอร์ฟิวก็มีคิวให้ เฉลิมได้เล่นการเมืองอีกรอบ หลังมีกระแสข่าวว่า กำลังมีการเคลื่อนไหวแบบลับๆเกิดขึ้นระหว่าง นายใหญ่และ บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อทาบทามให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องภาคใต้ซึ่งกำลังเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลขณะนี้       
       เท่านั้นล่ะ เหลิม ณ บางบอนดิ้นพล่านออกมาเทกแอ็คชั่น สารภาพเลยว่าถูก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ดุเข้าให้หลังแสดงอาการไม่อยากทำงานดับไฟใต้ แถมยังถูกบังคับให้ลงไปสัมผัสพื้นที่ในดินแดนด้ามขวานเข้าเสียด้วย       
       แต่ก็ดันยังเล่นการเมืองไม่เลิก เมื่อมีข้อแม้ทึกทักบอกจะลงก็ต้องเมื่อเสร็จศึกชิงเก้าอี้ ผู้ว่าฯ กทม.ไปแล้วเท่านั้น       
       ตามจังหวะอ้างแบบนั้น เลยถูกสังคมลด แลก แจก แถม คำวิพากษ์วิจารณ์กันแบบยกใหญ่ โทษฐานลำดับความสำคัญโดยให้น้ำหนักการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง”       
       ทว่าก็ดูเหมือน เฉลิมจะมีของเล่นมาให้ได้หวือหวาตลอด ด้วยการเซ็นคำสั่งแต่งตั้ง กลุ่มวาดะห์มาเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในการช่วยให้คำปรึกษาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้       
       ตามอาการจรดน้ำหมึกกตั้ง วาดะห์ก็หวังสร้าง น้ำหนักให้เห็นถึงความตั้งใจในการบริหารประเทศ เพราะได้ภาพดึงคนในพื้นที่เข้ามาช่วย       
       แต่กระนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเพราะต้องอย่าลืมว่า กลุ่มดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นอดีตลูกพรรคของ บิ๊กจิ๋วสมัยยังอยู่พรรคความหวังใหม่ทั้งสิ้น การดึงเข้ามามองตามนัยการเมือง จึงแบ่งได้เป็นสองแบบคือ       
       หากดึง วาดะห์มาแล้วยังล้มเหลวอยู่ เฉลิมก็เสมอตัวเพราะไม่ได้เป็นคนคิดไอเดีย แต่กลับเป็น วาดะห์เองที่จะถูกตอกย้ำว่าเขาเหล่านี้หมดพลังและศักยภาพในพื้นที่แล้ว       
       แน่นอนว่าหากเป็นบิ๊กจิ๋วเข้ามาคุมก็ต้องดึงกลุ่มวาดะห์เข้ามาช่วยงานเช่นกัน       
       และอีกแบบคือ เป็นการสร้างขุมพลังอำนาจของ เฉลิมในพรรคเพื่อไทยให้ขยายมากขึ้น เพราะต้องอย่าลืมเช่นกันว่า ทุกวันนี้สถานะของ เฉลิมในพรรคไม่ได้มีกลุ่มก๊กที่ใหญ่ ไม่มีส.ส.อยู่ในกำมือ และหากเทียบกับบรรดาก๊กอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม กทม.ของ หญิงหน่อยสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ที่มีอยู่ในมือนับสิบคน ต้องถือว่า กลุ่มบ้านริมคลองดูด้อยไปเลย       
       อย่างไรก็ดี นอกจากการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางการเมืองข้างต้นแล้ว อีกดอกล่าสุดที่ดูจะเป็นชนิดแบบ การเมืองจ๋าก็หนีไม่พ้นข้ออ้างเรื่องของสาเหตุที่เจ้าตัวไม่ยอมลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างว่า เนื่องจากมีผู้ก่อการดีจ้องจะสร้างสถานการณ์ด้วยการวางระเบิดจุดนั้นจุดนี้กว่า 40 - 50 จุด หลังจาก เฉลิมเดินทางกลับ กทม. เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนภาคใต้รังเกียจ และไม่ยินดีต้อนรับ หัวหมู่ฝั่งธนเพื่อเป็นการดิสเครดิต       
       หากเป็นอย่างที่ เฉลิมอ้างจริง หมดสมัยรัฐบาลนี้บริหารประเทศ พี่น้องชาวด้ามขวานก็ยังไม่ได้เห็นหน้าตาผู้ที่ดูแลรับผิดชอบพวกเขาโดยตรงแน่นอน       
       ตามเกมการเมืองคิวล่าสุด ที่ เฉลิมกำลังเล่นกลอยู่ คือการส่งการ์ดเทียบเชิญ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ถาวร เสนเนียมส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ให้เข้าร่วมประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อให้ทั้งคู่ได้แสดงวิสัยทัศน์และบอกถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่และเปิดเผย       
       ตามหมากกระดานนี้ที่ เฉลิมวางเกมเอาไว้ว่า จะให้ทั้งคู่ได้ใส่กันแบบเต็มที่ ซึ่งหลังจากการประชุมผ่านไปและพบว่ามีการปฏิบัติตามแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์แต่ภารกิจดับไฟใต้ไม่สำเร็จ       
       “เฉลิมก็จะเอาแผลนี้ไว้ตอกลิ่ม ค่ายสีฟ้าว่า เป็นพรรคที่ดีแต่ค้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของพื้นที่ก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จ และจากนี้ทุกครั้งที่ ค่ายสีฟ้าออกมาตำหนิรัฐบาลในเรื่องนี้ ก็จะถูกบลั๊ฟกลับว่าเป็นพวกที่ ดีแต่พูด”       
       ตามแนวทางถนัดนักการเมืองที่ชอบเล่นการเมืองแบบเฉลิม”       
       อีกสิ่งที่ตอกย้ำถือความไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง ก็คือคิวปฏิเสธร่วมคณะไปมาเลเซียกับ ยิ่งลักษณ์ที่เจ้าตัวอ้างว่าติดปราศรัยช่วย จูดี้หาเสียง ทั้งๆที่ทริปนี้มีวาระสำคัญอย่างเรื่องไฟใต้เป็นหัวข้อหลัก แต่รองนายกฯที่รับผิดชอบกลับไม่ไปเสียอย่างนั้น       
       มองภาพรวมปฏิกิริยาของ เฉลิมตั้งแต่รับหัวโขนในตำแหน่ง ผอ.ศปก.กปต.เป็นต้นมาทั้งหมด ตอกย้ำได้ชัดหลักการที่มีมีแต่การเมืองล้วนๆ       
       และจะมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ หรือสำคัญ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยากจะจับต้องทำได้เพียงหวือหวาชั่วคราวเท่านั้น       
       เหนือสิ่งอื่นใดคนที่รับชะตากรรมก็คือ คนปลายด้ามขวาน
เผากรุงวอด ส่งเสาไฟฟ้ายังได้ล้านกว่า-แม้ว ไม่ชนะแต่ไม่แพ้ !!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
5 มีนาคม 2556 08:06 น.
ผ่าประเด็นร้อน        
       แน่นอนว่าผลคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เพิ่งผ่านพ้นไปหลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่านอกเหนือจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองหลวงที่มีอยู่อย่างเป็นกอบเป็นกำไม่น้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่นั่นเชื่อว่าคงยังไม่มากพอที่จะเอาชนะผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยไปได้อย่างแน่นอน       
       สำหรับคะแนนที่ออกมานั่นคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ตามตัวเลขกลมๆได้ถึงหนึ่ง 1.2 ล้านเสียง เอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยคือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ได้ 1.07 ล้านเสียง หากพิจารณาจากตัวเลขที่ทั้งสองฝ่ายได้รับก็ต้องถือว่าสูงมาก เป็นการทำลายสถิติเดิมที่ผู้สมัครในอดีตคือ สมัคร สุนทรเวช เคยได้รับคือหนึ่งล้านเศษไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งคราวนั้นคะแนนเสียงของ สมัคร ที่ได้รับก็ถือว่าสูงมากอยู่แล้ว       
       ดังนั้นถ้าพิจารณาเฉพาะกรณีของ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ได้คะแนนทะลุหนึ่งล้านคราวนี้รับรองว่าไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะแม้ว่าจะไม่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อเทียบกับสถิติคะแนนเก่าที่ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆได้รับเมื่อครั้งมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯในอดีตคราวนี้ปรากฏว่ามีคะแนนต่างกันลิบ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตผู้สมัครสองคนหลังสุด ไม่ว่าจะเป็น ยุรนันท์ ภมรมนตรี และ ประภัสร์ จงสงวนเต็มที่ก็ได้กว่า6แสนคะแนนเท่านั้น       
       ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนักอย่างเหตุการณ์ก่อจลาจลเผาเมือง เผากรุงเมืองหลวงของ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายในพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จนวายวอด แต่ก็ยังมีคนเทคะแนนให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ได้ถึงกว่าล้านคะแนน มันธรรมดาเสียที่ไหน       
       นอกจากนี้ที่ผ่านมาก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของคนพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเคยปรามาสคนกรุงเทพฯไว้ด้วยว่า แม้จะส่ง เสาไฟฟ้าลงไปก็ต้องเลือกอย่างแน่นอน และเมื่อผลออกมาปรากฏว่า เสาไฟฟ้าต้นนี้ก็เกือบได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯเสียด้วย       
       คำถามก็คือขนาดเห็นภาพจะจะคาตาแบบนี้ คนกรุงเทพมหานครยังเทคะแนนให้ถล่มทลายทำลายสถิติ แม้ว่าจะไม่ถึงกับชนะได้รับการชูมือ แต่ถ้าทำได้ถึงขนาดนี้รับรองว่าไม่ธรรมดา กลายเป็นว่าเสียงของพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและมั่นคง        
       ขณะเดียวกันมีคนไม่น้อยที่ไม่มีความรู้สึกรู้สากับเหตุการณ์จลาจลที่คนเสื้อแดงปิดกรุงเผา นำกำลังถ่อยเถื่อนบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ ข่มขู่ว่าจะทำลายโรงพยาบาลศิริราชให้ราบเป็นหน้ากลอง อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลงานห่วยแตกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ในความจริงก็เป็น หุ่นเชิด จากครอบครัวของ ทักษิณ เพราะจากระยะเวลาผ่านมาเกือบสองปีดูแล้วผลงานก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหนา ไม่ได้ต่างกับรัฐบาลก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับความพร้อมในมือกลับทำได้แค่นี้ก็ต้องถือสมควรถูกประณาม       
       อีกทั้งยังพบว่าหลายนโยบายยังล้มเหลว เกิดการทุจริตสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ที่เริ่มสร้างภาระทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) เริ่มมีปัญหาในเรื่องสถานะสภาพคล่อง ขณะเดียวกันยังทำให้ตลาดค้าข้าวทั้งภายในและการส่งออกรวนไปหมดแทบทั้งหมดมีแต่รายจ่ายขณะที่รายได้ที่เข้ามาแทบมองไม่เห็น       
       การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นไม่แพ้รัฐบาลก่อน มิหนำซ้ำอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป คำกล่าวที่เคยกล่าวหาคนอื่นว่า ดีแต่กู้ ดีแต่โกงไม่ต้องมาพูดถึงกันแล้ว การเล่นพรรคเล่นพวก ใช้อำนาจเข้าไปครอบงำ ช่วยเหลือพวกที่ทำผิดกฎหมายโดยไม่ต้องเกรงใจใคร       
       พฤติกรรมและความล้มเหลวดังกล่าวมาทั้งหมดกลับยังทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนไปถึงกว่าหนึ่งล้านเสียง เพิ่มขึ้นจากคราวก่อนอย่างมั่นคง และแม้ว่าในรายละเอียดอาจมีเรื่องของการใช้อำนาจรัฐเข้าช่วยบ้าง แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้จะบอกว่า ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยแพ้ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก       
       เพราะขนาดเผากรุงเทพฯจนเละเป็นจุล ผลงานรัฐบาลห่วยแตกทุกเรื่อง อีกทั้งยังมีเรื่องเอาเปรียบทำตัวเหนือกฎหมายคิดแต่เรื่องส่วนตัวมีแต่ข่าวผลประโยชน์ทับซ้อนคนก็ยังไม่สนใจยังเทให้ถึงขนาดนี้       
       ดังนั้นถ้าบอกว่า เสาไฟฟ้าที่ชื่อ พงศพัศ พงษ์เจริญ และ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ชนะการเลือกตั้งหรือ ศึกชิงเมืองหลวงก็อาจจะใช่ แต่ด้วยคะแนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและมั่นคงแบบนี้ธรรมดาเสียที่ไหน !!
คำสัญญา ไร้รอยต่อคน กทม.จะได้เห็นไหม?

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
5 มีนาคม 2556 08:05 น.
สะเก็ดไฟ       
       ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และเหตุผลของการเลือกครั้งนี้ มีเสียงสะท้อนจำนวนมากออกมาอย่างน่าสนใจว่า       
       ไม่ได้ปักใจอยากเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นพ่อเมืองกรุงเทพฯ อีกสมัยมากนัก แต่เป็นเพราะ หวาดกลัวถ้าไม่เลือกแล้ว เขาจะมากลัวว่าพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกำกับของนักโทษหลบหนีคดี ทักษิณชินวัตร หรือเสื้อแดงเผาเมืองจะยึดประเทศเบ็ดเสร็จ       
       หลายคนที่มีใจรักชอบผู้สมัครอิสระ อยากเห็น กทม.เปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ๆ อยากเป็นเสียงสะท้อนให้เกิดความแตกต่างบ้าง แต่ทว่ามันไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเกมการเมืองห้ำหั่นกันรุนแรงเกินไป การต่อสู้ระหว่าง 2 พรรคใหญ่ต้องระดมทุกสรรพเสียงมาคัดง้างกัน ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์เลือกผู้สมัครอิสระ หรือทางเลือกที่ 3เพราะจะกลายเป็นเสียของไป       
       ภาพรวมของผลคะแนนจึงออกมาอย่างที่เห็น ที่ 1 และ ที่ 2 คะแนนทะลุล้านทั้งคู่ สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ผู้สมัครลำดับที่3-5ได้คะแนนจิ๊บจ๊อยแค่หลักแสนหลักหมื่น       
       กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง เหมือนการเลือกตั้งสนามใหญ่ คุณสมบัติของตัวผู้สมัครไม่ค่อยมีคนคำนึงถึงมากนักในการเลือกตั้งครั้งนี้นโยบายต่างๆคนก็มองว่าใครมาก็เหมือนกัน       
       เหตุผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกขับเน้นให้เห็นเด่นชัดจากตารางคะแนน ฝ่าย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เป็นไปตามคาดหมายว่าเสียงรวมกันมาเป็นปึกแผ่นนับล้าน จากฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงที่ให้ตายอย่างไรก็เลือก ไม่มีเหตุผลอื่น ก่อนเลือกตั้งก็เตี๊ยมกันเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะต้องไม่มีตัวตัดคะแนนตัวเองโดดลงสนามมาด้วยแต่ต้องส่งคนไปตัดคะแนนชายหมู”       
       แต่ท้ายที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็แก้ลำได้ รณรงค์ไม่ให้เลือกผู้สมัครอิสระ เพราะจะทำให้เสียงแตก พร้อมตอกย้ำความน่ากลัว และความเกลียด ทักษิณและคนเสื้อแดง จนได้ผลชะงัด คะแนนไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าเบอร์ 16ทั้งหมด       
       การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้เป็นการตบหน้าโพลอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้สำรวจมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พงศพัศก็นำหน้าเข้าวินตลอด ประกอบกับความกร่างกร้าวของคนเสื้อแดงบางคนที่ออกมาพูดจาใหญ่โต มั่นใจหนักหนาว่าจะชนะแน่นอนตรงนี้อาจยิ่งเป็นแรงเหวี่ยงให้คนออกมาเลือกสุขุมพันธุ์มากขึ้น       
       ยิ่งไปกว่านั้นช่วงสุดท้ายยังมีข่าวว่า จตุพร พรหมพันธุ์ คางคกจะขึ้นวอ จะมาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.หากพรรคเพื่อไทยชนะ ก็ยิ่งขยายความเกลียดชังให้กว้างขวางมากขึ้นไปอีก คน กทม.ได้ยินได้ฟังแล้วขนลุกทั้งเกลียดทั้งกลัว       
       จนนอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ไหว ต้องลุกออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันอุตลุด เพื่อตบหน้าเครือข่ายคนเสื้อแดง รวมไปถึงรัฐบาลและทักษิณด้วยความหมั่นไส้และอยากสั่งสอน       
       การเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนชัดว่าการเมืองที่ต่อสู้ระหว่าง 2 ขั้ว คือพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงก้าวร้าวรุนแรงสมานฉันท์กันยากยังคงต้องต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันอีกหลายยก       
       ไม่รู้ว่าการทำงานระหว่าง กทม.กับรัฐบาลหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะเอาความไม่ลงรอยกันทางการเมืองเข้ามาปะปน ทิ่มหมัดใส่กันท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนอีกหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่าพร้อมทำงานร่วมกับ สุขุมพันธุ์ และสิ่งที่ ชายหมูตอบกลับว่าจะทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ       
       จะจริงจัง จริงใจกันมากน้อยแค่ไหน คนกรุงเทพฯ จะได้เห็นไหม?!!
หน้าแหกซ้ำซาก สำนักโพลถึงจุดเสื่อม

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
5 มีนาคม 2556 07:18
รายงานการเมือง       
       หน้าแหกต้องเอาปี๊บคลุมหัวกันเลยทีเดียว สำหรับสำนักทำโพลทั้งหลาย ทั้ง เอแบคโพลล์-สวนดุสิตโพล-บ้านสมเด็จโพล-กรุงเทพเทพโพลล์ในการสำรวจคะแนนนิยมผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มีการสำรวจคะแนนนิยมกันมาหลายรอบก่อนหน้าวันเลือกตั้ง3มีนาคม2556      
       ทุกสำนักฟันธงให้คะแนน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมนำมาตลอด จนถูกสร้างกระแสว่าจะได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร      
       โดยเฉพาะหลายสำนักอย่าง เอแบคโพลล์” - “สวนดุสิตโพลที่มีการเผยผลสำรวจ 2-3 ครั้งก่อนหน้าวันเลือกตั้งว่าคะแนน พล.ต.อ.พงศพัศ เหนือกว่าและมีโอกาสชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน คงมีเพียง บ้านสมเด็จโพลแห่งเดียวที่มีการเผยผลสำรวจก่อนหน้านี้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มีคะแนนนำ แต่ในการเปิดเผยผลสำรวจรอบสุดท้าย บ้านสมเด็จโพลกลับบอกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ คะแนนนิยมนำสุขุมพันธุ์      
       ยิ่งผลสำรวจ Exit Poll และ Entry Poll ของหลายสำนักเช่น สวนดุสิตโพล” - “บ้านสมเด็จโพลที่ร่วมกับทีวีพลูและมหาวิทยาลัยเนชั่นที่ประกาศหลังปิดหีบเลือกตั้ง ผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกแห่งว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. รวมถึง เอแบคโพลล์ที่ใช้การทำแบบ Pre-Election Poll คือการสำรวจจากประชาชนก่อนหน้าวันเลือกตั้งหนึ่งวันคือ 2 มีนาคม ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนเช่นเดียวกันหลังปิดหีบเลือกตั้งเอแบคโพลก็บอกว่าพล.ต.อ.พงศพัศจะชนะการเลือกตั้งเหนือสุขุมพันธุ์      
       คงมีเพียงนิด้าโพลแห่งเดียวที่บอก่วาสุขุมพันธุ์มีคะแนนนำในการทำExitPoll      
       สิ่งที่เกิดขึ้นคงทำให้หลายสำนักโพลต้องทบทวนตัวเองได้แล้วกับการทำสำรวจความคิดเห็นประชาชนในลักษณะการทำโพลเลือกตั้งแบบนี้ว่า      
       ทำไมจึงเกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้บ่อยครั้งเช่นนี้      
       โดยเฉพาะโพลบางสำนักที่การเลือกตั้งใหญ่ปี 2554 ก็หน้าแหกกับการทำโพลแบบนี้โดยเฉพาะ Exit Poll ที่ผิดพลาดขนาดหนักจนทำให้แทบสิ้นชื่อกับการทำนายผลการเลือกตั้ง ส.ส.เขตกรุงเทพมหานครที่ตอนนั้นบอกว่าเพื่อไทยจะชนะประชาธิปัตย์แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้ามกลายเป็นประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เขตทิ้งห่างเพื่อไทยแทบไม่เห็นฝุ่น      
       แทนที่สำนักโพลที่ทำผิดพลาดในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วอย่าง สวนดุสิตโพลจะกอบกู้ชื่อเสียงตัวเองให้ได้ในการทำโพลเลือกตั้งครั้งนี้ หรือ Exit Poll และ Entry Poll แต่ก็กลับเป็นการสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ตามมาอีก      
       จริงอยู่ว่า ความคลาดเคลื่อนในการทำโพลนั้นย่อมเกิดขึ้นตามหลักสถิติและกระบวนการวิจัยเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพราะการทำโพลเป็นการทำกับ พฤติกรรมมนุษย์ซึ่งไม่สามารถวัดค่าความแน่นอนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ย่อมมีความคลาดเคลื่อนได้      
       ยิ่งกับคนกรุงเทพมหานคร ที่ต้องยอมรับความจริงว่ายังคงมีความเคลือบแคลงต่อการทำโพลอยู่ เวลามีการสอบถามหน้าคูหาเลือกตั้งหรือในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็อาจให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงได้      
       อย่างไรก็ตาม ตัวสำนักโพลทุกแห่งก็มักออกตัวก่อนว่าการทำโพลมีสิทธิ์คลาดเคลื่อนได้ ในระดับไม่เกินร้อยละ 7 โดยอ้างสาเหตุต่างๆ เช่น การเก็บตัวอย่างอาจไปเก็บจากคนที่ต้องการจะเลือกผู้สมัครพรรคนั้นหรือผู้สมัคคนนั้นอยู่แล้วเวลาเอาผลมาประมวลก็เลยทำให้ค่าของโพลคลาดเคลื่อนออกมากับข้อเท็จจริง      
       แต่ข้อแก้ตัวเรื่องดังกล่าว ว่าไปแล้วก็ฟังไม่ขึ้น เพราะการทำโพลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้มีการทำโพลหลายรอบและมีการวิจารณ์กันมาตลอด แต่สำนักโพลก็มักอ้างว่ามีความแน่นอน น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะบางสำนักถึงกับประกาศก่อนหน้าวันที่ 3 มีนาคมว่าผล Exit Poll และ Entry Poll จะมีค่าความคลาดเคลื่อนน้อยมากไม่เกินร้อยละ7      
       เช่น บ้านสมเด็จโพลที่ร่วมกับทีวีพูล และม.เนชั่นที่บอกว่ามีการจะเก็บตัวอย่าง Exit Poll ครั้งนี้ทำกันค่อนข้างเยอะ คือ 1 เขตจะเก็บประมาณ 400 ตัวอย่าง โดยแต่ละเขตจะมีคนไปทำ Exit poll ประมาณ 40 คน คนละ 40 ตัวอย่าง ก็จะได้เขตละ 400 ตัวอย่าง เท่ากับทั้งกรุงเทพฯ ตัว Exit Poll ก็จะสำรวจออกมา 20,000 ตัวอย่าง ตามหลักวิชาการก็จะได้ค่าความเชื่อมั่น 99 เปอร์เซ็นต์ ค่าความคลาดเคลื่อนจะแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ และมีการประกาศผลออกมาหลัง15.00น.ว่าพล.ต.อ.พงศพัศจะชนะแต่แล้วก็ปรากฏว่าโพลเจ๊งยับ!      
       จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่สำนักโพลทั้งหลายต้องทบทวนตัวเองได้แล้วในเรื่องกระบวนการทำงาน การเก็บข้อมูล การสุ่มตัวอย่าง การตั้งคำถาม และการเผยแพร่ผลโพล เพื่อให้ผลโพลที่ออกมามีความน่าเชื่อถือมากที่สุดไม่ใช่ผิดพลาดบ่อยครั้งเช่นนี้      
       และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำให้สัมภาษณ์ของนพดล กรรณิกา แห่งเอแบคโพลล์ ที่บอกว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปเอแบคโพลล์จะทำการสำรวจโพลเลือกตั้งเพื่อสำรวจคะแนนนิยมของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทุกครั้งแต่จะไม่เปิดเผยอีกต่อไปแล้ว      
       เพราะหลังการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ผลโพลเลือกตั้งไม่ว่าของสำนักไหนคงถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถืออย่างมาก จนถึงขั้นเสื่อมไปเลยก็ว่าได้ 
ลุยกู้แหลก 2.2 ล้านล้าน-พ่วงดีเดย์ปิดเกมนิรโทษฯ ให้แม้ว!!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
6 มีนาคม 2556 07:26 น.
ผ่าประเด็นร้อน        
       หลังจากเสร็จศึกชิงเมืองหลวง และแม้ว่าฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ในนามพรรคเพื่อไทยที่ส่งผู้สมัครในชื่อ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จะพ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยคะแนนที่ได้มาถึง กว่าหนึ่งล้านเจ็ดหมื่นคะแนน รับรองว่าไม่ธรรมดาแน่นอน และทำให้คนพวกนี้มีความฮึกเหิมมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป       
       เพราะต้องไม่ลืมว่าหนึ่งล้านกว่าเสียงที่พวกนี้ได้มาจากคนกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะมีนักวิเคราะห์หน้าไหนออกมาอธิบายเหตุผลให้ซับซ้อนน่ารำคาญก็ตาม แต่ความจริงก็คือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านการ ก่อจลาจลเผาเมืองไปเมื่อเดือนพฤษภาคม2553เหตุการณ์เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน       
       ใน พื้นที่ชั้นในผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพวกเดียวกับแกนนำคนเสื้อแดง เป็นลูกน้อง ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น หมายความว่าคนพวกนี้ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยหรือ       
       คะแนนที่ได้มาล้านกว่าเสียง มากกว่าจนก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครคราวที่แล้วเมื่อปี 2552 หรือจะใช้วิธีคิดแบบการเมืองของประชาธิปัตย์โดยเทียบคะแนนกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2554ก็ตามแต่ถึงอย่างไรคะแนนแบบนี้แม้จะบอกว่าไม่ชนะก็ใช่แต่ไม่แพ้แน่นอน        
       ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยเริ่มนิ่งและแน่นอนเข้าไปทุกที และที่สำคัญนี่คือพื้นที่ในเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร       
       นั่นเป็นภาพรวมๆ ที่แสดงให้เห็นว่า นับจากนี้ไปก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่เครือข่ายทักษิณจะเดินหน้าในสิ่งที่ต้องการได้ทุกเรื่อง เนื่องจากมีความมั่นคงในมวลชนที่สนับสนุนทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะนอกสภาจากเดิมที่มั่นคงในต่างจังหวัด แต่ล่าสุดจากผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทำให้มั่นใจได้ว่าเสียงในเมืองหลวงก็มีไม่น้อย เพราะขนาดผ่านเหตุการณ์เผาเมือง ผลงานรัฐบาลห่วยแตกทุกเรื่อง มีข่าวอื้อฉาวเรื่องคอร์รัปชัน ไม่เคารพกฎหมายเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องคนในครอบครัว ยังได้รับความนิยมอย่างน่าแปลกใจได้ถึงขนาดนี้       
       ดังนั้นอย่างที่เคยมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้สั่งให้หยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้ชั่วคราวเพื่อรอให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ได้ผ่านพ้นไปก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับคะแนนเสียง แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นแม้ว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ด้วยคะแนนดังกล่าว มองอีกมุมหนึ่งน่าจะทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นก็เป็นได้       
       ที่เห็นๆ โผล่มาก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทที่กำลังจะได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า จากนั้นตามกำหนดการเชื่อว่าจะเข้าสภาได้ภายในต้นเดือนเมษายนให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมซึ่งแน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวต้องเป็นเรื่องด่วนช้าไม่ได้เหมือนกัน       
       เงินกู้จำนวนมหาศาลดังกล่าว มีผู้เชี่ยวชาญบอกว่าทำให้คนไทยเป็นหนี้ต่อหัวไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปีก็ตาม ขณะเดียวกันอ้างว่าเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ทั้งบนดิน บนอากาศและใต้ดิน แต่ข่าวที่ตามมา ค่าต๋งชักเปอร์เซ็นต์รับเงินใต้โต๊ะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ล้วนเป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น       
       ส่วนเป้าหมายหลักที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ การผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ ทักษิณพ้นผิดและกลับเข้ามาสู่อำนาจการเมืองได้สะดวก ซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวเดินเครื่องแล้ว โดยเฉพาะเรื่องแรกนั่นคือ พระราชบัญญัตินิรโทษฯ ที่คราวนี้มอบหมายให้ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมล เป็นโต้โผนัดหลายฝ่ายมาหยั่งถามท่าทีในวันที่ 11 มีนาคมนี้ ก่อนเสนอเรื่องเข้าสภา       
       สะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดมีความรอบคอบรัดกุมมากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็แน่นอนว่าเนื้อหาในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้อง คลุมเครือเอื้อให้เกิดการตีความที่เป็นบวกกับ ทักษิณ นั่นแหละ ที่ต้องระบุอย่างนี้เป็นเพราะที่ผ่านมา ทักษิณ รวมไปถึงคนใกล้ชิดไม่เคยออกมาประกาศว่าจะไม่รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่หลายฝ่ายต้องการให้ครอบคลุมเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมและมีความผิดจากพระราชบัญญัติแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้นทำให้เกิดการชงักงันและเกิดการต่อต้าน       
       อย่างไรก็ดี หากติดตามมาตั้งแต่ต้นก็ย่อมรู้ดีว่าที่เกิดปัญหาความวุ่นวายจนลุกลามกลายเป็นจลาจลเผาเมืองที่ผ่านมาก็มีเพียงสาเหตุเดียวเป็นการต่อรองของ ทักษิณ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดเท่านั้น หรือหลังจากนั้นออกมาในรูปของพระราชบัญญัตินิรโทษฯและการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามลำดับ       
       ดังนั้น แม้ว่าทุกเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดจะไม่ใช่เรื่องใหม่ รับรู้กันมานานและตลอดเวลาเท่าที่ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจทางการเมือง หรือแม้กระทั่งพ้นจากเก้าอี้และต้องถูกขับไล่จนต้องหลบหนีอยู่นอกประเทศ และคราวนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งซึ่งมีเป้าหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพียงแต่ว่ามาในมาดใหม่และรัดกุมมากกว่าเดิมเท่านั้น!!
ลากคราบสื่อมวลชน อวยคนชั่วเอื้อทรราช

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 มีนาคม 2556 07:14 น.
สะเก็ดไฟ       
       5 มีนาคม วันนักข่าวผ่านไปแล้วอย่างเงียบเชียบ หรืออาจจะเรียกว่า เดียวดายคิดกันง่ายๆ วันที่ 1 พ.ค.ที่เป็น วันแรงงานยังดูว่าผู้คนจะตื่นเต้นมากกว่า เพราะอย่างน้อยวันแรงงานเราจะได้เห็นผู้ใช้แรงงานออกมายืนหยัดเรียกร้องสิทธิของตัวเองกันอย่างเข้มข้น       
       แต่เราไม่เคยเห็นนักข่าวใช้วันนักข่าวมาทบทวนการทำหน้าที่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมเพิ่มเติมกว่าที่เป็นอยู่       
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่บ้านเมืองมีความขัดแย้งสูง สังคมขาดองค์ความรู้ที่จะตัดสินเรื่องราวถูกผิดชั่วดี แต่ถูกชี้นำจากการบิดเบือนความจริงหรือวาระในใจของคนบางกลุ่มที่ต้องการกำหนดทิศทางใหม่ให้กับประเทศ       
       ในโอกาสนี้จึงเป็นเรื่องดีที่สื่อมวลชนที่ยังมีสำนึกรับผิดชอบต่อแผ่นดินเกิดของตัวเองจะได้ลองทบทวนการทำหน้าที่ของตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง และกำหนดบทบาทให้สื่อมวลชนเป็นหนึ่งในองคาพยพที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศนี้ไปอย่างถูกทิศถูกทาง ไม่ใช่ทำตัวเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ทำหน้าที่รายงานเรื่องราวต่างๆเท่านั้น       
       อย่างแรกที่เพื่อนสื่อมวลชนน่าจะลองทบทวนดู คือ เราให้คุณค่ากับเรื่องของบทบรรณาธิการว่าเป็นหัวใจสำคัญในการบอกทิศทางของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ แต่น่าแปลกใจที่บทบรรณาธิการดังกล่าว กลับถูกซุกไว้ในซอกหลืบของหนังสือพิมพ์ที่ไม่สะดุดตาชวนให้ผู้คนอ่านแต่อย่างใด       
       ทั้งที่บทบรรณาธิการจำนวนไม่น้อยมีคุณค่าในการนำเสนอความเห็นที่เป็นคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง แต่น่าเสียดายที่มีประชาชนน้อยเต็มทีจะเหลือบสายตาไปอ่านบทบรรณาธิการที่ทรงคุณค่าเหล่านั้น เพราะพื้นที่หน้าสามซึ่งเปรียบเสมือนทำเลทองถูกใช้ไปเพื่อธุรกิจการข่าวมากกว่าจะใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพูนปัญญาให้กับประชาชน       
       เราจึงเห็นหน้า 3 ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อวยคนชั่ว เอื้อทรราช ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างโจ๋งครึ่ม ที่น่าเศร้าคือ บทความหากินเหล่านี้กลับได้พื้นที่ดีมีคนอ่าน แตกต่างจากบทบรรณาธิการโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการสลับสับเปลี่ยนพื้นที่ให้บทบรรณาธิการมีที่ยืนอย่างเหมาะสมในหน้าหนังสือพิมพ์       
       นอกจากนี้ ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ ความล้มเหลวของโพลสำนักต่าง ๆ ที่หน้าแหกกันเป็นแถวจากการสำรวจความเห็นประชาชนในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และยังสะท้อนถึงปัญหาคนทำโพลว่ามีวาระทางการเมืองซ่อนเร้นแอบเอางานวิชาการไปทำมาหากินอย่างไม่อายฟ้าอายดินด้วย       
       ประเด็นที่สื่อมวลชนไม่ควรจะมองข้ามไปคือ โพลถูกสร้างโดยสื่อถามว่าถ้าสื่อมวลชนได้บทสรุปแล้วว่า ทั้งเอแบคโพลล์ หรือสวนดุสิต ล้วนไร้ความน่าเชื่อถือ ขาดความขลังทางวิชาการ เพราะขังตัวเองไว้ใน ถังแห่งผลประโยชน์จนไม่สามารถตะเกียกตะกายออกมาได้       
       สื่อมวลชนก็ต้องบอยคอต ไม่ให้คุณค่ากับนักฉวยโอกาสที่เอางานวิชาการมาหากิน ด้วยการไม่นำเสนอข่าวโพลรับใช้การเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง       
       คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ที่สื่อมวลชนจะมานั่งก่นด่าหรือเรียกหาความรับผิดชอบจาก เอแบคโพลหรือสวนดุสิตโพล เพราะเห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่า อย่างหนาห้าห่วง ในทางกลับกันสื่อมวลชนควรจะเริ่มต้นจากตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ในวิสัยที่สามารถทำได้ทันที คือ การเลิกนำเสนอข่าวโพลจากทั้งสองสำนัก โดยก้าวข้ามความคิดที่ว่ามันเป็นประเด็นข่าวที่เล่นได้ไปเสีย แต่ต้องคิดว่าข่าวจากสำนักโพลเหล่านี้สร้างประโยชน์ใดๆ ต่อสาธารณะหรือไม่       
       ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมือง แค่ผลสำรวจที่ว่าวัยรุ่นเตรียมเสียสาวในวันวาเลนไทน์ วิญญูชนก็พึงจะตัดสินได้ว่ามิใช่สิ่งที่จรรโลงใจหรือยกระดับสังคมแต่อย่างใด แล้วทำไมสื่อมวลชนยังนำเสนอข่าวเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่มองแบบฉาบฉวยว่าเป็นประเด็นที่เล่นได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจกลายเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดตามมา       
       ยิ่งในขณะนี้มีความชัดเจนอย่างที่สุดว่า บุคลากรที่ทำโพลนั้นมีความเชื่อมโยงอยู่กับอำนาจรัฐทั้งรับจ๊อบและตำแหน่งตามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประเคนให้ในขณะที่บางคนก็รับใช้เกินขอบเขตความวิชาการไปมาก       
       สื่อมวลชนจึงควรทำหน้าที่เป็นประตูเปิดปิดกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะไปถึงประชาชนว่า ข่าวไหนดี ข่าวไหนเน่า ไม่ใช่ปล่อยไปทั้งของดีของเสีย เมื่อโพลมันเน่าเชื่อถือไม่ได้ก็เลิกยัดเยียดให้ประชาชนเสพของเน่าได้แล้ว       
       เอาพื้นที่หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ไปลงข่าวที่ให้ประโยชน์กับประชาชน สะท้อนถึงปัญหาของประเทศให้มากขึ้นจะดีกว่า หากทำได้เชื่อเถอะว่าบรรดาโพลสำนักต่างๆ จะมีการขยับปรับเปลี่ยนกลับเข้าสู่ความเป็นวิชาการมากขึ้น เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่ให้ค่า กลุ่มคนที่หากินกับงานวิชาการก็หมดช่องทางเหมือนกัน
เจ๊หน่อยจ่อชุบมือเปิบ จับตาชนวนขัดแย้งรอบใหม่

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 มีนาคม 2556 07:33
รายงานการเมือง       
       หลังการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เสร็จสิ้นลงด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยไม่ทันไร ก็ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวเป็นชนวนให้ความขัดแย้งภายในกลับมาปะทุอีกรอบ!!       
       คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตเจ้าแม่ กทม.พรรคไทยรักไทย สวมบทเสือปืนไวโดดเข้าประชุมพรรคเพื่อไทยเรียก ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. ตลอดจน ส.ก.และ ส.ข.มาประชุมร่วมกัน ท่ามกลางความงุนงงว่าหล่อนเข้ามานั่งหัวโต๊ะประธานประชุมได้อย่างไรเพราะนึกว่าการประชุมวันนั้นเป็นการเรียกประชุมจากพรรค       
       นินทาให้เซ็งแซ่ว่า เป็นการอาศัยช่วงชุลมุนเข้ามาชุบมือเปิบ ดึงกิจการบริหารงาน กทม.เข้าสู่อุ้งมืออีกครั้ง โดยยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยเหนือ แต่เป็นความพยายามฉวยจังหวะเล่นเกมซ่อนเล่ห์เพทุบายตามถนัด!!       
       ทำเอาบรรดาทีมงานภาค กทม.บางคนเซ็งจิต เพราะป้องปากคุยกันภายในว่าการบริหารงานภายใต้การกำกับดูแลของ เดอะอ้วนภูมิธรรมเวชยชัย เลขาธิการพรรคดีกว่ายุคสุดารัตน์เป็นไหนๆ       
       เพราะมองว่าใช้ใจบริหารมากกว่าปัจจัยอื่น การเล่นพรรคเล่นพวกก็ไม่มี เอางานเป็นตัวตั้ง ไม่คิดว่าเป็นเด็กเขาเด็กเราต่างจากเจ๊หน่อยสิ้นเชิง       
       สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ฟ้องชัดเจนแจ่มแจ้งว่า สุดารัตน์ไม่เคย รามือไปอย่างเด็ดขาดตามที่ปากพร่ำบอกว่าจะขอหยุดการเมืองสักพักเพื่อไปดำเนินงานทางพุทธศาสนา       
       พยายามโปรโมตตัวเองให้มีบทบาทเด่นในอีกมิติหนึ่ง ดูดีมีธรรมะ แต่ใครหลายคนส่ายหน้าไม่คิดเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร!!       
       สิ่งที่ สุดารัตน์กำลังทำเรื่องพระพุทธเจ้าน้อยนั้น จริงอยู่เป็นเรื่องที่ดีน่าสนับสนุนยกย่อง แต่การมาโพนทะนาเอาหน้า มันดูเกินงามไปหน่อย ซึ่งก็เป็นไปตามถนัดอยู่แล้วทำงานเอาหน้า งานไหนไม่ได้หน้าไม่ทำ ความจริงการทำบุญแค่นี้ใครก็ทำได้เรื่องจิ๊บจ๊อยไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย       
       และการมาขยายความให้ใหญ่โต จะมีการแห่ไปตามเส้นทางต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ในวันที่ 11 มี.ค.นั้น ถามคนกรุงเทพฯหรือยังว่าเห็นด้วยหรือเปล่ามันจะให้รถราติดเปล่าๆปลี้ๆหรือไม่       
       เรื่องของงานบุญอะไรต่างๆ เอาเข้าจริงไม่รู้ว่า สุดารัตน์ควักกระเป๋าตัวเองสักกี่บาท ขอบริจาคมาแห่เอาหน้าหรือเปล่า และดูเหมือนว่าจะทำกันแบบไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที ไม่รู้ว่าต้องการเลี้ยงกระแสให้ตัวเองอยู่บนกระดานข่าวตลอดเวลาหรือไม่       
       การสวมบทเป็นผู้มีคุณูปการต่อศาสนาใครบางคนเห็นแล้วรับไม่ได้ เพราะตัวตนของจริงที่เคยสัมผัสน่ากลัวมากจนได้รับรางวัลเป็นฉายาตุ๊กตาทองสองหน้า       
       หากจะอวดอ้างตนเองว่าเป็นสตรีที่ทำประโยชน์ให้พุทธศาสนา ก็ให้ลองย้อนไปดูในอดีต ก็มีหลายคนเคยทำคุณูปการไว้เยอะแยะไม่เห็นจะมาอวดโอ่สรรพคุณอะไร       
       ผู้หญิงที่เคยกระทั่งสร้างวัดก็มีให้เห็นมาแล้ว อย่างวัดคณิกาผล ถนนพลับพลาไชย เขตป้อมปรายศัตรูพ่าย!!       
       เมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลม ยายแฟงนั้นรู้ว่าในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัด แกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมาที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น เพื่อต้องการให้สะดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดิน พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า วัดใหม่ยายแฟงเมื่อสร้างเสร็จแล้วแกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า วัดคณิกาผล       
       วันนี้เมื่อปลดล็อกจากบ้านเลขที่ 111 แล้ว และโอกาสที่จะเข้ามาเสียบเป็นเจ้าแม่กทม.อีกครั้งมีช่องทาง เจ๊หน่อยก็เสนอหน้าเข้ามาทันที ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ ใครจะค้าน ใครจะมองด้วยสายตาเหยียดหยามก็ไม่สน เข้าทำนองด้านได้อายอด       
       จากนี้ไปพรรคเพื่อไทยปั่นป่วนแน่ ด้วยสไตล์ลูกตื๊อ แย่งซีนแย่งฉากของ สุดารัตน์หาตัวจับยาก ถ้าไม่ใช่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด มาเบรกเกม รับรองต้านไม่อยู่แน่ เพราะแกนนำคนอื่นๆ เจ๊ไม่สน เที่ยวอ้างประกาศิตนายใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้       
       น่าสนใจเหลือเกินว่าความขัดแย้งฉบับ 2 นางสิงห์ จะกลับมาปะทุอีกหรือไม่ ยิ่งลักษณ์-สุดารัตน์เข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว!!       
       ยิ่งความพ่ายแพ้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ สุดารัตน์พยายามไล่ตำหนิข้อผิดพลาด โจมตีการทำงานของพรรคมากเท่าใด มันก็ยิ่งเหมือนไปชี้หน้าด่า ยิ่งลักษณ์มากเท่านั้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ ปูกรรเชียงถือเป็นแม่ทัพรับผิดชอบโดยตรงออกหน้าลุยหาเสียงด้วยตัวเอง       
       วันนี้พรรคมาประเมินข้อผิดพลาดแบบให้กำลังใจสู้ต่อ เอา 1 ล้านกว่าเสียงมาแปรเปลี่ยนเป็นพลัง แต่คุณหญิงสุดารัตน์กลับมองว่าเป็นข้อผิดพลาด ลบล้างความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเดินหน้าต่อ เสนอให้ล้าง ให้รื้อ ท่าเดียวเพื่อที่ตัวเองจะได้กลับมาเป็นใหญ่     
       ก็ไม่รู้ว่าคนข้างในจะคิดกันอย่างไรนายกฯจะสะท้อนใจมากน้อยแค่ไหน!!       
       รายการขบเหลี่ยมเฉือนคม เผชิญหน้าหลังจากนี้มีอีกแน่ จะต้องมาทบทวนกันจริงๆ จังๆ ว่าความผิดพลาดพ่ายแพ้ซ้ำซากเรื่อยมาในสนาม กทม. และการพ่ายแพ้ครั้งล่าสุด มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง       
       เพราะนินทาเชิงเปรียบเทียบกันให้แซ่ดว่า บริหารแบบ หน่อยยึดกลุ่มมุ้ง บริหารแบบ อ้วนยึดพรรค บริหารแบบหน่อยใช้กระสุนบริหารแบบอ้วนใช้นโยบาย       
       แกนนำพรรคเองก็รู้ดี สมัย หญิงหน่อยคุม กทม. เบิกปัจจัยอยู่ตลอด ผลงานมีมาแสดงมั่ง ไม่มีมั่ง แต่เบิกงบตลอด ผลงานก็ทรงๆ ทรุดๆ เขตไหนดีก็ดีอยู่อย่างนั้น เขตไหนแย่ก็ไม่กระเตื้อง ไม่รู้ไปอัดปัจจัยกันเฉพาะเขตเด็กในคาถาหรือเปล่า       
       วันนี้เครือข่ายเส้นสายของเจ๊หน่อยใน กทม.ยังถูกวางไว้ทุกซอกมุม การเปลี่ยนแปลงแบบนับหนึ่งใหม่ เริ่มต้นใหม่จริงๆ มีเสียงยุส่งออกมาถ้าให้ดีต้องกล้าๆ เปลี่ยน ถีบ เจ๊หน่อยและเครือข่ายออกไป ในเมื่อ ยิ่งลักษณ์ไม่ชอบหน้า อยากจะบริหารเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯเอง ก็เอาเลยเริ่มที่ไสหัวกลุ่มสุดารัตน์ออกไป
นักรบสุลต่านซูลู ทำ นาจิบโคม่า พิสูจน์ แม้วตัวซวย!?

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 มีนาคม 2556 07:50
ผ่าประเด็นร้อน       
       ใครจะนึกว่ารัฐบาลมาเลเซียโดย นาจิบ ราซัคที่กำลังใช้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้เก็บเกี่ยวแต้มต่อทางการเมืองเพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่กลายเป็นว่าเวลานี้ทุกอย่างกำลังพลิกกลับแบบหักมุมกะทันหันตั้งตัวไม่ทัน เพราะเหตุการณ์ปะทะกันที่รัฐซาบาห์ ซึ่งแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลมาเลเซียทุ่มกำลังเข้าปราบปรามขั้นเด็ดขาดทั้งด้วยการโจมตีด้วยเครื่องบินรบทางอากาศและใช้ทหารราบเข้าปูพรมเข้าเคลียร์พื้นที่เต็มพิกัดแต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อนานเกือบเดือนแล้ว       
       แน่นอนว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป และยิ่งนานเท่าใด ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของฝ่ายรัฐบาล ส่งผลสะเทือนมาถึงพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลปกครองมาเลเซียมานานหลายสิบปี และที่สำคัญมีความเสี่ยงสูงที่ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอาจจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรคร่วมฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์อิบราฮิมเป็นไปได้สูงยิ่ง       
       นักวิเคราะห์ประเมินว่าแค่สถานการณ์ปกติในปัจจุบันก็ถือว่ามีความสูสี และมีโอกาสพ่ายแพ้ได้ไม่น้อย แต่เมื่อมาเจอกับกรณีนักรบสุลต่านซูลู มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ สถานการณ์พลิกกลับแบบตาลปัตร มีแนวโน้มทิ้งห่างไปเรื่อยๆ        
       อย่างไรก็ดี เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์มากขึ้นก็ต้องอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปว่า กลุ่มนักรบดังกล่าวอ้างว่าเป็นคนในสังกัดของทายาทสุลต่านซูลู ที่เคยมีอำนาจปกครองในพื้นที่ตั้งแต่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และครอบคลุมมาถึงรัฐซาบาห์มาตั้งแต่ก่อนยุคอาณานิคม โดยพวกเขายกกำลังติดอาวุธที่คาดกว่ามีไม่ต่ำกว่า 180 คน ยกพลขึ้นบกที่รัฐซาบาห์ดังกล่าว อ้างว่าเพื่อมาทวงคืนดินแดนของบรรพบุรุษ และยังครอบครองพื้นที่นานเกือบเดือนแล้ว ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมาเลเซียก็ได้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามเต็มพิกัด แต่ก็ยังล้มเหลวไม่อาจผลักดันออกไปได้ มิหนำซ้ำยังมีข่าวว่ากลุ่มนักรบอิสลามทางใต้ของฟิลิปปินส์ได้ส่งกำลังนับพันคนเข้ามาเสริมอย่างลับๆแล้วทำให้เชื่อว่าสถานการณ์ยุ่งยากขึ้นไปอีก       
       จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอนว่ายอมส่งผลเสียทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง กลายเป็นว่ารัฐบาลอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถจัดการกับกองกำลังนอกกฎหมายได้เลย อีกทั้งการที่นักรบดังกล่าวสามารถยกพลข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นบกที่รัฐซาบาห์อย่างง่ายดายนั่นก็แสดงว่าการรักษาความมั่นคงของรัฐล้มเหลว       
       และแม้ว่านาทีนี้หากรัฐบาลมาเลเซียสามารถปราบปรามผลักกันออกไปได้สำเร็จ แต่ถ้ายังต้องใช้เวลานานนับเดือนมันก็ย่อยยับป่นปี้ทางการเมืองในตัวของตัวเองอยู่แล้ว        
       ขณะเดียวกัน หากยังจำกันเมื่อไม่กี่วันก่อน นาจิบ ราซัค ยังทำตัวเป็นพระเอกเมื่อทำตัว เป็นขาใหญ่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยนำรัฐบาลไทยของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาลงนามสันติภาพกับตัวแทนของกลุ่มก่อการร้ายบีอาร์เอ็น เพื่อสร้างภาพทางการเมืองหวังผลทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลไทยของยิ่งลักษณ์ก็หวังจะได้หน้าได้ตาตามไปด้วย       
       นอกเหนือไปจากนี้ จากปากคำของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคของมาเลเซีย ยังบอกว่ามี ทักษิณ ชินวัตร คนที่เกี่ยวข้องความรุนแรงในเหตุการณ์ตากใบและมัสยิดกรือเซะในอดีตซึ่งเป็นเชื้อไฟสำหรับปัญหาชายแดนใต้ที่ลุกลามมาจนถึงวันนี้       
       หากกล่าวเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าเขาก็ต้องการสร้างภาพให้เกิดความสำเร็จในการ ดับไฟใต้เพื่อ จงใจทำให้เห็นว่าเขาอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ ปาหี่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งยังหวังว่าอานิสงส์ในครั้งนี้จะส่งผลไปถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริงยังเกิดความรุนแรงที่เลวร้ายไม่เปลี่ยนแปลง       
       ดังนั้น ถ้าให้สรุปสถานการณ์ในตอนนี้กลายเป็นว่าทุกอย่างกำลังพลิกกลับตาลปัตร สำหรับ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีหลังจากที่เพิ่งกลายเป็น พระเอกแต่กำลังอยู่ในอาการโคม่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นักรบของสุลต่านซูลูบุกรัฐซาบาห์ และใช้เวลานานเกือบเดือนก็ยังไม่อาจปราบปรามลงได้ ทำให้ฝ่ายค้านที่นำโดย อันวาร์ อิบราฮิม มีโอกาสชนะเลือกตั้งและโค่นเขาลงจากอำนาจ ขณะเดียวกันยังสะท้อนความเชื่อของบางคนที่ว่า ทักษิณชินวัตรเป็นตัวซวยไปอยู่ที่ไหนพาฉิบหายที่นั่น       
       และเหตุการณ์หลายครั้งมันบังเอิญให้เห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน เกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วมเกิดพายุกระหน่ำรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่มีแนวโน้มพ่ายแพ้การเลือกตั้งก็ดันมี ทักษิณคนเดียวกันนี่แหละเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว 
       

จูดี้แพ้แบบวิน-วิน แม้วเตรียมตบรางวัล

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 มีนาคม 2556 08:02 น.
รายงานการเมือง       
       แพ้ได้ยังไม่ทันเก็บป้ายหาเสียงหมดกรุง บิ๊กจูดี้พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคเพื่อไทยเล่นบทงอแงจะกลับเข้ากรมเข้ากองเสียแล้ว       
       ตามคิวที่ออกมาสารภาพว่ารอให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ จะแจ้นหน้ามุดรั้วเข้าไปรายงานตัวเพื่อเข้ากลับเข้าทำหน้าที่ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)ตำแหน่งเดิมที่เคยลาออกมาทันที       
       ขณะที่ต้นสังกัดเก่าอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็ออกมารับลูกกันสนุกสนาน ทั้งลูกพี่ทั้งลูกน้องหน้าสลอนยืนยันหลักกฎหมายที่ พงศพัศจะคัมแบ็กกลับมากันเป็นแถว โดยเฉพาะ บิ๊กอู๋พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ออกมาเทคแอ็กชั่นว่า ได้รับทราบการแสดงเจตจำนงของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชารายนี้แล้ว       
       ซึ่งหากไม่มีอะไรผกผัน และไม่ต้องรอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผล คุณชายหมูม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ให้กลับเข้าไปดำรงเก้าอี้ตัวเดิมอีกสมัยแล้ว จูดี้ก็คงจะรีเทิร์นกลับ สตช.ไปล่วงหน้าแบบกลัวว่างงาน       
       อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายจะเปิดช่องอ้าซ่าให้ พงศพัศสามารถรีเทิร์นได้ตามชอบ แต่ก็จะเกิดคำถามจากสังคมที่อื้ออึงออกมาว่า สมควรแล้วหรือไม่ในเมื่ออดีตรอง ผบ.ตร.รายนี้ได้ถอดเสื้อสีกากีแล้วไปสวมชุดพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมือง การปฏิบัติตัวในตำแหน่งข้าราชการประจำอีกครั้งจะสามารถดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางได้อย่างนั้นหรือ       
       ขณะเดียวกัน การสวนกระแสสังคมโดยยินยอมให้ พงศพัศหวนกลับมานั่งเก้าอี้รอง ผบ.ตร. ตามเดิมก็อาจจะเป็นดาบสองคมให้ ยิ่งลักษณ์น้องสาวสุดที่รักของ ทักษิณกลายเป็นเป้านิ่งให้สังคมรุมประณาม       
       ทางนี้แม้จะทำได้และง่ายที่สุดแต่ก็เกิดผลเสียทั้งกับจูดี้และยิ่งลักษณ์เอง       
       แต่อีกมุมหนึ่ง หากมองถึงเหตุการณ์และการแต่งตั้งบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งต่างๆที่ผ่านมา แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี หาได้แคร์กับตรงนั้นแต่อย่างใด       
       มิหนำซ้ำ ว่ากันว่า พงศพัศกลับไปสวมชุดสีกากีเที่ยวนี้ เป็นการปูทางก้าวสู่ตำแหน่งเบอร์หนึ่งของวงการสีกากีในอนาคต เพราะอายุราชการยังเหลือเฟือถึง 3 ปี ที่สำคัญหากยึดตามลำดับความอาวุโสเจ้าตัวยังเป็น 1 ใน 2 คน ที่เป็นแคนดิเดตลุ้นคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร.ร่วมกับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์รอง ผบ.ตร.อีกคน       
       หากสุดท้าย ยิ่งลักษณ์และ ทักษิณเลือกที่จะให้ จูดี้กลับเข้าไปสวมชุดสีกากีอีกครั้งในรอบนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงถึงสูงมากที่บั้นปลายชีวิตราชการของเจ้าตัวจะจบลงด้วยตำแหน่งผบ.ตร.”       
       เพราะต้องอย่าลืมว่า นิสัยของ ทักษิณเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรเก้าอี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) การแต่งตั้งบุคคลเข้าไปเป็นบอร์ดและตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ใช้ตรรกะของการตอบแทนเป็นตัวตั้งเสมอมา       
       ใครจงรักภักดี ใครมีบุญคุณ ใครทำเพื่อพรรค ใครเชลียร์เก่ง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยหลักในการจัดวางเสมอมามากกว่าการดูเรื่องความรู้ความสามารถหรือความเหมาะสม       
       ย้อนกลับไปตอนที่ จูดี้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย ที่ต้องลงแข่งกับแชมป์เก่าเจ้าของในพื้นที่มาอย่าง ประชาธิปัตย์ดูว่าโอกาสจะเบียดถือธงแทบจะเป็นไปได้ยาก ย่อมเป็นการเสี่ยงมากสำหรับข้าราชการคนหนึ่งที่จะต้องถูกตราหน้าจากประชาชน       
       เชื่อว่าเรื่องของ สัญญาใจระหว่าง นายใหญ่และ จูดี้มีการตกลงกันเอาไว้แล้ว โดยสิ่งตอบแทนดังกล่าวจะต้องคุ้มค่ากับการเจ็บตัวครั้งแน่นอน       
       และตำแหน่งผบ.ตร.ก็คือหนึ่งในนั้นเพราะตำรวจร้อยทั้งร้อยก็ต้องอยากครอบครอง       
       กับอีกมุมหนึ่งในกรณีที่หนังม้วนนี้อาจพลิกตอบจบก็คือ พงศพัศเลือกที่จะไม่คัมแบ็กในตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ที่อาจสุ่มเสี่ยงจะทำให้ ยิ่งลักษณ์ถูกโจมตีจากสังคม รางวัลที่จะได้ก็ต้องคุ้มค่าพอๆ กับเก้าอี้ ผบ.ตร.แน่นอน       
       แน่นอนเมื่อไม่ได้กลับไปเป็นข้าราชการประจำ ก็ต้องอยู่ในสภาพตกงาน ก็จำเป็นต้องมองไปถึงตำแหน่งทางการเมือง และต้องเป็นตำแหน่งที่สมศักดิ์ศรี และฐานะ เพื่อให้คุ้มค่ากับการแลกในครั้งนี้ของตัวเอง มองอย่างไรหนีไม่พ้นเก้าอี้เสนาบดีตัวใดตัวหนึ่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์       
       แม้อาจจะดูเป็นไปได้ยากสักหน่อย อีกทั้ง จูดี้เองจะสนใจหรือไม่เมื่อเทียบกับเก้าอี้ ผบ.ตร.แต่กระนั้นหากมองบุคลิกและท่าทีที่ผ่านมาจะพบว่าเจ้าตัวเองก็หลงใหลกับเกมการเมืองมิใช่น้อย       
       ที่สำคัญ ตำแหน่งรัฐมนตรีถือเป็นความฝันของนักการเมืองทุกคน เพราะมีงบประมาณและอำนาจที่คอยล่อตัวล่อใจ ชีวิตนี้ใครได้นั่งจะถูกเรียกแทนตัวเองว่า ท่านรัฐมนตรีไปตลอดชีวิต เห็นได้ในหลายครั้งกับปรากฏการณ์นักวิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกครั้งที่จะมีการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ ฉะนั้นหากใครที่ถูกหยิบยื่นให้ โอกาสน้อยนักที่โบกมือปฏิเสธ       
       มองว่าหาก จูดี้เลือกข้อเสนอนี้ ผลพลอยที่ได้ก็จะเจ็บตัวน้อยกว่าการกลับเข้าไปเป็นข้าราชการประจำ       
       และความเป็นไปได้ของข้อเสนอนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกิดไม่ได้จริง เพราะหากมองดูคะแนนที่ พงศพัศกอบโกยมาถึงหลักล้าน ซึ่งกระซิบกระซาบในพรรคเพื่อไทยว่า หากเป็น เจ๊หน่อยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เจ้าแม่วังทองหลาง ก็อาจไม่ได้มากมายเท่านี้ ดังนั้นย่อมถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ อดีตผู้สมัครเบอร์ 9”ที่สมควรตกรางวัลให้งามๆ       
       แม้พฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมาของ นายใหญ่มักออกลูกโหดแบบ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลแถมยังไม่ชอบอุ้มไก่แพ้ แต่ต้นทุนล้านเสียงเศษของคน กทม.ก็ยากที่จะถีบส่งนายตำรวจรุ่นน้องคนนี้ได้ลงคอ       
       ถึงคิวนี้มองตามเหลี่ยม นายใหญ่ก็เชื่อว่าจะตกรางวัลให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่กลับไปคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร.ก็คงมีเก้าอี้เสนาบดีตัวย่อมๆไว้ให้รองก้น       
       พอออกมารูปนี้คงต้องบอกว่า จูดี้แพ้แบบ วิน-วิน
ดันนิรโทษกรรมแม้ว-แกนนำแดง-ไฟร้อนเผา ปูก่อนเมษา!!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 มีนาคม 2556 08:03
ผ่าประเด็นร้อน        
       เป็นไปตามความคาดหมายว่า หลังจากเสร็จศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว ทักษิณ ชินวัตร ก็จะส่งสัญญาณให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้ามาพิจารณาอีกรอบก่อนปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติในปลายเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ โดยเวลานี้ก็เริ่มดำเนินการในหลายรูปแบบในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่มีเป้าหมายเรื่องเดียวกันคือต้องการ ลบล้างความผิดให้แก่ ทักษิณเป็นหลัก แต่แน่นอนว่าก็ต้องพ่วงบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงเข้าไปด้วยโดยปริยาย       
       ความเคลื่อนไหวแรกที่เริ่มเดินเครื่องทันทีโดยผ่านโต้โผรายใหม่ คือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมลซึ่งก่อนหน้านี่ได้เคยหยั่งกระแสแต่ละกลุ่มการเมืองไปบ้างแล้ว และตัวเองก็ได้เคยไปหารือกับ ทักษิณ ชินวัตร ถึงที่บาเรนห์มาแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสื่อ เพียงแต่อ้างว่าเป็นการไปกินข้าวเที่ยงกันธรรมดา ซึ่งก็คงมีแต่ สุนัขโง่ๆเท่านั้นที่เชื่อ อย่างไรก็ดีเพื่อไม่ให้กระทบคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯของพรรคเพื่อไทยก็ต้องสั่งให้เบรกเอาไว้ชั่วคราวก่อน       
       เมื่อการเลือกตั้งผ่านไปแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินเครื่องเต็มกำลังอีกครั้ง แค่คราวนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดก็ต้องรอบคอบรัดกุม ที่สำคัญต้อง ตบตาให้แนบเนียนกว่าเดิม แต่เส้นทางที่ไปก็ยังมีหลายวิธีการเช่นเดิม       
       ตามกำหนดการที่เลื่อนวันนัดหมายเป็นวันที่ 11 มีนาคม รองประธานสภาฯ เจริญ จรรย์โกมล ได้นัดหารือกับตัวแทนจากสามสี่ฝ่าย เช่น พรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อขอความเห็นและทราบท่าทีหากมีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภา อ้างว่าเพื่อลดความขัดแย้ง       
       อย่างไรก็ดี ในส่วนของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยื่นหนังสือแสดงท่าทีไปยัง เจริญ จรรย์โกมล แล้วว่าขอคัดค้านการนิรโทษกรรมให้กับผู้ได้รับโทษอาญา คดีทุจริตทุกกรณี ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่กระทำผิดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติความมั่นคง และพระราชบัญญัติแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมไปถึงความผิดลหุโทษอื่นๆ นั้นมีท่าทีไม่ขัดข้อง ขณะเดียวกันเรียกร้องให้การหารือคลุมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ ด้วย เช่น ครอบครัวเจ้าหน้าที่รัฐผู้ค้าในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม       
       และที่สำคัญเรียกร้องให้ถอนร่างพระราชบัญญัติปรองดองจำนวน 4 ฉบับที่ค้างอยู่ในสภาออกมาให้หมด โดยย้ำว่าหากยังดึงดันเดินหน้าเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อล้างความผิดกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะชุมนุมใหญ่ทันที       
       แต่อีกด้านหนึ่ง กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่รวมถึง ส.ส.ที่เคยเป็นแกนนำคนเสื้อแดงมาก่อนก็ได้รวบรวมรายชื่อกว่า40คนเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภา        
       น่าจับตาก็คือ เนื้อหาในร่างที่เสนอ หรือที่เตรียมเสนอเข้าสภาว่าจะออกมาอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเข้ามาแบบดุ่ยๆประเภทนิรโทษลบล้างความผิดแบบ เหมาเข่งหรือแม้แต่ใช้วิธี คลุมเครือเพื่อตบตาให้แนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นแบบไม่ครอบคลุมถึงแกนนำหรือผู้สั่งการหรือเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม แต่ในความหมายก็คือแล้วจะพิสูจน์อย่างไรว่าใครคือผู้สั่งการ ใครคือแกนนำ เพราะก่อนหน้านี้บรรดาแกนนำเสื้อแดงหลายคนก็ออกมาปฏิเสธแล้วว่าตัวเองไม่ใช่แกนนำ สั่งการใครไม่ได้เพราะชาวบ้านที่มาร่วมชุมนุมนั้นมาด้วยใจและต้องการเรียกร้องความยุติธรรมเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งหากเป็นแบบนี้ แม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่เข้าข่ายผู้สั่งการจะต้องพ้นความผิดไปด้วย       
       ที่ผ่านมาทั้ง ทักษิณ และบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมดก็ยังไม่เคยออกมายืนยันยันอย่างเป็นทางการเลยว่าจะไม่รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับดังกล่าว ตรงกันข้ามมีแต่แสดงท่าทีจะเอาประโยชน์ให้ตัวเองพ้นความผิดพ่วงไปกับชาวบ้านคนเสื้อแดงไปด้วย ความหมายไม่ต่างจากการ จับเป็นตัวประกันเหมือนกับต้องการเกาะชายผ้าหลุดพ้นออกไปด้วย        
       นาทีนี้ไม่ว่าจะพยายามตบตาอย่างไรแบบไหน เชื่อว่าในสังคมเริ่มมีความคิดตกผลึกแล้วว่าจะไม่ยอมให้ คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เอาเปรียบ อยู่เหนือกฎหมายอีกต่อไป การเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ หรือว่ามาในชื่ออื่นก็ตาม แต่หากยังมีเนื้อหาคลุมเครือเพื่อให้ตีความเอื้อประโยชน์แล้วละก็เชื่อว่าสำเร็จยาก อีกทั้งยังต้องเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมาอีกรอบ เพราะเวลานี้สังคมส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นตรงกันแล้วว่าทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ผิดถูกว่ากันไป ซึ่งอีกทางหนึ่งมันก็เหมือนกับการ ค้นหาความจริงไปในตัวอยู่แล้ว       
       แต่สำหรับระดับชาวบ้านธรรมดาที่เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือพระราชบัญญัติความมั่นคง หรือขัดคำสั่งเจ้าพนักงานต่างๆนั้น เชื่อว่าในที่สุดแล้วทุกฝ่ายคงเห็นพ้องกัน ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหากไม่มีวาระซ่อนเร้น และกลายเป็นกลุ่มที่ยังปิดบังซ่อนเร้นก็คือ ทักษิณ กับพวกแกนนำเสื้อแดงที่ยังไม่ชัด ยังอ้างมั่วๆว่าต้องการ ปรองดอง ลดความขัดแย้ง ทั้งที่ต้องการลบล้างความผิดให้กับตัวเองเท่านั้นเอง       
       ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็มีแนวโน้มจะเกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีท่าทีอย่างไร จะอ้างแบบ ลอยตัวว่าเป็นเรื่องของรัฐสภาคงไม่ได้แล้ว และถ้ายังดึงดันเดินหน้าโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนทั่วไป แน่นอนว่าจะต้องเจอกับการชุมนุมขับไล่เป็นครั้งแรก ซึ่งอนาคตของรัฐบาลก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นสำคัญ หากต้องการสร้างกระแสความขัดแย้งจนพังในช่วงเดือนเมษายน ก็เดินหน้าร่างกฎหมายล้างผิดได้เลย!! 
วัดใจ ปูเสี่ยงพังดันนิรโทษฯ หรือดีเดย์กู้ 2.2 ล้านล้านด่วนกว่า!!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
11 มีนาคม 2556 07:49
ผ่าประเด็นร้อน       
       แม้ว่าจะดูภายนอกฉาบฉวยก็เห็นท่าทางขึงขังของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ส่วนใหญ่มาจากแกนนำคนเสื้อแดง ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภา โดยยื่นต่อ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และรับปากว่าจะนำเข้าบรรจุในระเบียบวาระภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้สังคมเริ่มจับตามอง ขณะเดียวกันบรรยากาศการเมืองที่เคยลดดีกรีลงมานานหลายเดือนทำท่าเพิ่มความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง       
       แน่นอนว่าเป็นเวลานานนับปีแล้วที่สังคมส่วนใหญ่เริ่มมีความคิดตกผลึกแล้วว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมี เจตนาซ่อนเร้นเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรและแกนนำคนเสื้อแดงให้พ้นผิดเท่านั้น โดยใช้ชาวบ้านที่เป็นคนเสื้อแดงระดับรากหญ้าเป็นตัวประกัน หรือขอพ่วงแอบอยู่ข้างหลังคนพวกนี้นั่นแหละ ซึ่งชาวบ้านรู้ทัน ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่พอมีความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวขึ้นมา ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากมวลชนที่ไม่เห็นด้วยทันควัน เพราะพวกเขาเห็นว่าการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบ และทำลายหลักนิติธรรม อีกทั้งยังไม่มีการค้นหาความจริงว่าถูกผิดเป็นอย่างไร ยังไม่ผ่านการชี้ขาดจากกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนนั่นคือการชี้ขาดจากศาลยุติธรรม       
       ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาทั้ง ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงบรรดาแกนนำที่ปลุกระดมชาวบ้านเข้าร่วมชุมนุมต่างก็มั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถูกกลั่นแกล้ง ก็ทำไมไม่ใช้กระบวนการทางศาลพิสูจน์ความจริงอย่างยุติธรรม อีกทั้งเวลานี้ฝ่ายของตัวเองก็เป็นรัฐบาลกุมกลไกอำนาจรัฐอยู่ในมือพร้อมสรรพจะไปกลัวอะไร หรือว่าการทำเช่นนี้ต้องการหนีความจริงซึ่งตัวเองรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว       
       ล่าสุด กลุ่มมวลชนที่ประกาศท่าทีชัดเจนว่าจะคัดค้านการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯรวมถึงเรียกร้องให้ถอนร่างนิรโทษฯรวมไปถึงร่างในชื่ออื่นที่คาอยู่ในสภา 4 ฉบับออกมาด้วย ไม่เช่นนั้นจะชุมนุมทันที และจะต่อต้านทุกรูปแบบซึ่งรวมไปถึงการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตรด้วย       
       อย่างไรก็ดี เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียดอย่างที่เห็น ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่เริ่มมีความเคลื่อนไหวเข้ามาพร้อมกันอย่างผิดสังเกต และคึกคักเป็นพิเศษ นั่นคือมหกรรมการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่านำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะระบบราง และถนน อ้างว่าเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและพลังงานในอนาคต       
       การกู้เงินดังกล่าวรัฐบาลจะเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อนำมาใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าว แต่ที่น่าสังเกตก็คือการกู้เงินครั้งนี้จะไม่ผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่แยกออกมาต่างหากทำให้มองว่านี่คือการเลี่ยงเลี่ยงจากตรวจสอบจากสภา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะอีกจำนวนมหาศาล       
       ตามตารางปฏิทินแล้วรัฐบาลจะอนุมัติและนำเข้าพิจารณาในสภาภายในเดือนนี้ เพื่อให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติวันที่20เมษายน       
       เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการโหมโรงจัดนิทรรศการใหญ่โตสร้างกระแส อ้างว่าเพื่อชี้แจงกับสังคม และดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาร่วมลงทุนก็ต้องบอกว่า เอาแน่และเดินหน้าเต็มกำลังเป็นเรื่องเร่งด่วนที่มีตารางเวลากำหนดเอาไว้แล้ว       
       แม้ว่าในเรื่องของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างหลักจะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าได้ประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่หรือการที่เสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติแยกออกมาจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีเพื่อต้องการตกแต่งบัญชีหนี้สาธารณะและเลี่ยงการตรวจสอบก็ตามแต่สิ่งที่ต้องจับตาตามมาก็คือ นี่คือการทำมาหารับประทานจาก ค่าหัวคิวแบบ ร้อยชักยี่สิบหรือร้อยชักสามสิบกับโครงการมูลค่ามหาศาลที่จ่อลงทุนตลอดทั้ง7-10ปีข้างหน้านี้       
       กลายเป็นว่านี่คือการทำมาหากินจากงบประมาณที่สังคมกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด และเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่าเรื่องใดทั้งหมดของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ในตอนนี้ ขณะเดียวกันเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่บรรดา ส.ส.ที่เป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดงเสนอเข้าสภาและยังค้างคาอยู่ในสภาในชื่อต่างๆ อีก 4 ฉบับ แม้ว่าจะเป็นเรื่องด่วนไม่แพ้กัน แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ภายนอกสภาแล้วถือว่าการเดินหน้าเรื่องกู้เงินเป็นเรื่องใหญ่และเร่งด่วนกว่า เพราะนั่นเป็นเรื่องผลประโยชน์ เป็นการทำมาหากินที่ควบคู่กันมาและทำได้ทันที โดยมีความเสี่ยงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการผลักดันเรื่องนิรโทษเพื่อลบล้างความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง       
       ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องการเดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไปจนครบวาระ คงไม่อยากเสี่ยงทำให้เสียบรรยากาศ เสี่ยงทำให้รัฐบาลสั่นคลอนโดยไม่จำเป็น ซึ่งล่าสุดก็มีความชัดเจนอีกครั้งว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่มีการพิจารณาเรื่องพระราชบัญญัตินิรโทษฯ ในช่วงนี้ ความหมายก็ชัดเจนว่ามีการจัดลำดับความสำคัญเรื่องพระราชบัญญัติเงินกู้เร่งด่วนกว่า       
       ดังนั้นเมื่อพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดที่เป็นอยู่ก็พอมองเห็นว่าเป็นอย่างไร และอีกด้านหนึ่งยังเป็นการมองว่าการเคลื่อนไหวของ ส.ส.เสื้อแดงในการเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษฯ อาจเป็นละครอีกฉากหนึ่งเพื่อตบตาคนเสื้อแดงก็เป็นได้ เพราะถ้าจะช่วยเหลือให้ระดับเสื้อแดงรากหญ้าที่กระทำความผิดถูกคุมขังก็อาจจะใช้วิธีใช้ตำแหน่ง ส.ส.ของตัวเองไปยื่นขอประกันตัวออกมาก็เป็นได้ แต่ที่ผ่านมากลับไม่ดำเนินการ!!
ลิ่วล้อเร่งดัน กม .ล้างผิด เกมที่ นายใหญ่รอปิดบัญชี

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 มีนาคม 2556 07:49 น.
รายงานการเมือง       
       ฝุ่นควันจากศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ยังไม่ทันจาง ก็ดูเหมือนพลพรรคเพื่อไทยจะปรับโหมดมาเดินงานปรองดอง ด้วยการผลักดันการออกกฎหมายนิรโทษกรรมกันอย่างเอาจริงเอาจังกันอีกหน ทำเอาอุณหภูมิการเมืองไทยดูท่าจะทวีความร้อนแรงก่อนเข้าเดือนเม.ย.ด้วยซ้ำ       
       โดยเฉพาะ ส.ส.เสื้อแดงอย่าง วรชัย เหมะที่ล่าลายเซ็นต์เพื่อนๆ ส.ส.เพื่อไทย อีก 41 คน เดินหน้า ยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับล่าสุดให้แก่ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ประธานสภาผู้แทนราษฎร หวังให้นำเข้าบรรจุในระเบียบวาระภายในสัปดาห์นี้ทันที       
       งานนี้ ส.ส.จากสมุทรปราการออกตัวแรง แบบที่ไม่รู้ว่าได้ไฟเขียวจาก ผู้ใหญ่ในพรรคมาหรือไม่ เพราะทั้งฝ่ายรัฐบาล หรือกระทั่งวิปรัฐบาลก็ออกตัวว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องร่างกฎหมายของฉบับนายวรชัยมาก่อน แถมไม่ดูตาม้าตาเรือว่ามีร่างกฎหมายคล้ายๆกันในชื่อร่าง พ.ร.บ.ปรองดองค้างอยู่ในวาระการประชุมถึง 4 ฉบับที่ติดหล่มเดินหน้าต่อไม่ได้       
       ส่วนที่ทาง เจริญ จรรย์โกมลรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ก็เปิดเวทีนอกรอบชักชวน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าหารือเพื่อเสนอแนวทางสร้างความปรองดอง และการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกลุ่มย่อยไปแล้ว นอกเหนือจาก รองฯเจริญในฐานะเจ้าภาพ ก็ยังมี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ก่อแก้ว พิกุลทอง - วรชัย เหมะส.ส.เพื่อไทย ในฐานะผู้แทนจากแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมไปถึงนักกฎหมายวีรพัฒน์ปริยวงศ์ที่มาให้มุมมองทางกฎหมาย       
       จนมาถึงการนัดหารือวงใหญ่เมื่อวานนี้ โดยรอบนี้ รองฯเจริญร่อนหนังสือเชิญตัวแทนจากพรรคการเมือง - กลุ่มการเมืองหลายกลุ่มเข้าร่วมการหารือการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่รัฐสภา เป็นนัดแรก แต่ปรากฎว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร มีเพียงตัวแทนกลุ่ม นปช. ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ตัวแทนจากกระทรวงกลาโหม ตัวแทนสมาคมผู้ประกอบการค้ารัฐวิสาหกิจย่านราชประสงค์ รวมถึง เรืองศักดิ์ งามสมภาคส.ส.พรรคภูมิใจไทยกลุ่มมัชฌิมาที่มาในนามส่วนตัวเท่านั้น       
       ส่วนที่เหลือทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย องค์การพิทักษ์สยาม กลุ่มเสื้อหลากสี และ นิชา หิรัญบูรณะธุวธรรมภรรยาพล.อ.ร่มเกล้าธุวธรรมไม่ได้เข้าร่วมการหารือ       
       โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ร่วมวงพูดคุยครั้งนี้ เนื่องจากได้ยื่นข้อเสนอต่างๆเป็นลายลักษณ์อักษรไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยย้ำจุดยืนที่ว่า ไม่เห็นด้วยต่อการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้กระทำความผิดทางอาญาและคดีทุจริตในทุกคดี       
       พร้อมทั้งประกาศคัดค้านและชุมนุมนอกสภาอย่างถึงที่สุด หากมีการใช้ เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายล้างผิดอย่างไม่ชอบ       
       เมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับ องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้การประชุมก็แทบไม่มีความคืบหน้าใดออกมา มีเพียงข้อสรุปสั้นร่วมกัน 4 ข้อ มีสาระสำคัญที่ว่า สนับสนุนความปรองดอง -ให้อภัยกัน - บรรเทาความขัดแย้ง - ยึดประชาชนเป็นหลัก”       
       ดูแนวโน้มงานนี้ รองฯเจริญที่ดูจะมีเครดิต และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายพอสมควร ก็ทำท่าจะ แท้งตั้งแต่ก่อน คลอดเพราะต้องยอมรับว่าที่ฝ่ายต่างๆเริ่มส่ายหัวไม่อยากเอาด้วย ก็มาจากการที่ วรชัยและพวกชิงเดินเกมเร็วชิงยื่นร่างกฎหมายนิรโทษฯไปก่อนการหารือจะเกิดขึ้น ทั้งยังขู่ฝ่อว่าจะใช้เสียงข้างมากลัดคิวเลือกวาระมาพิจารณาก่อน       
       คำถามถึงความจริงใจจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้       
       นอกจากนี้ยังมองกันว่าความเคลื่อนไหวของ รองฯเจริญที่ดูเหมือนทำด้วยความปรารถนาดีนั้น ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยรวมไปถึงจะถูกใจนายใหญ่-ทักษิณชินวัตรมากน้อยขนาดไหน       
       เพราะความเคลื่อนไหวหน้าฉากอาจจะดูดีแต่หลังฉากเชื่อว่ายังเขม็งเกลียวกันอยู่       
       และรู้กันดีแนวทางของ รองฯเจริญที่ต้องการให้มีการพูดคุยและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย กว่าจะตกผลึกลงตัวก็คงกินเวลาไปเนิ่นนานเกินกว่า นายใหญ่จะทนรอไหว เพราะสไตล์ของคนชื่อ ทักษิณไม่นิยมอะไรๆที่ยืดเยื้อเนิ่นนาน       
       นอกจากนั้นหากดูตาม เงื่อนไขของพันธมิตรฯที่ว่าไม่เห็นด้วยต่อการนิรโทษกรรมคดีทุจริตทุกคดี ก็เท่ากับ ทักษิณจะไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วย เพราะมีโทษจำคุก 2 ปีจากคดีทุจริตที่ดินรัชดาค้ำคออยู่ หรือจะเป็นการเร่งเกมยื่นร่างกฎหมายล้างผิดแบบคนเสื้อแดง ก็ดูท่าจะไม่เวิร์ค จากความปั่นป่วนถูลู่ถูกังเลื่อนวาระการพิจารณา4ร่างกฎหมายปรองดองเมื่อปีก่อนก็ยังคงตามมาหลอกหลอน       
       เท่ากับว่าหากคิดจะเดินหน้า ก็หนีไม่พ้นต้องเจอเกมกดดัน 2 ทาง ทั้งในสภาโดยพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งแง่ไม่เอาด้วยอยู่แล้วขณะที่นอกสภาพลังมวลชนในนามพันธมิตรฯก็ยืนตระหง่านขวางอยู่       
       ถามใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้ ก็คงตอบแทนแบบไม่ต้องรอคำตอบได้เลยว่า คงอยากจะรักษาสภาพคงความเป็น รัฐบาลเอาไว้ให้นานที่สุด มากกว่าเร่งจังหวะจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ ยิ่งตอนนี้กำลังจะได้ชิ้นปลามันอย่างร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน2.2 ล้านล้านบาทมาถลุงกันอย่างสนุกสนาน ยึดคติ เพลย์เซฟไว้ก่อนดีกว่า       
       หากคิดจะแตะของร้อนมีหวังหกล้ม-อดกินกันทั้งกระดาน       
       หรือครั้น พี่ชายจะสั่ง น้องสาวให้ซ้ายหันขวาหันก็ไม่ง่ายเหมือนก่อน ขนาดร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ คนเสื้อแดงแทงเรื่องตรงไปยังรัฐบาลยังถูกยื้อเวลาออกไปจนได้ โดยส่งไม้ต่อไปยัง คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ไปศึกษาแนวทางต่างๆ แต่กว่าร่างจะถึงมือกฤษฎีกาก็ใช้เวลาเกือบเดือน จนป่านนี้ก็ไร้วี่แววจะชงเข้าที่ประชุมครม.เพื่อผลักดันต่อ       
       เรื่องแบบนี้ ทักษิณคงมองออก สังเกตได้จากอาการลิ่วล้อใกล้ชิดอย่าง นพดล ปัทมะก็หายหน้าไป ไม่ได้ออกมาแก้ต่างแก้ตัวเรื่องนี้อย่างที่เคยคงรู้ดีว่าเกมนี้เล่นแรงเล่นเร็วแค่ไหน       
       หากไม่สำเร็จแล้วผลสะท้อนย้อนกลับก็ยิ่งจะแรงหนักเพิ่มไปอีกทวีคูณ       
       ฟันธงเลยว่า เกมนิรโทษฯที่ปลายทางยังขมุกขมัวไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบนี้ ทักษิณคงยังไม่อยากเล่นด้วย และเลือกที่จะกปั่นกระแสสร้างผลงานให้ตัวเองจากงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่ออัพเครดิตตัวเองให้คนไทยหันมามองเรื่องความจริงใจหวังดีต่อประเทศชาติบ้างดีกว่า       
       ส่วนตอนนี้ก็ปล่อยให้ ลิ่วล้อตีรวนป่วนสร้างกระแสกันพอเป็นพิธี แต่หากจับผลัดจับผลูอาศัยลูกมั่วบวกกับเสียงข้างมากในสภาทำคลอดกฎหมายล้างผิด ปลดเปลื้องอาญาแผ่นดินที่ติดตัวได้ ก็เชื่อว่า "ทักษิณ" จะโดดงับแบบไม่ต้องคิด       
       เท่ากับว่า การขับเคลื่อนเกมนิรโทษฯของคนในพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีอาณัติสัญญาณอย่างเป็นทางการออกมาจากทางไกล ที่ "นายใหญ่" ยังรอจังหวะประเมินทิศทางลม ก่อนสั่งจะปิดบัญชีในไม่ช้านี้
สังคมตกผลึกรู้ทัน รำคาญ แม้ว-ลิ่วล้อเอาเปรียบไม่เลิก !!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 มีนาคม 2556 07:10
ผ่าประเด็นร้อน        
       นาทีนี้ไม่ว่าจะมาไม้ไหน จะเปลี่ยนลิ่วล้อกี่รายเปลี่ยนหน้ามาเป็นใครก็ตาม หากคิดจะ เอาเปรียบชาวบ้านด้วยวิธีการที่จะลบล้างความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้องเมื่อไหร่ก็ตาม เป็นต้องถูกโห่ไล่อย่างรู้ทันทุกทีไป        
       คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน มีความพยายามใหม่อีกรอบ โดยเปลี่ยน โต้โผรายใหม่จากเดิมที่เคยใช้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม มีการใช้ประธานสภาผู้แทนราษฎร อย่าง สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์เป็น หน้าม้าหรือแม้กระทั่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ใช้คนที่เคยปฏิวัติยึดอำนาจถีบตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่างพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้ตบตาเปลี่ยนชื่อใหม่เปลี่ยนเป็นร่างพระราชบัญญัติปรองดอง       
       หรือแม้แต่จะหักดิบด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทิ้งไปแล้วใช้ เด็กๆของตัวเองในสภาใช้เสียงข้างมากโหวตเอาตามใจชอบ ทำกันทุกทาง แต่ก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จสักที ล่าสุดก็เช่นเดียวกัน เปลี่ยนหน้าใหม่ใช้รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมล ออกหน้าแทนเป็นโต้โผนัดตัวแทนทุกกลุ่มมาหารือเพื่อ หยั่งท่าทีเสียก่อน แต่ก็อย่างว่าเมื่อคนอื่นเขารู้ทัน มันก็เป็นอย่างที่เห็นคือมีแต่เฉพาะคนกันเองพวกเดียวกัน หรือแค่ลูกน้องระดับ ขี้ข้าเท่านั้นที่เข้าร่วมเป็น ขุนพลอยพยักเช่น ตัวแทนจากรัฐบาล พรรคเพื่อไทยแกนนำคนเสื้อแดงเป็นต้นในการประชุมที่รัฐสภาเมื่อวันที่11มีนาคม       
       ขณะที่ตัวแทนที่มีส่วนได้เสียโดยตรงกลุ่มอื่นๆรู้ทันว่านี่คือปาหี่เพื่อสร้างความชอบธรรมสำหรับเตรียมการในการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภาเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดง โดยเอามวลชนคนเสื้อแดงเป็นตัวประกันหรือบังหน้าโดยกลุ่มดังกล่าวไม่เข้าร่วม       
       สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือขณะที่กำลังมีการหารือกันเพื่อรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อสร้างพิธีกรรมปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมโดยกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเข้าสภาคู่ขนานกันไป เมื่อรวมกับร่างเดิมที่ใช้ชื่อพระราชบัญญัติปรองดองตบตาค้างคาอยู่ในสภาอีก 4 ฉบับรวมเป็น5ฉบับ        
       ความหมายคนพวกนี้ที่เสนอเข้ามาล่าสุดพยายามแสดงท่าทางขึงขังว่ามีเป้าหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่ต้อง คดีอาญาเป็นหลัก โดยไม่ครอบคลุมถึงบรรดาแกนนำและคนสั่งการ แต่คำถามก็คือแล้วใครละจะพิสูจน์ว่าใครเป็นแกนนำและใครสั่งการ และจะพิสูจน์กันอย่างไร เพราะที่ผ่านมาบรรดาพวกหัวโจกทั้งหลายที่ปลุกระดมว่า เผาเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเองอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในช่วงที่เป็นไพร่เต็มขั้น มาบัดนี้กลายพันธุ์มาเป็นอำมาตย์ได้เป็นถึงรัฐมนตรี มีความสุขสบาย ก็ยังกล้าสาบานว่าไม่ได้สั่งเผา ทำนองว่าไม่ใช่แกนนำ       
       หรือแม้กระทั่ง ทักษิณ ชินวัตร เองที่เคยบอกว่าให้พี่น้องไปรวมกันที่ศาลากลางทั่วประเทศ และผลที่ตามมาก็มีการเผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง เมื่อถึงเวลาก็อาจจะบอกว่าตัวเองไม่เคยสั่ง ไม่เคยปลุกระดม แต่พี่น้องเสื้อแดงเขามาเอง มาทวงความยุติธรรม มาต่อต้านเผด็จการอำมาตย์และเรียกร้องประชาธิปไตย สารพัด       
       อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลายคนรู้ทันล่วงหน้าก็คือหากสามารถผลักดันจนสามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับหัวโจกเสื้อแดงในสภาได้จริง ก็เชื่อว่าต้องมีการโหวตให้นำ 4 ร่างที่ค้างอยู่ในสภาเข้ามาพิจารณารวมกัน แล้วลองคิดดูว่าเมื่อถึงตอนนั้น เมื่ออ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว ก็เรียบร้อย นั่นคือในขั้นแปรญัตติก็จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยใช้เสียงข้างมากโหวตรวบรัดไปทางไหนได้ไม่ยาก       
       แต่ถึงอย่างไรจากท่าทีล่าสุดจากฝ่ายรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวสนับสนุนให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเลื่อนวาระร่างพระราชบัญญัติทั้ง 5 ฉบับขึ้นมาพิจารณาก่อน ซึ่งสะท้อนผ่านทางมติของวิปรัฐบาลเมื่อวันที่11มีนาคม       
       หากเป็นไปตามนี้จริงก็คงเป็นไปตามการคาดการณ์ของหลายฝ่ายที่ระบุตรงกันว่า แม้ร่างพระราชบัญญัติลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย จะเร่งด่วนแบบส่วนตัวแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อสังคมรู้ทันและเริ่มรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ หากยังดึงดันเดินหน้าเข้าไปแบบดุ่ยๆเมื่อไหร่ก็ตามมันก็จะเกิดความตึงเครียดและเกิดความเสี่ยงต่อรัฐบาลของตัวเองที่กุมอำนาจรัฐในมือเวลานี้ทันที และที่สำคัญกำลังอยู่ในช่วง เข้าด้ายเข้าเข็มกำลังเสนอร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเข้าสภาเพื่อนำมาใช้ในโครงการใหญ่สารพัด ลองหลับตานึกภาพเอาแล้วกันว่าการใช้งบประมาณมหาศาลโดยที่อยู่นอกเหนือการตรวจสอบมันน่าสนใจแค่ไหน อีกทั้งคำพูดที่ว่าร้อยชักสามสิบที่เห็นรำไรอยู่ข้างหน้าอย่างไหนเร่งด่วนกว่า       
       ดังนั้นหากบอกว่าการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ และลิ่วล้อเครือข่ายเป็นเรื่องเร่งด่วนเหมือนกัน แต่ในเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วมันมีความเสี่ยงอาจทำให้รัฐบาลล่มกลางคัน ยังไม่ทันเรียกทุนคืนกลับมา เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสองปีถือว่ายังไม่คุ้มค่า อีกทั้งสังคมเริ่มตกผลึกมีความรู้ทัน และเริ่มรำคาญหากยังหน้าด้านเอาเปรียบแบบนี้ต่อไปสู้เลิกแตะของร้อนชั่วคราวหันไปทำมาหากินในเรื่องที่เป็นกอบเป็นกำจะคุ้มค่ากว่า        
       สำหรับมวลชนคนเสื้อแดง หากรัฐบาลและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีความจริงใจช่วยเหลือก็สามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ขอประกันตัวออกมาก็ได้ โดยเฉพาะพวกที่เป็นความผิดลหุโทษ หรือประเภทที่ทำผิดพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พระราชบัญญัติความมั่นคง ก็สามารถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาไม่ยอมดำเนินการ แต่จะมุ่งช่วยเหลือเฉพาะพวกแกนนำที่มีความหมายต่อ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นต่างหาก !!
จับสัญญาณ ทักษิณโผล่! รู้ทันคนกันเองทิ้งโดดเดี่ยว

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 มีนาคม 2556 07:16 น.
รายงานการเมือง
        นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร เก็บตัวเงียบ ไม่วีดีโอลิงค์-โฟนอินหรือให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับมาอีกครั้ง หลังศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ออกมาสำแดงฤทธิ์เดชกันยกใหญ่ ผ่านการสไกป์จากต่างแดนเข้ามากลางที่ประชุมใหญ่ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา กินเวลาร่วมๆ ครึ่งชั่วโมงกว่า       
       เหตุที่ทักษิณเก็บตัวเงียบในช่วงที่ผ่านมา ก็เพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ทักษิณเก็บตัวเงียบ ไม่ออกมาเสนอหน้าช่วยพล.ต.อ.พงศพัศพงษ์เจริญเพราะแทนที่จะได้คะแนนเสียงเพิ่มกลับจะยิ่งฉุดคะแนนให้น้อยลง       
       ทักษิณเคยพลาดก่อนหน้านี้ที่ในช่วงก่อนพรรคเพื่อไทยเปิดตัวพล.ต.อ.พงศพัศ โดยโฟนอินไปคุยในวงประชุมฝ่ายเตรียมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของเพื่อไทย ดันบอกว่าพรรคเพื่อไทยส่งเสาไฟฟ้าก็ชนะการเลือกตั้ง แล้วมีลูกพรรคอย่าง จิรายุ ห่วงทรัพย์ ปากเสียเอาไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เลยกลายเป็นเรื่องที่ประชาธิปัตย์เอาไปขยายผลว่าทักษิณดูถูกคนกรุงเทพฯ       
       ทำให้นับแต่นั้น ทักษิณ ยิ่งเก็บตัวเงียบ ไม่มีข่าวอะไรโผล่ออกมาเลยในช่วงสู้ศึกผู้ว่าฯกทม.จนกระทั่งเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หนึ่งสัปดาห์ ทักษิณก็ยังเก็บตัวเงียบ ไม่สื่อสารอะไรออกมาถึงความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น       
       คนปากเร็วพูดมากแบบทักษิณ พอหายไปนานแบบนี้ แม้ช่วงหลังอาจติดต่อพูดคุยกับคนในพรรคเพื่อไทยบ้าง แต่ก็เป็นการคุยแบบตัวต่อตัวกับคนในพรรคที่ต้องการสื่อสารถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือโทรไปสั่งการและให้คำแนะนำอะไรต่างๆ ในวงประชุมเล็กๆ ของพรรคเพื่อไทย เช่นโทรไปในวอร์รูมห้องประชุมศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ของเพื่อไทยในช่วงก่อน 3 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มีข่าวว่ามีการโทรไปเป็นระยะๆ       
       ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้คุยกับพวกส.ส.-แกนนำพรรคเพื่อไทยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็เลยระบายกันเต็มที่       
       มีทั้งเรื่องผลพวงจากศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่เพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งให้กับประชาธิปัตย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามคาด ทักษิณมีโวยเล็กน้อยที่หลายเขตเลือกตั้งคะแนนทำไม่ได้ตามเป้า ถึงขั้นขู่หากพื้นที่ไหนภาพรวมไม่ดีขึ้น พวกส.ส.กทม.หรือผู้สมัครส.ส.กทม.เดิมในการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่สอบตกแล้วจะขอลงเลือกตั้งอีก ก็มีสิทธิ์โดนเปลี่ยนตัว       
       ดูแล้วแม้ทักษิณจะพยายามรักษาหน้าเจ๊หน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่ได้ตำหนิตรงๆ ที่หลายเขตเลือกตั้งซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของเพื่อไทยมาตลอดแต่กลับแพ้ให้กับประชาธิปัตย์ แต่ตามข่าวบางจังหวะก็มีกระทบกระเทียบไปถึงคนในมุ้งเจ๊หน่อยพอหอมปากหอมคอ       
       เชื่อว่าหลังจากนี้ คงมีการชำระสะสางกันภายในกลุ่มกทม.แน่นอน ระหว่างนี้คงรอความชัดเจนในเรื่องการพิจารณารับรองม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บริพัตรให้เป็นผู้ว่าฯกทม.ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน       
       ที่น่าสนใจไม่น้อย ก็คือ ท่าทีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทักษิณส่งสัญญาณมาในการสไกป์ดังกล่าว ที่เปลี่ยนอีกแล้วคือตอนนี้หันมาบอกว่าอาจจำเป็นต้องใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราไปก่อน       
       โดยเฉพาะแก้มาตราที่น่าจะทำแล้วมีปัญหาน้อยอย่างเช่นเรื่องมาตรา 237 ที่เป็นเรื่องการยุบพรรคและตัดสิทธิการเมืองห้าปีกรรมการบริหารพรรค -มาตรา 190 เรื่องการลงนามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาและ มาตรา 68 เรื่องอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคำร้องเรื่องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย       
       เป็นท่าทีที่สอดรับกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่าพวกส.ว.สายเลือกตั้งจำนวน หนึ่งที่ใกล้ชิดกับขั้วพรรคร่วมรัฐบาลกำลังจะรับไม้จากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาออกหน้าเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา       
       หลังพบว่าขั้นตอนที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลวางไว้ก่อนหน้านี้ทั้ง เรื่องการให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐมาช่วยศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ การทำประชามติ รวมถึงรัฐบาลอาจจัดให้มีการทำประชามติถามความเห็นประชาชนทั่วประเทศในเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่หากทำตามขั้นตอนคงใช้เวลาอีกนานเผลอๆอาจไม่ทันในช่วงอายุของรัฐบาลที่เหลือไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ       
       ก็น่ารอดูว่า เมื่อทักษิณส่งสัญญาณให้ระหว่างนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราไปก่อน อาจได้เห็นมีการขยับอะไรกันบ้างหลังจากนี้       
       แม้แต่เรื่องที่รัฐบาลจะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบวันที่ 19 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการกู้เงินจำนวนมากเพื่อทำเมกะโปรเจคสารพัดโครงการโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างระบบขนส่งและการคมนาคมจำนวนมาก เช่นรถไฟรางคู่ที่ทำเพิ่มขึ้นอีก 3,000 กว่ากิโลเมตรหรือรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางอาทิกรุงเทพฯ-เชียงใหม่, กรุงเทพฯ -โคราชฯ, กรุงเทพฯ-ระยอง, กรุงเทพฯ-หัวหิน และการทำเพิ่มรถไฟฟ้าอีก10สายในกรุงเทพฯความยาวร่วม400กว่ากิโลเมตร       
       ทักษิณก็อดไม่ได้ที่จะสั่งส.ส.ให้ศึกษาหาความรู้ในโครงการต่างๆที่รัฐบาลจะทำออกมาในร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทดังกล่าวเพื่อเอาไปหาเสียงกับประชาชนในพื้นที่ว่าสิ่งที่รัฐบาลจะทำต่อจากนี้คือการพลิกโฉมหน้าประเทศไทยครั้งใหญ่       
       แล้วก็เป็นเรื่องปกติ ตามนิสัย นายใหญ่จะต้องวิจารณ์การทำงานของพวกส.ส.ในพรรคที่การสไกป์ดังกล่าว ก็มีข่าวว่ามีการแสดงความไม่พอใจคนในพรรคทั้งพวกส.ส.-รัฐมนตรี ในเรื่องที่มักตกเป็นรองการเมืองประชาธิปัตย์บ่อยครั้ง หลายครั้งพลาดท่าแก้เกมการเมืองไม่ทันประชาธิปัตย์ ทั้งที่บางสถานการณ์ต้องทำทันทีจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แพ้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จึงสั่งว่าต่อไปส.ส.เพื่อไทยจะต้องปรับปรุงจุดนี้       
       ขณะที่เรื่อง กฎหมายนิรโทษกรรม ก็แสดงท่าทีชัดว่าเอาไงเอากัน แล้วแต่พรรคและส.ส.เห็นด้วยอยู่แล้วในเรื่องนี้       
       อย่างไรก็ตาม ในเนื้อหาการสไกป์ดังกล่าวของทักษิณ มีที่น่าสนใจและคงทำให้คนในพรรคเพื่อไทยหลายคนขบคิดกันไม่น้อย เพราะน้ำเสียงที่ทักษิณ สไกป์ออกมา ก็คือการที่ทักษิณบอกว่ากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกโดดเดี่ยวจากพวกเดียวกันเองให้อยู่ในสภาพ ลอยคอกลางมหาสมุทร แต่กลับไม่มีคนจริงใจที่จะช่วยเหลือ       
       "ทุกคนไม่ต้องวิตกว่าผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ ผมบางทีก็แปลก ให้ข้อคิด คำแนะนำปรึกษาอะไรกับเขาได้ แต่ตัวเองกลับเหมือนต้องลอยคออยู่กลางมหาสมุทร บางครั้งก็ถามตัวเอง ไปผลักดันคนโน้นไปอยู่ตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้แล้วตัวผมเองหละจะกลับบ้านยังไง       
       คนก็มีหลายประเภท บางคนก็อยากช่วยให้ได้กลับ บางคนก็บอกว่ารักผมนะ แต่อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับมาเลย เพราะเดี๋ยวตัวเองจะไม่สำคัญ ไม่ต้องห่วงผม ยังช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ เมื่อไหร่จะรบกวนพวกท่านจะบอก”       
       บอกอารมณ์กันตรงๆ ว่า รู้นะ คนในพรรคเพื่อไทยกลุ่มไหนได้ประโยชน์ที่ตัวเองยังคงเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ต่างประเทศไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพราะทำให้คนกลุ่มนี้มีความสำคัญทั้งในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทย ตราบใดที่ยังหากินกับเงาทักษิณที่ไม่มีวันกลับมาเหยียบประเทศไทยได้       
       ทักษิณ บ่นกันแบบนี้ ไม่รู้ตอนนั้น แกนนำเสื้อแดง-แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวสะดุ้งกันกลางที่ประชุมหรือไม่       
       ทักษิณอาจจะเริ่มเหลืออดกับพวกที่ต่อหน้าทักษิณ-สื่อ-คน เสื้อแดง ทำเป็นแสดงออกบอกอยากให้ทักษิณกลับประเทศ กำลังหาทางช่วยเต็มที่ แต่ในใจรู้ดีว่า หากทักษิณกลับมาได้เมื่อไหร่ หมดทางหากินทันที
       
       เจอจับได้ ไล่ทัน แบบนี้ทำท่าจะหากิน กันแบบนี้ บ่อยๆ ไม่ได้เสียแล้ว

เปลือย ยิ่งลักษณ์ ยอมรับอำนาจศาลโลก รอยกแผ่นดินให้ฮุนเซน !!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 มีนาคม 2556 07:59
ผ่าประเด็นร้อน        
       จะเป็นเพราะพูดไปตามโพย ตามหัวข้อที่บรรดากุนซือข้างกายเน้นย้ำเอาไว้ล่วงหน้าว่าสื่อจะต้องถามเรื่องอะไรแล้วต้องตอบในแนวกว้างๆแบบไหน เพื่อไม่ให้เสี่ยท่าเสียหลักการ แต่บังเอิญว่าคำตอบของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะไปร่วมงานของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อค่ำวันที่ 11 มีนาคม กล่าวถึงเรื่องที่กัมพูชาไปร้องศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหารด้วยหรือไม่ โดยเธอได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ไทยต้องยอมรับอำนาจของศาลโลกและยังหวังว่าคนไทยจะเข้าใจและยอมรับอีกด้วย        
       ความหมายของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ แสดงออกมาเป็นครั้งแรก และชัดเจนว่า หากศาลโลกตัดสินว่าอาณาบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา คนไทยก็ต้องยอมรับ ซึ่งพื้นที่อาณาบริเวณโดยรอบปราสาทดังกล่าวยังหมายรวมถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเนื้อที่ราว 3พันไร่ที่เป็นของไทยมาแต่เดิมก็ต้องยกให้กัมพูชาอีกด้วย       
       อย่างไรก็ดีท่าทีดังกล่าวถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงออกมาจากปากของ นายกรัฐมนตรีเท่านั้น เป็นเพียงคำพูดและความเคลื่อนไหวที่สะท้อนผ่านทางรัฐมนตรีบางคน ซึ่งเลยเถิดถึงขั้น ยอมแพ้หรือแกล้งแพ้ให้กับฝ่ายกัมพูชามาตั้งแต่ต้น ดังที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยออกมาบอกให้คนไทย ทำใจ ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และบอกไว้ก่อนว่า เรามีแต่แพ้และเสมอตัวเท่านั้น        
       ที่สำคัญยังอ้างหน้าตาเฉยมาบิดเบือนข้อมูลกับคนไทยให้คล้อยตามว่าหากเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก จะทำให้นานาชาติบอยคอตทำมาค้าขายกับต่างประเทศไม่ได้ต้องอยู่โดดเดี่ยวในที่สุด       
       ขณะเดียวกันในตอนแรก สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ฟังให้สัมภาษณ์นึกว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาบอกว่าเขาจะไม่เดินทางนำคณะฝ่ายไทยไปร่วมแถลงปิดคดีด้วยวาจาที่ศาลโลกในช่วงกลางเดือนเมษายนด้วยซ้ำไป แต่เมื่อถูกชาวไทยที่รักชาติและตื่นตัวหวงแหนแผ่นดินที่ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียวรวมทั้งไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีของชาติรุมประณามอย่างหนักทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจกระทันหัน       
       รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนที่ต้องการให้คนไทยยอมรับอำนาจของศาลโลก ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต และล่าสุดก็เพิ่งแสดงท่าที เป็นสัญลักษณ์ ยอมเดินขึ้นเขาพระวิหารไปกินข้าวเที่ยงกับ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เตีย บัณห์ ตามคำเชิญ นั่นคือ ฝ่ายโน้นเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเท่ากับว่าเรายอมรับการประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนบริเวณนั้นไปโดยปริยาย       
       แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวตำหนิคนไทยที่คัดค้านว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยยกเอาเรื่องดังกล่าวมาอยู่เหนือทุกสิ่ง แม้กระทั่งกรณีที่ทหารพรานของไทยเหยียบกับระเบิดตามแนวชายแดน ทางฝ่ายกระทรวงกลาโหมก็วางเฉย ขณะที่กระทรวงต่างประเทศก็ไม่ทำการประท้วงกัมพูชาโดยอ้างว่ายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด       
       คำกล่าวและท่าทีดังกล่าว ล้วนเป็นการออกแบบวางแผนมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดย ใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือในการตบตายกพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา เพื่อให้สามารถ บริหารจัดการได้อย่างสมบูรณ์ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อแลกกับความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างที่คนไทยบางคนจะได้รับ ซึ่งหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่ ในเรื่องของผลประโยชน์ทางด้านพลังงานรวมทั้งสัมปทานหลายอย่างจะตามมา        
       การยกเอาเหตุผลให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลโลก เพื่อต้องการปิดปาก เนื่องจากต้องการแสดงให้เห็นว่าเราต้องยอมรับอำนาจศาล เมื่อตัดสินออกมาแล้วก็ต้องยอมรับ เหมือนกับศาลไทยที่มีคำพิพากษาออกมาแล้วทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ แม้จะไม่พอใจก็ตาม แต่กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าคนละเรื่อง เอามาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะศาลโลกไม่มีสิทธิ์มาชี้ขาดในเรื่องอธิปไตยของอีกประเทศหนึ่ง ขณะเดียวกันที่ผ่านมนับตั้งแต่ปี 2505 ไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาว่าด้วยขอบเขตอำนาจศาลโลกหลังจากที่พิพากษาให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหาร       
       ดังนั้นสิ่งที่คนไทยรักชาติต้องการให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รีบดำเนินการก็คือ รีบประกาศท่าทีอย่างเป็นทางการว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และที่ผ่านมาเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาถูกต้องครบถ้วนแล้ว และเราขอสงวนสิทธิ์ในการรักษาอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ไปประกาศบิดเบือนยอมรับอำนาจศาลโลกอย่างที่เป็นอยู่       
       กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นอีกระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรับผิดชอบ หากศาลโลกตัดสินให้พื้นที่อาณาบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะนี่คือการ ขายชาติโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือตบตา !! 
ปรับ ครม.ทักษิณสั่งไม่ได้ ยุคนี้ต้อง เจ๊แดงมาแรงกว่า!

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 มีนาคม 2556 08:03 น.
รายงานการเมือง       
       เสียงเร่งเร้าปรับ ครม.ดังอื้ออึงขึ้นเรื่อยๆ หยิบยกการขาดหายไปของ ชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกฯและรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มาเอ่ยอ้างความจำเป็นในการปรับ ครม. แต่ก็น่าจะเป็นสุ้มเสียงของคนภายในพรรคเพื่อไทยกันเองทั้งนั้น       
       เพราะพรรคชาติไทยเขาวางตัวแทนไว้เบ็ดเสร็จนานแล้ว ลิ่วล้อพวกกระสันตำแหน่งก็เลยใช้โอกาสนี้บอก ยิ่งลักษณ์ชินวัตรนายกฯสมองกลวงปรับไปในคราวเดียวกัน        
       ระยะหลังหลงจู๊ บรรหาร ศิลปอาชา นิยมใช้ข้าราชการประจำมาเป็นมือเป็นไม้ เป็นรัฐมนตรีมากกว่าเอานักการเมืองอาชีพมาเป็นนอมินีเพราะสั่งง่ายไม่ดื้อไม่อม!!       
       กระนั้นก็ตาม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานั้นถือว่าเป็นกระทรวงสำคัญ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ก็น่าจะถือโอกาสเอากลับมาบริหารดูเองซะทีให้เห็นหน้าเห็นหลัง หรือไม่มีฝีมือหรือไงถึงปล่อยให้พรรคชาติไทยพัฒนาครอบครองเป็นมรดกตกทอดอยู่ได้       
       งบประมาณกระทรวงนี้ก็บานตะไท ทำไมไม่ลองแลกกระทรวงเอามาปรับเปลี่ยนระบบกันบ้าง บางทีอาจทำได้ดีกว่ากระชากเรตติ้งรัฐบาลที่นับวันจะดำดิ่งให้พุ่งสูงขึ้นด้วยการท่องเที่ยวและกีฬา       
       อย่างที่คนนินทาหมาดูถูก เชิงบริหารประเทศ ปูกรรเชียงยังอ่อนหัดอ่อนเชิง การวางคนให้เหมาะสมกับงานยังต้องพัฒนาอีกหลายหนาว ที่คนสรรเสริญเยินยอในฝีมือบริหารไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นคำอ้อล้อ โคตรเชลียร์ที่วันหนึ่งมันก็กลายเป็นอากาศธาตุเมื่อหมดอำนาจ       
       การบริหารประเทศทุกวันนี้ไม่มีอะไรคืบหน้า รอวันเสื่อมทรุด ด้วยความคิดแบบหลงมิติหลงกับคำป้อยอจากคนใกล้ชิด การปรับ ครม.ในห้วงความคิดของ ยิ่งลักษณ์ชั่วโมงไม่มีอยู่ในความคิด เพราะเชื่อว่าที่เป็นอยู่มันดีอยู่แล้ว       
       สั่งใครก็ได้ สั่งใครก็ทำ เท่านั้นก็พอแล้ว อย่าให้ใครมาเด่น มาสั่ง เกินหน้าเกินตาไม่ชอบ แล้วก็หลงกระแสที่หลอกลวงไปตามเดิม       
       จะไปปรับ ครม.ทำไมให้ยุ่งยาก ปรับทำไมต้องไปเริ่มต้นบริหารจัดการคนกันใหม่ วันนี้อำนาจรวมศูนย์อยู่ในมือตนเองแล้วจะต้องฟังใครที่ไหน สุดท้ายแม้แต่เสียงจากพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังหัวซุกหัวซุนหนีคดีอยู่ ก็กลายเป็นเพียงเสียงที่ระคายหูหนักขึ้นๆทุกวัน       
       เสียงค่อนขอดดังขึ้นเรื่อยๆว่า แค่ยอมศิโรราบ ส่งยอดไม่ตกหล่น ก็เพียงพอที่จะอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างสบายๆ แล้ว เพราะ ยิ่งลักษณ์และกุนซือใหญ่ข้างกาย เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไม่ได้สนใจการเมืองสักเท่าไหร่ แค่นับยอดตามเป้า บริหารตามมีตามเกิด ประคองกระแสไปวันๆ ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น       
       ความคิดสวนทางกับ ทักษิณมากขึ้นทุกวัน คนหนึ่งอยากกลับบ้าน อีกคนหนึ่งอยากประคองตัวรักษาอำนาจไม่อยากผลีผลามทำอะไรที่เป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า พี่ชายต้องปวดหัวกับอาการดื้อแพ่งของน้องสาวทุกเมื่อเชื่อวัน       
       การปรับ ครม.ที่จะถึงนี้ยิ่งถูกเร่งเร้าจากพี่ชายมากขึ้นเท่าไหร่ น้องสาวก็จะยื้อไว้มากขึ้นเท่านั้น เนื่องเพราะต้องการแสดงให้เห็นตัวตนอำนาจบทบาทของตัวเอง อย่างคำพูดล่าสุดว่า คนที่จะปรับ ครม.อยู่ที่นี่คนเดียวไม่รู้ว่าทักษิณฟังแล้วจะสะอึกแค่ไหน       
       เชื่อได้เลยว่าหากจะต้องยอมอ่อนให้พี่ชายจริงๆ ต้องปรับ ครม.กันในท้ายที่สุดแล้ว ต้องมีการแสดงศักยภาพ โชว์เพาเวอร์ว่าการปรับ ครม.แทบทุกตำแหน่งล้วนเป็นความเห็นชอบ เป็นบัญชาจาก ยิ่งลักษณ์ทั้งนั้น       
       วันนี้ ยิ่งลักษณ์ฟังคนใกล้ชิดมากกว่าคนไกล ใครเข้ามาพินอบพิเทาก็มองว่าใช้ได้ ยิ่งนับวันนิสัยยิ่งคล้ายกับ ทักษิณเมื่อช่วงเหลิงลม เหลิงอำนาจเป็นที่สุด อย่างว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เชื้อย่อมไม่ทิ้งแถว       
       ชั่วโมงนี้ยิ่งลักษณ์ฟังเยาวภามากกว่าทักษิณด้วยซ้ำ       
       ต้องจับตาดูว่าในรายของกลุ่มมัชฌิมาที่มี สมศักดิ์ เทพสุทิน จะได้เข้ามาร่วมรัฐบาลแบบปัจจุบันทันด่วนหรือไม่ ถ้าใช่ก็ไม่ต้องไปหาคำตอบอื่นไกลเลย เพราะตอนนี้กลุ่มมัชฌิมาเดินสายเข้มข้นเข้ามาทาง เจ๊แดงในฐานะคนคุ้นเคยรู้มือกันมาก่อนตั้งแต่สมัยวังบัวบานเรืองอำนาจ เจ๊แดงรู้ดีถึงความเก่งกาจในการกวาดต้อนงบประมาณมาอยู่ในอุ้งมือของอดีตรมต.เรียงหินและถูกอกถูกใจเป็นที่สุด       
       ถ้าเข้ามาร่วม ครม.ครั้งนี้ก็ชัดเจนว่ามาทำอะไร อย่างไร และเพื่อใคร ขณะที่ฝ่าย ทักษิณไม่เห็นด้วยที่จะเอาเข้ามาเพราะไม่ชอบอยู่แล้วพวกสไตล์งูเห่าเลื้อยไปตามผลประโยชน์       
       แต่อย่างว่า ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี หรือแคนดิเคตรัฐมนตรี ต่างเดินเข้าบ้าน เจ๊แดงจนฝุ่นตลบอบอวล เจอหน้ากันก็ไม่ต้องบอกว่ามาทำอะไร เป้าหมายเดียวกันแน่ๆ แต่ทว่าเงื่อนไขการต่อรอง การได้เข้าสู่อำนาจ หรือการได้อยู่ในอำนาจมันไม่เหมือนกับเก่าก่อน วันนี้การทำยอดตามเป้า เป็นวาระสำคัญที่สุด ผิดจากนี้ต้องไปอยู่บัญชีหลังๆ       
       ดุลอำนาจมันเปลี่ยนไปแล้ว คนที่อยากเป็นรัฐมนตรี ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี ใครปรับตัวได้ก็ได้ดีใครปรับตัวไม่ทันก็ติดหล่มดักดาน!!       
       ไม่มีอีกแล้วที่จะปรับ ครม. หาตัวรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ เหมาะสมกับเนื้องาน ทุกวันนี้ก็แค่เป็นคนของใคร มีต้นทุนหน้าตักมาน้อยแค่ไหน ทำงานให้ผู้บารมีได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ว่าทำให้ประเทศชาติได้มากน้อยแค่ไหนตรรกะมันเปลี่ยนไปจนเหลวแหลกเลอะเทอะสิ้นดี       
       น่าสงสารก็ประเทศไทยไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมาตั้งแต่คนเหล่านี้เรืองอำนาจ ผลประโยชน์ของชาติต้องถูกตัดทอนเข้ากระเป๋าของตระกูลที่ฆ่าไม่ตายนี้ตลอดมา จะเปลี่ยนถ่ายผ่านยุคสมัยมาเท่าใดก็หนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ       
       ถ้าไม่ล้างบาง ทำความสะอาดเชื้อร้ายให้หมดไปคงอยู่อย่างวางใจลำบาก ระบอบ ทักษิณคงยังตามหลอกหลอนไม่รู้จบ บางครั้งก็ทำดีบ้าง แต่บางครั้งก็เลวจนน่าใจหาย แต่การบริหารจัดการหล่อเลี้ยงมวลชน สร้างกระแสให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องยากที่จะทำลายลงได้ในเร็ววัน       
       เป็นการบ้านที่ต้องไปคิดอ่านและช่วยกัน เพราะหลายครั้งหลายหนที่ทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ ปล่อยให้ ทักษิณและวงศ์วานว่านเครือปู้ยี่ปู้ยำประเทศจนเจ็บปวดใจแต่ทำอะไรไม่ได้!!       
       ต้องช่วยกันตรวจสอบและแฉความจริงให้ทุกคนได้รู้ว่า การเมืองภายใต้ระบอบอย่างวันนี้มันบ่อนเซาะประเทศ กัดกินงบประมาณ ผลาญภาษีชาติ มากกว่าที่จะทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง สิ่งที่ชาวบ้านได้มาทุกวันนี้ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเพียงแค่เศษเงินเศษทองที่หลุดกระเด็นมา!!

ตีกรรเชียงหนีปัญหา ยิ่งลักษณ์ถนัดจริงๆ

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 มีนาคม 2556 07:01
สะเก็ดไฟ       
       ในขณะที่บรรยากาศบ้านเมืองเริ่มร้อนระอุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความพยายามของนักโทษที่ลอยคออยู่ในมหาสมุทร หาทางกลับบ้านไม่เจอเพราะไม่มีใครอยากให้กลับแม้กระทั่งคนที่อ้างว่ารักยังอยากให้อยู่ต่างแดน       
       เนื่องจากเห็นแก่ตัวเองมากกว่า เพราะเกรงว่าถ้านักโทษที่บ้าคลั่งในการใช้อำนาจไดักลับมาแบบเท่ๆ จะทำให้คนเหล่านั้นหมดความสำคัญ       
       หรือแม้แต่ปัญหาโครงการจำนำข้าวที่นับวันเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนกลบไม่มิด เพราะทั้งขาดทุน ถังแตก ธ.ก.ส.เริ่มขาดสภาพคล่อง ระบายข้าวไม่ออก สต๊อกล้น ข้าวเน่า ชาวนาไม่ได้เงิน จนเตรียมที่จะบุกเข้ากรุงตรงดิ่งไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อประท้วงความห่วยแตกของรัฐบาลที่มีชาวนาเป็นฐานการเมืองสำคัญ       
       แต่สิ่งที่เราได้ยินจากปากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนั่งแท่นในตำแหน่งผู้นำประเทศ กลับแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงมีแต่ความกลวงในสมองเท่านั้น แต่เธอผู้นี้ยังน่ารังเกียจตรงที่ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติโดยสิ้นเชิงดังจะเห็นได้จากคำสัมภาษณ์ที่ว่า       
       กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สไกป์ว่า ไม่อยากให้นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจด้านการเมืองนั้น นายกฯ กล่าวว่า การบริหารประเทศกับเรื่องการเมืองเป็นสิ่งคู่กัน แต่การบริหารในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องไปเกี่ยวข้องกับการร่าง พ.ร.บ.ใดๆ แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน คือการเดินหน้าแก้ไขเศรษฐกิจ ส่วนงานการเมืองคือการทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสามัคคี ปรองดองและประเทศชาติสงบสุข ซึ่งเรื่องกฎหมายต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ       
       ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนี้จะหลุดออกจากปากของคนที่จบรัฐศาสตรบัณฑิต เพราะเนื้อหาไม่ได้มีส่วนใดแสดงให้เห็นกึ๋นหรือความเข้าใจต่อหลักการบริหารบ้านเมืองแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกับบอกถึงขี้เลื่อยในสมองและการแสดงออกถึงการไร้ความรับผิดชอบ       
       จนอยากให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ไปทบทวนว่าควรเรียกปริญญากลับคืนมาหรือไม่       
       ประเด็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่า ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดูแลทุกข์ สุขประชาชน แก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยแบ่งแยกเอาเรื่องความสามัคคี ปรองดองไปเป็นเรื่องทางการเมืองนั้น นับเป็นการสะท้อนความอ่อนด้อยทางความคิดโดยแท้ไม่ว่าจะเป็นแกล้งโง่หรือโง่ถาวรก็ตาม       
       เพราะการสร้างความสามัคคี ปรองดองนั้นมิใช่เรื่องของการเมืองแต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง และเป็นหน้าที่ของคนเป็นผู้นำประเทศจะต้องบริหารเพื่อนำบ้านเมืองไปสู่ความสามัคคี ปรองดอง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงไม่ถูกกำหนดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปอ่านโพยนานหลายชั่วโมงต่อรัฐสภา       
       เนื้อหาในนโยบายที่เขียนไว้สวยหรูมีทั้งหมด 44 หน้า โดยพูดถึงการเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมือง ความขัดแย้ง ว่ามีผลต่อความเชื่อมมั่นทางเศรษฐกิจและการวางพื้นฐานเพื่ออนาคตในระยะยาว จึงมีนโยบายที่จะนำประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน       
       ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ 16 นโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกนั้น มีเรื่องการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย เขียนไว้เป็นอันดับแรก แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ กลับอ้างว่าเรื่องการสร้างความปรองดองว่าเป็นเรื่องการเมืองไม่เกี่ยวกับการบริหาร       
       ใครที่มีส่วนผลักดันให้ผู้หญิงคนนี้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พึงสังวรไว้ด้วยว่า เป็นพฤติกรรมที่ทำร้ายประเทศไทยมากกว่าการใช้กำลังเผาบ้านเผาเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจเสียอีก เพราะตลอดเวลา 4 ปีที่ ยิ่งลักษณ์เถลิงอำนาจไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าความย่อยยับ ฉิบหายของชาติจะขยายวงกว้างออกไปอีกมากแค่ไหนภายใต้การบริหารของนายกฯคนแรกของไทย       
       เป็นไปได้อย่างไร คนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับเลือกจากเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร จะมีความเข้าใจทางการเมืองแบบเด็กอนุบาลว่าเธอลอยตัวออกจากฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่มีความยึดโยงกันอีก ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้มาจากสภาเป็นคนมอบให้ และเสียงข้างมากของสภาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลมีพี่ชายนักโทษของเธอเป็นเจ้าของ       
       การท่องคาถาเดียวว่าออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงเป็นบทสะท้อนถึงการไม่รับผิดชอบต่อประชาชนอย่างน่าอัปยศยิ่งสำหรับคนที่อาสามาเป็นตัวแทนประชาชนเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน       
       ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น คือ เรื่องที่เป็นความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวนาที่เป็นฐานเสียงสำคัญให้ ยิ่งลักษณ์ เหยียบบ่าขึ้นมาเป็นใหญ่นั้น กลับไม่ได้อยู่ในสายตาหรือความสนใจของผู้หญิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย ดูได้จากปัญหาจำนำข้าวที่เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสต็อคข้าวที่จำนำจนล้นโกดังมีอยู่เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าการระบายข้าวจีทูจีเป็นอย่างไร โครงการขาดทุนย่อยยับแค่ไหน นอกจากทำเสียงออดอ้อนในสภาว่า ให้ชาวนาเถอะค่ะแต่ไม่เคยดูดำดูดี กระดูกสันหลังของชาติที่กำลังชักหน้าไม่ถึงหลังเป็นหนี้นอกระบบท่วมหัว จากความล่าช้าในการดำเนินโครงการจำนำข้าวเพราะรัฐบาลถังแตก ธกส.ขาดสภาพคล่องที่จะนำเงินมาทำโครงการให้ จนชาวนาจำนวนมากไม่ได้เงิน       
       แถมล่าสุด คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. มีมติเพิ่มหลักเกณฑ์การรับจำนำข้าวว่าต้องเป็นผลผลิตที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 วัน ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ยิ่งลักษณ์เคยหาเสียงไว้ว่าจะรับจำนำทุกเม็ด โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพข้าว        
       ทุกคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะเป็นประธาน กขช. นอกจากการยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ยกเลิกโครงการ ส่วนจะหยุดความฉิบหายของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้อย่างไรไม่เคยมีคำตอบจากหัวที่มีเอาไว้แค่คั่่นหูเท่านั้น       
       เรื่องที่ควรรู้ไม่เคยรู้ แต่ถนัดนักในเรื่องตะแล๊ดแต๊ดแต๋ที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เช่น การเสนอหน้ากำหนดแนวทางการประหยัดพลังงาน ด้วยการให้ ครม.ตัดชุดฝ้าไทยคนละสองชุดด้วยเงินภาษีของประชาชน ถ้ามีใครถาม ยิ่งลักษณ๋ เรื่องนี้ก็จะเจื้อยแจ้วอย่างภูมิอกภูมิใจว่าเป็นผู้คัดเลือกแบบเองถึงขนาดกำหนดเป็นหนึ่งในวาระของการประชุมครม.เลยทีเดียว       
       จะว่าไปแล้ว แค่ ยิ่งลักษณ์พอมีหัวสมองคิดเรื่องแต่งตัวได้ โดยไม่แก้ผ้าประจานความฉาวก็นับเป็นบุญของคนไทยแล้ว


แม้วเปิดโปงพวกหวังดีประสงค์ร้าย-เหลิมสะดุ้งโหยง!?

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 มีนาคม 2556 08:01 น.
ผ่าประเด็นร้อน        
       ก่อนจะว่ากันในเรื่องประเด็นร้อน ก็ต้องตั้งข้อสังเกตฝากไปถึง จอมร้องเรียนทั้งหลายว่ากรณีที่ ทักษิณ ชินวัตรซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักโทษหลบหนีคดี มีสถานะไม่ต่างกับ โจรห้าร้อย แต่วันดีขึ้นกลับติดต่อสื่อสารกับ ส.ส.กับผู้บริหารพรรคการเมือง รวมไปถึงคนที่เป็นรัฐมนตรีซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้หน้าตาเฉย มิหนำซ้ำตัวเขาเองก็ยังพูดว่าเป็นคนผลักดันคนนั้นคนนี้ได้รับตำแหน่งสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจใหญ่ ทีอย่างนี้ทำไมไม่มีใครร้องเรียนให้ยุบพรรค ยุบรัฐบาลมั่ง เพราะการติดต่อกับโจรหรือการสมรู้ร่วมคิดกับโจรมันน่าจะมีความผิดไม่ใช่หรือ และเป็นเพราะมีเรื่องแบบนี้หรือเปล่าที่มีคนอยู่ เหนือกฎหมาย ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่จบสิ้นเสียที       
       อย่างไรก็ดี เพื่อความต่อเนื่องก็ต้องมาพิจารณากันถึงเรื่องที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ซึ่งแน่นอนว่าในนั้นก็ต้องมีพวกที่เป็นรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย เนื้อหาสาระสำคัญก็จะเป็นเรื่องการตำหนิ กระตุ้นให้บรรดา ส.ส.และรัฐมนตรีต่างเร่งทำหน้าที่เพื่อสร้างคะแนนนิยม รวมไปถึงการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้ว่าจะจับใจความว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขลงมาอีกเป็นในแบบรายมาตราเพื่อความรวดเร็วหรือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ต้องพ่วงตัวเองเข้าไปด้วย       
       ทั้งคำพูดและเนื้อหาสาระที่ออกมาไม่ต่างจากบทบาทนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งแน่นอนว่าหากใครไม่โง่ก็คงจะเห็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกรับรู้กันอยู่แล้ว       
       แต่ที่น่าสนใจก็คือ คำพูดที่ตัดพ้อตำหนิกับลูกน้องบางคนที่บอกว่า ตัวเองถูกโดดเดี่ยว เหมือนลอยคออยู่กลางมหาสมุทรไม่ได้รับความจริงใจจาก บางคนในพรรค นั่นคือเอาเข้าจริงไม่อยากให้กลับมา เพราะเกรงว่าเมื่อกลับมาแล้วตัวเองจะไม่มีความสำคัญ ทำนอง หวังดีประสงค์ร้ายประเภทปากอย่างใจอีกอย่าง        
       ขณะเดียวกัน ท่าทีล่าสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่สะท้อนตัวตนออกมาให้เห็นอีกครั้งว่าในที่สุดแล้วเขาก็ทำทุกอย่าง เพื่อประโยชน์ตัวเอง เพียงแต่อ้างชาวบ้านมาตบตาบังหน้า เหมือนอย่างกรณีที่พยายามส่งสัญญาณผลักดันให้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายแท้จริงก็คือต้องการให้เขาพ้นผิดทั้งโทษอาญา และโทษทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่า พวกอำมาตย์ที่ตัวเองเคยกล่าวหาก่อนหน้านี้หลายพันเท่า      
       เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาสาระจากร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เสนอโดยใครก็ตาม หรือแม้แต่ในชื่อปรองดองที่ยังคาอยู่ในสภาเพื่อรอจังหวะนำขึ้นมาใช้เสียงข้างมากลงมติจำนวน 4 ฉบับก็ล้วนแล้วมีความซ่อนเร้นมีเจตนาให้การลบล้างความผิดครอบคลุมมาถึงตัวเขาและบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดเสียงต่อต้านจากสังคมที่ต้องการเห็นความถูกต้องเกิดขึ้นบ้างในบ้านเมืองนี้ทำให้ต้องชะลอออกไปก่อน       
       คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะพยายามเปลี่ยนหน้าเป็นตัว โต้โผรายใหม่กันอีกรอบ แต่นาทีนี้ชาวบ้านจำนวนมากเขารู้ทัน และต้องรับรู้ด้วยว่าไม่ใช่มีแต่คนเสื้อแดงที่หลับหูหลับตาเชื่อไปหมดทุกเรื่อง มันจึงเกิดเสียงโวยวายขึ้นมาอีก วง ปาหี่ของ รองประธานสภาผู้แทนฯ เจริญ จรรย์โกมล ก็ไปไม่รอด ขณะเดียวกันเมื่อหันมาทางรัฐบาลก็มองเห็นแล้วว่ายังไม่กล้าผลีผลามในตอนนี้ เพราะมีเรื่องเร่งด่วนกว่า และกินรวบง่ายกว่านั่นคือ ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทที่คาดว่าหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติในวันที่ 19 มีนาคม ก็จะเข้าสู่สภาผ่านต่อทันที       
       เมื่อวกกลับมาที่คำพูดของ ทักษิณ ที่แม้ว่าหลายคนจะบอกว่านั่นเป็นการตัดพ้อตำหนิกลางที่ประชุมพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการเปิดโปงคนกันเองที่เคยไว้ใจให้ทำงานใหญ่ ซึ่งพูดไปทำไมมีก็เรื่องเดิมๆแบบเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่นในเรื่องให้ผลักดันให้ลบล้างความผิดในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯรวมไปถึงร่างปรองดอง หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ อะไรก็ได้ที่ทำให้พ้นผิดและกลับมามีอำนาจผูกขาดทางการเมืองได้เต็มตัวอีกครั้งหรือที่เคยกล่าวว่า จะกลับมาอย่างเท่นั่นแหละ       
       ที่ผ่านมาหากพิจารณาย้อนกลับไปจะเห็นคนที่รับอาสา ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแลกกับตำแหน่งแห่งที่และผลประโยชน์หลายอย่างตามมาจะมีสักกี่คน คนแรกที่ย้ำอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันก็คือ ขวัญชัย สาราคำ (ไพรพนา) ความหมายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะ กระจอกเกินไป อย่างมากก็เที่ยวปั่นราคาคุยโม้อยู่ตามบ้านนอกเท่านั้น ส่วนอีกคนนี่สิน่าสนใจกว่า คนนั้นก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่พักหลังหากสังเกตอย่างละเอียดดูเหมือนว่า หงอยๆชอบกล และเมื่อมองภาพในอดีตที่เคยประกาศว่า จะพาทักษิณกลับบ้านมันยังก้องอยู่ในหู ขณะเดียวกันความหมายที่มีการวิเคราะห์กันก็คือคนอย่าง เหลิมนี่แหละที่น่าจะเป็นอีกคนที่ไม่อยากให้ทักษิณกลับมาเพราะถ้ากลับมาวันไหนเขาก็หมดความหมายทันที       
       เพราะต้องเข้าใจว่าการที่คนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สามารถเข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทยได้ มีสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็คือพวก แถวหนึ่งแถวสองถูกสั่งเว้นวรรคทางการเมือง ประกอบกับมีลูกโม้รับปากขึงขังจึงได้รับโอกาส แต่ถามว่าเมื่อทำไมไม่ได้อย่างที่โม้ทำให้ระยะหลังบทบาทจึงลดลงเรื่อยๆ อีกทั้งพวกบ้านเลขที่ 111กลับมาแล้วจึงมีคู่แข่งที่น่าหวาดเสียวทุกวัน       
       ดังนั้น ถ้าให้วิเคราะห์ความหมายคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่สไกป์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยระบายอารมณ์และด่ากราดบรรดาลูกน้องขี้ข้าทั้งหลาย ถ้าเน้นเฉพาะเรื่องที่บอกว่า มีบางคนไม่อยากให้กลับเพราะกลัวว่าตัวเองไม่สำคัญแม้ไม่ได้บอกกันตรงๆ แต่รับรองว่าจำนวนนั้นต้องมีคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั่งสะดุ้งโหยงอย่างแน่นอน!!
รุมโยนบาป เจ๊หน่อยสังเวยพ่ายศึกเสาชิงช้า

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 มีนาคม 2556 07:59 น.
รายงานการเมือง       
       ต้องวางมาดทางการเมืองทำเป็นลุ้นส้มหล่น หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศรับรองผลคุณชายหมูม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.พรรคประชาธิปัตย์ ให้ดำรงตำแหน่งพ่อเมืองมหานครสมัยที่สองกันเสียหน่อย สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาเย้วๆ รายวัน       
       สวมบทท้าทาย กกต. เล่นจิตวิทยาหากรับรอง คุณชายหมู เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ถือว่าเก่งมากๆ เพราะขนาดการเลือกตั้งท้องถิ่นเจอกรณีแบบนี้ยังฟันฉับไม่มีเลี้ยง       
       แถมยังออกแอ็กชันจะหยิบไม้เรียวไล่เฆี่ยน บิ๊กจูดี้พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย ที่ใจเสาะยอมยกธงขาวตั้งแต่หัววันแล้วจะแจ้นวิ่งขอกลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่า กกต.จะควักใบแดง หรือใบเหลืองให้ คุณชายหมูหรือไม่       
       แต่ตามสภาพความจริง เฉลิม รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสที่คดีจะพลิกแล้วเป็น บิ๊กจูดี้ที่ผงาดเข้าวินแบบเหนือความคาดหมายในตอนท้ายแทบจะเป็นไปไม่ได้       
       เพราะหากการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องเผาบ้านเผาเมืองจะทำให้ต้องขนหีบบัตรมากาบัตรเลือกตั้งหาพ่อเมืองกรุงกันใหม่อีกรอบ กรณีสนามใหญ่อย่างการเลือกตั้งทั่วปี 2554 พรรคประชาธิปัตย์ คงไม่สามารถมาลอยนวลเป็นฝ่ายค้านตะพึดตะพืออยู่จนทุกวันนี้เนื่องจากแคมเปญนี้เคยใช้มาแล้วแทบนับครั้งไม่ถ้วน       
       และเหตุที่กกต.ต้องชะลอการรับรองออกไปก็เป็นไปตามกฎหมายที่เปิดเวลาไว้ให้ได้ไต่สวนปกติเช่นเดียวกับศึกเลือกตั้งสนามใหญ่ปี 2554 ที่กว่าจะรับรองผลความเป็น ส.ส.ได้ครบทั้งสภาก็ต้องรอจนครบตามที่กฎหมายกำหนด       
       โดยเฉพาะในกรณี ตุ๊ดตู่จตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ได้ตั๋วเข้าสู่สภาล่างเป็นรายสุดท้ายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดในตอนนั้น       
       วาระแขวน คุณชายหมูเที่ยวนี้จึงไม่น่าจะมีอะไรให้พรรคสีฟ้าเสียวสันหลัง ตามคิวที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคและองคาพยพออกมาแสดงความมั่นใจไม่ตื่นตระหนกกับเวลารับรองผลที่ถูกยืดออกไป       
       ขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาในพรรคเพื่อไทยเองตอนนี้ก็เรียกว่า อยู่ในอาการรับสภาพที่เกิดขึ้นแล้ว และแทบไม่มีใครยังนั่งหวังลุ้นคดีพลิก แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นาทีนี้กำลังออกอาละวาดกราดใส่ลูกพรรคที่ทำให้แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้แทนที่จะมาพนมมือภาวนากับผลของกกต.ในไม่กี่วันข้างหน้า       
       โดยเฉพาะอาการล่าสุด ที่ควันออกหูพ่นไฟผ่านโปรแกรมสไกป์ในที่ประชุมคณะทำงานประสานภารกิจของพรรคเพื่อไทยที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค นายสาโรช หงษ์ชูเวช รองผู้อำนวยการพรรค นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรค เข้าร่วมฟัง       
       ซึ่งตามรายงานข่าวที่ออกมาคนที่โดนจวกหนักที่สุดกลายเป็น เจ้าแม่วังทองหลางคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ และเหล่าทีมงาน ส.ส.กทม.ในสังกัด โทษฐานเป็นพื้นที่รับผิดชอบ ที่ถึงขั้นขู่ว่าพื้นที่ไหนทำงานไม่ดีรอบหน้าอาจอดลงสมัครเลือกตั้งส.ส.เป็นแน่       
       ชนิดจิกรายตัวพวกผลงานห่วยกันเลยทีเดียว       
       งานนี้ เจ๊หน่อยและองคาพยพเลยรับบทตัวการทำให้พ่ายแพ้ไปเต็มๆ ทั้งๆ ที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้คือภูมิธรรม”       
       อย่างไรก็ตาม ตามจังหวะเนื้อหาในที่ประชุมหลุดออกมาแบบจงใจพุ่งเป้าไปที่ เจ๊หน่อยหากจับทางให้ดีๆ ก็อาจมีเกมการเมืองภายในพรรคเพื่อไทยเองเกิดขึ้นเหมือนกัน โดยเฉพาะหากมองไปที่องค์ประชุมวันนั้นว่ามีใครบ้างและใครบ้างในวันนั้นที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเจ้าแม่วังทองหลาง”       
       ดังนั้น บางทีเกมนี้อาจเป็นความตั้งใจที่ใครบางคนต้องการโยนความรับผิดชอบ หรือเรียกง่ายๆ ว่ากำลังหา แพะมาสังเวยกับความพ่ายแพ้ในศึกเสาชิงช้าครั้งนี้       
       เพราะหากมองย้อนกลับไปก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจส่ง บิ๊กจูดี้เป็นนอมินีลงสู้ศึกเสาชิงช้า เจ๊หน่อยถือเป็นบุคคลที่ ส.ส.กทม.ในพรรคเพื่อไทยกระโดดหนุนเชียร์อย่างสุดแรงแข่งกับกลุ่มก๊กอื่นๆจนถึงโค้งสุดท้ายก่อนจะถูกดับฝันลงในบั้นปลาย       
       ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนก็เลยจับจ้องว่าเมื่อไม่ได้ลงแล้ว เจ๊หน่อยจะยังช่วย บิ๊กจูดี้หาเสียงอยู่หรือไม่ เพราะส.ส.กทม.หลายคนก็ไม่พอใจกับผลการตัดสินของพรรคในครั้งนี้       
       อีกทั้งอดีตรอง ผบ.ตร.รายนี้เองก็ถือเป็นคนที่ สารวัตรบางบอน ซึ่งผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกับ เจ้าแม่วังทองหลางถือหางหนุนแบบออกนอกหน้านอกตาอีกด้วย       
       และเมื่อเทศกาลหาเสียงมาถึง ก็ปรากฏว่าไร้เงา เจ๊หน่อย มาเดินข้างกายช่วย บิ๊กจูดี้หาเสียงในช่วงแรกจริงๆ จนเกิดกระแสข่าวลือ ศึกเกาเหลา กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จนทั้งคู่ต้องออกมาให้ชักภาพกลบข่าวความแตกร้าวภายในพรรคเพื่อไทยพร้อมกับเดินช่วยหาเสียงบ้างในบางโอกาส       
       แต่กระนั้น เจ๊หน่อยก็ยังถูกตั้งข้อสังเกตอย่างหนักมาตลอดว่า ไม่ได้ออกมาช่วย บิ๊กจูดี้หาเสียงอย่างเต็มที่เท่าที่ควรเช่นเดียวกับส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยก็โดนในข้อหาเดียวกัน       
       และเมื่อผลออกมาเป็นความปราชัยแน่นอนศัตรูในพรรคทุกคนพร้อมจะเหยียบซ้ำ เจ๊หน่อยตามรูปการณ์ที่ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้       
       ขณะที่หลายคนที่อุ้มชู บิ๊กจูดี้อย่างออกหน้าออกตา และต้องมีส่วนรับผิดชอบต่างก็ลอยหน้าลอยตารอดกับความผิดครั้งนี้โดยไม่ต้องเจ็บตัวอะไรเลย       
       นอกจากความรับผิดชอบที่ถูกยัดเยียดให้กับศึกผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ยังว่ากันว่า เจ้าแม่วังบัวบาน บอสใหญ่แห่งโซนภาคเหนือก็ไม่ได้แฮปปี้กับ เจ๊หน่อยเท่าไหร่นัก แถมยังจดขึ้นบัญชีหนังหมาเลยว่า ส.ส.กทม.รายไหนบ้างที่ไม่มีวันญาติดีด้วย       
       ตามสภาพการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเที่ยวนี้ต้องบอกว่าถึงคราวดวงตกของ เจ้าแม่วังทองหลาง เข้าเสียแล้ว เพราะสถานะในพรรคไม่ค่อยสู้ดีเอาเสียเลย       
       ทั้งศัตรูในพรรค ผลงานในศึกเสาชิงช้า และโดยเฉพาะ นายใหญ่-นายหญิง-เจ๊ ด. 3พลังหลักในรัฐบาลไม่ปลื้มเอาอย่างแรง       
       ดูท่าอนาคตทางการเมืองของเจ้าตัวและเด็กในสังกัดจะรุ่งยากเข้าเสียแล้ว.

แผนชั่ว แยกแผ่นดินสถาปนารัฐไทยใหม่-นครรัฐปัตตานี!?

http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 มีนาคม 2556
ผ่าประเด็นร้อน        
       นึกอยู่แล้วเชียวว่าเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ในเวลานี้ไม่ว่ามองในมุมไหนให้เอื้อต่อการเจรจาสงบศึก หรือแม้แต่จะเรียกว่าเจรจาสันติภาพก็ตามที เพราะหนึ่งในเวลานี้ในพื้นที่มีกลุ่มที่ก่อความไม่สงบมากมายหลายกลุ่ม แทบจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ลักษณะที่เป็นอยู่ก็ไม่เชิงเป็นการจัดตั้งองค์กรเป็นหลักแหล่ง ลักษณะจึงไม่ต่างกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับการปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังโดยเอาเรื่องเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มาเป็นสาเหตุ หรือแม้แต่เหตุการณ์อัปยศที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในกรณี ตากใบ-กรือเซะ        
       ที่ผ่านมากลุ่มที่ก่อความไม่สงบเหล่านี้ปฏิบัติการเหิมเกริม และมีแนวร่วมเพิ่มขึ้นทุกวัน สังเกตได้จากหลังก่อเหตุอย่างอุกอาจแล้วยังสามารถใช้รถยนต์ขับหลบหนีเจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่อาจจับกุมได้เลย นั่นก็แสดงว่าชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ หรือให้ข่าวน้อยมาก จนแทยจะเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง       
       นั่นเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่อาจควบคุมสภาพได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจและอยู่ในความรับผิดชอบหลักของฝ่ายตำรวจ ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าล้มเหลว เพราะมีการก่อเหตุได้ตามใจชอบหลายครั้งจนสร้างความเสียหายมีผลกระทบทางจิตวิทยาในวงกว้าง       
       ด้วยบรรยากาศอย่างที่เห็น หากพูดกันแบบไม่ต้องเกรงใจก็ต้องบอกว่าฝ่าย
เจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้เปรียบ คุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดไม่ได้ ส่วนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้นแม้ว่ายังไม่มีศักยภาพในการ ยึดพื้นที่ แต่มีศักยภาพในการก่อการสูงขึ้น นี่ว่ากันขนาดยังไม่มีการจัดตั้งองค์กรชัดเจนรวมไปถึงการประกาศวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการ       
       ความเป็นจริงเห็นกันตำตาอย่างนี้ เมื่อจู่ๆมีการเจรจาแบบ เต็มคณะใหญ่โต เพราะมีนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าร่วมด้วย ภายใต้การอุปถัมภ์ของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมวงลงนามถ่ายภาพออกสื่อ แต่จะแตกต่างอะไรละในเมื่อนายกรัฐมนตรีของไทยก็อยู่ในเหตุการณ์เจรจาด้วย รับรู้อยู่ทุกขั้นตอน        
       ขณะเดียวกัน การส่งระดับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร นำทีมเจรจาลงนามในกรอบสันติภาพกับตัวแทนของกลุ่มบีอาร์เอ็น ยังถือว่าไม่สมควร นอกเหนือจากการยกฐานะกลุ่มก่อความไม่สงบแยกดินแล้ว
ยังเป็นการนำปัญหาชายแดนใต้ซึ่งเป็นปัญหาภายในออกไปสู่สากลอย่างเต็มตัว ได้ไม่คุ้มเสีย นี่ยังไม่นับในเรื่องที่กลุ่มดังกล่าวแทบจะไม่มีบทบาทในพื้นที่หยุดนิ่งมานานเป็นสิบปีแล้ว ไม่ต่างจากกลุ่มพูโล ที่เงียบหายไป ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่การเจรจาดังกล่าวของรัฐบาลไทยจึงออกมาในลักษณะของการสร้างภาพการเมืองทั้งในพื้นที่เพื่อแย่งชิงกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ ในกลุ่มผู้นำมุสลิมบางประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีมาเลยเซีย นาจิบ ราซัค ที่กำลังจะนำพรรคอัมโนลงเลือกตั้งใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า       
       มีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ นั่นคือ คำให้สัมภาษณ์ของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เผยว่าเบื้องหลังการเจรจาดังกล่าวมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ประสานงานมา แน่นอนว่าเพียงแค่นี้มันก็ถึงบางอ้อ ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาโดยพลัน เมื่อมีชื่อคนๆนี้เข้ามา นั่นมันก็
ต้องมีเรื่องธุรกิจการตลาดเข้ามาเชื่อมต่อ รวมไปถึงบุคคลอื่นที่ดึงมาเชื่อมโยงถึงกันและภาพก็จะชัดในตัวของมันเองโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก       
       ล่าสุด รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ก็หลุดปากเปิดเผยเรื่อง มหานครปัตตานีหรือว่า นครรัฐปัตตานีว่าเป็นความคิดของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระยะหลังรับรู้กันในวงการว่าถูกดึงมาเป็น กุนซือในด้านความมั่นคงของรัฐบาลอีกรอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงขนาดก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะมาเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯด้านความมั่นคงกันเลยทีเดียวเพียงแต่จังหวะยังไม่เหมาะ       
       สำหรับเรื่อง นครรัฐปัตตานีนาทีนี้รับรองว่าไม่ใช่ข่าวมั่ว หรือสื่อเต้าข่าว ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กำลังพยายามบิดเบือน เบี่ยงเบนไปเป็นอย่างอื่น เพราะก่อนหน้านี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ก็กล่าวแบบไร้เดียงสาออกมาให้เห็นว่า เป็นปลายทางของการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งตอนนี้มีกลุ่มบีอาร์เอ็นนำร่องเข้ามาก่อน และอ้างว่ายังมีอีก 8-9 กลุ่มกำลังซอยเท้าเตรียมเข้าร่วมเจรจาอ้างว่าจะตกขบวนสันติภาพเพียงแต่ว่าเมื่อถูกด่ายับทำให้ต้องปฏิเสธในภายหลัง       
       ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยกำลังมีการคัดเลือกตัวแทนจำนวน 15 คนสำหรับการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในวันที่ 28 มีนาคมที่มาเลเซียอีกรอบ เหมือนกับการสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าสันติภาพกำลังเดินไปด้วยดีท่ามกลางเหตุร้ายเกิดขึ้นรายวัน       
       เมื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมไปถึงตัวบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และล่าสุดมีตัวละครสำคัญเข้ามาเพิ่มคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทำให้ภาพของ รัฐไทยใหม่กับ นครรัฐปัตตานีชัดเจนขึ้น และอย่าได้แปลกใจที่ในที่สุดแล้วเป้าหมายปลายทางจะเดินไปแบบนี้เพราะทุกอย่างเหมือนกับการออกแบบเอาไว้ล่วงหน้า และทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ต่างจากการนำเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาแบ่งกัน โดยที่ตัวเองได้ชิ้นใหญ่ที่สุดได้ประโยชน์ที่สุดนั่นเอง        
       หากบอกว่านี่คือหนึ่งในแผนชั่วที่กำลังสมคบคิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น