ศาลรธน.ร้องป.เเจ้งจับ’เสื้อเเดงหมิ่น โจกเเดงเหิม
ประกาศจับ 9ตลก.พท.โวได้ชื่อครบถอดตุลาการ
ศาล รธน.บุกกองปราบ แจ้งจับ 4 หัวโจกแดงหมิ่นตุลาการ ชี้ผิดอาญา ม.136-198 ขณะที่ “แก๊งแดง” ฉุนประกาศตั้ง สน.ประชาชน สั่ง 9 ตุลาการ รธน. อ้างไร้ความชอบธรรมปฏิบัติหน้าที่ ด้าน ตร..ระดมกำลัง 2 กองร้อยคุมเข้ม ส่วน “ปชป.” ร่อนหนังสือจี้ปูสั่ง สตช.คุ้มครองศาล รธน.-ตุลาการ อัด 312 ส.ส.-ส.ว.รับใช้นักโทษหนีคดี แอบอ้างนิติบัญญัติท้าชนศาล รธน. ขณะที่ “พท.” เดินหน้าชน อ้างทักษิณสั่งลุยแตกหัก กร้าวพร้อมยุบสภา-ไม่หวั่นถูกยุบพรรค ด้าน “นพดล” งานเข้า ศาลฎีกาฯ การเมือง รับฟ้องลงนามร่วมไทย-เขมร ไม่ผ่านสภาฯ ส่วน เจ้าตัว ยืนกรานไม่ผิด อัด ป.ป.ช.ใส่ร้าย-ฟ้องเท็จ ลั่นพร้อมสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ขณะที่ “ชวนนท์” เชื่อหลักฐานมัดนพดลแน่น ดิ้นไม่หลุดแน่ เย้ยอย่ามั่วพล่ามบิดเบือนข้อมูล ไล่หาหลักฐานสู้คดีดีกว่า หวังศาลกระชากหน้ากาก ใครอยู่เบื้องหลังขายชาติให้เขมร
“เสื้อแดง” ยื่น ป.ป.ช.สอบตุลาการ รธน.
วันที่ 26 เม.ย. ที่สำนักงาน ป.ป.ช.สนามบินน้ำ เมื่อเวลา 14.10 น. กลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) นำโดย นายศรลักษ์ มาลัยทอง โฆษกกลุ่ม กวป. นำกลุ่มคนเสื้อแดงมากกว่า 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ที่อาจเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบตรึงกำลังทั้งด้านนอกและด้านในรั้วสำนักงาน ป.ป.ช. พร้อมกับนำแผงเหล็กมาวางเป็นแนวและล็อกประตูทางเข้าไม่ให้มีการชุมนุมประชิดรั้วสำนักงานฯ อีกด้วย ทั้งนี้ในหนังสือของกลุ่ม กวป.ที่มีจำนวน 2 แผ่น กระดาษ A4 ระบุว่า สืบเนื่องจากกลุ่ม กวป.ติดตามการทำหน้าที่ขององค์กรตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แสดงออกผ่านคำวินิจฉัยและพิพากษาในคดีที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือภายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กรตุลาการศาล รธน. ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ส่งผลให้องค์กรตุลาการฯในภาพรวมมิได้ดำรงอยู่ในฐานะคนกลางที่ทุกฝ่ายของสังคมยอมรับและนับถือให้คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาเป็นที่ยุติอีกต่อไป รวมทั้งกรณีที่ประธานศาล รธน. ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำคำวินิจฉัยและวิธีการทำงานของศาล รธน. ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาล รธน.ว่าด้วยวิธีพิจารณาและทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 54 ทั้งนี้หลังจากยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ทางกลุ่มสื่อวิทยุฯ ได้เดินทางกลับมาสบทบที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ และในเวลา 20.00 น.แกนนำจะขึ้นเวทีประกาศจุดยืนพร้อมอ่านแถลงการณ์เพื่อนำมวลชนเข้ากระชับพื้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ทีกลุ่มผู้มาชุมนุมกดดันหน้าศาลนั้น คณะตุลาการก็ยังคงเดินทางมาทำงานตามปกติ ซึ่งไม่มีตุลาการคนใดแสดงอาการหวั่นไหวหรือหวาดกลัวผู้ชุมนุม ประกอบกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงทำงานตามปกติเช่นกัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 2 กองร้อย คอยดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
เหิมสั่งจับตัว 9 ตุลาการ รธน.
ขณะที่ บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณด้านหน้าอาคารศาลรัฐธรรมนูญ ในช่วงเย็น แกนนำได้แถลงประกาศจัดตั้ง สน.ประชาชน จับกุมตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ภายหลังที่ เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เข้าร้องต่อกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำ ในวันนี้ เนื่องจากมีการกล่าวพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง โดย นายพงษ์พิสิษฐ์ พงษ์เสนา หรือ เล็ก บ้านดอน ในฐานะประธานกลุ่มวิทยุสื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกลุ่มแกนนำ ได้มีการประกาศอารยะขัดขืนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไร้ความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ขอยอมรับข้อกล่าวหา ที่ทางศาลได้มีการฟ้องร้องในวันนี้ พร้อมประกาศ หากประชาชนเจอตัวตุลาการทั้ง 9 ที่ใด ให้จับกุมตัวได้ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาของประชาชน อย่างไรก็ตาม ที่ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ได้มีการจัดกองกำลังเสริมเพิ่มเติม โดยกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จำนวน 1 กองร้อย คอยดูแลบริเวณด้านหน้าอาคารอย่างเข้มงวด ส่วนภายในตัวอาคารศาล ในขณะนี้มีเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย คอยประจำการ
พท.ล่าชื่อถอดตุลาการครบแล้ว
นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความคืบหน้าในการยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ขณะนี้มี ส.ส.รัฐบาลมาลงชื่อไปแล้ว 100 กว่าคน ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะการยื่นถอนถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เสียงเพียง 1 ใน 4 ของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น แต่กรณีนี้ ส.ว.จะไม่เข้าชื่อร่วมถอดถอนด้วย เพราะ ส.ว.ต้องทำหน้าที่พิจารณาถอดถอนในขั้นตอนสุดท้ายหาก ป.ป.ช.ส่งเรื่องมาให้ดำเนินการ โดยต้องใช้เสียง ส.ว. 3 ใน 5 หรือ 90 เสียงในการถอดถอน แต่เราไม่ได้หวังถึงจุดนั้น แค่หวังแสดงบทบาทว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญก้าวก่ายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ส่วนการยื่นถอดถอนนั้น จะถอดถอนเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 3 คน ที่รับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา ส่วนจะยื่นถอดถอนเมื่อใดนั้น ขอดูท่าทีจากศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังจากที่ 312 ส.ส.-ส.ว.ยื่นจดหมายเปิดผนึกปฏิเสธอำนาจศาลก่อน ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้ายังนิ่งเฉยและดำเนินการวินิจฉัยต่อไป ก็ต้องยื่นถอดถอน ขณะนี้หนังสือเปิดผนึกเพื่อปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอตรวจความเรียบร้อยในขั้นตอนสุดท้ายอยู่ คาดว่าจะส่งได้ภายในสัปดาห์หน้า โดยในวันที่ 30 เม.ย.จะมีการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย คงจะมีการนำหนังสือเปิดผนึกดังกล่าวให้ ส.ส.ดู ก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ซึ่งเนื้อหาในหนังสือจะเป็นการยืนยันทางกฎหมาย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ฝ่ายนิติบัญญัติทำได้ รวมถึงยืนยันหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
อ้าง “ทักษิณ” สั่งลุยแตกหัก
น.พ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่ตุลาการบางคนบอกว่านักมวยกำลังต่อยกรรมการนั้น ต้องย้อนถามกลับไปว่า กรรมการเป็นกลางหรือเปล่า ไปเตี๊ยมกับนักมวยฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เพราะคำพูดของฝ่ายค้านและกลุ่ม 40 ส.ว.ที่ออกมาเหมือนกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทบไม่ผิดเพี้ยน วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญกำลังใช้อำนาจเกินตัว และใช้จนเคยตัว ในที่สุดบ้านเมืองก็เดินไปไม่ได้ ดังนั้น การที่ ส.ส.และ ส.ว.จะปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หรือมีประชาชนบางส่วนแสดงออกว่าไม่เอาตุลาการบางคน ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และเห็นด้วยที่จะเคลื่อนไหวถอดถอนตุลาการบางคน ตนอยากเรียกร้องให้องค์กรอิสระกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด องค์กรอิสระรวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญนั้นควรมีอยู่ แต่ต้องจัดระเบียบคนในองค์กร วันนี้อำนาจ 3 เสาหลัก บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ อำนาจที่ดูเหมือนจะแตะต้องไม่ได้เลยคือตุลาการ ซ้ำยังมาแทรกแซงอำนาจอื่นอีก ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำตัวอยู่เหนือทุกอำนาจ แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอให้มีการปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนหลักเกณฑ์ หรือเพิ่มจำนวนตุลาการ รวมทั้งตั้งกติกาองค์ประชุมตัดสินคดี ไม่ใช่ให้คนไม่กี่คนมีอำนาจล้าฟ้า วันนี้เราต้องตั้งป้อมปราการ พร้อมตอบโต้เต็มที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็สั่งให้เดินหน้าเต็มที่ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หากยุบสภาก็พร้อมยุบ ประกอบกับ ส.ส. และ ส.ว.มีความไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ ศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาทันที คนเรามีศักดิ์ศรี มันก็เหลืออด ผมพร้อมลุยเต็มที่ อย่างเก่งก็ยุบพรรค ถ้ายุบก็ตั้งใหม่ จะถอดถอน ส.ส.หรือ ส.ว.มันไม่ง่ายแน่ ยอมรับว่าสู้กับตุลาการมันปวดหัว ถ้ามันไม่ไหวก็ยุบสภา แล้วก็รณรงค์ให้คนเลือกมากๆ เพื่อตีโต้อำนาจฝ่ายตุลาการที่กำลังข่มขู่คุกคาม
ศาล รธน.แจ้งความจับเสื้อแดง
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายภัทรพงษ์พันธ์ ศรีสะอาด เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ 4 รับมอบอำนาจจากนายปัญญา อุดชาชน รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เข้าพบ พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม เพื่อแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายพงษ์พิสิษฐ์ พงษ์เสนา หรือ “เล็ก บ้านดอน”, นายธนชัย สีหิน หรือ “ดีเจ.หนุ่มวีคลอง 11” ผู้ดำเนินรายการวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 107.4 เมกะเฮิร์ต, นายมงคล หนองบัวลำภู และนายศรรัก มาลัยทอง ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 และมาตรา 198 โดยทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมกับแผ่นซีดีบันทึกภาพ และเสียงคำปราศรัยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ มอบให้พนักงานสอบสวน ไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ได้มีกลุ่มบุคคลประมาณ 200 คน ได้จัดชุมนุมกันที่บริเวณหน้าที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ) อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. โดยมีและใช้เครื่องขยายเสียง กล่าวพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจส่งผลให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อีกทั้งยังมีพฤติการณ์ยั่วยุ ปลุกระดมมวลชนให้เกิดการกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และเข้าข่ายหมิ่นประมาทศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายบท ทางเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จึงส่งผู้แทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว ด้าน พ.ต.อ.ปิยะ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้องไว้แล้ว ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
ปชป.จี้ปูสั่ง สตช.คุ้มครองศาล รธน.
นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้ส่งจดหมายถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้สั่งการคุ้มครองความปลอดภัยตุลากการศาลทุกศาล และศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการคุกคามอาฆาตมาดร้ายมุ่งประสงค์ต่อชีวิตตุลาการศาล ศาลรัฐธรรมนูญ ข่มขู่ที่จะเผาที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ และมีการโฆษณาชวนเชื่อจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ในฐานะ ส.ส.จึงขอเรียกร้องต่อ นายกฯ ดังนี้ 1.ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคุ้มครองชีวิตตุลาการศาลทุกศาล และศาลรัฐธรรมนูญตลอด 24 ชั่วโมง 2.ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคุ้มครองที่ทำการศาลทุกศาล และศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่ใช้เป็นตำรวจมะเขือเทศที่จะสมคบกับผู้ไม่หวังดีเพื่อจะเผาศาลรัฐธรรมนูญ 3.สั่งให้กรมประชาสัมพันธ์ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีสิทธิ์ชี้แจงอย่างเต็มที่ทั้งทางวิทยุ และโทรทัศน์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อพี่น้องประชาชน อย่าให้กระบอกเสียงรัฐบาลโจมตีศาลรัฐธรรมนูญอย่างไม่เป็นธรรมเช่น 1 ปีที่ผ่านมา
อัด 312 ส.ส.-ส.ว. แอบอ้างนิติบัญญัติ
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การออกมาให้ความเห็นของ ส.ส. ส.ว.ที่ต้องทำคำชี้แจงไปที่ศาล รธน. แล้วใช้คำว่า เป็นการต่อสู้ของฝ่ายนิติบัญญัตินั้น เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสมาชิก จำนวน 312 คนที่เสนอแก้ไข รธน.นี้ (จำนวนก็ไม่เกินครึ่ง) และขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีมติใดๆ ออกมารับรอง สมาชิกเหล่านี้ รวมไปถึงประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภา ไม่ควรนำสถาบันนิติบัญญัติมาอ้างอิงในปัญหาของตนเอง การเรียกร้องไม่ให้ศาลมาก้าวก่ายงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ก็เช่นกัน เป็นการให้ความเห็นเพื่อโน้มน้าวประชาชนให้เข้าใจผิด ส.ส. ส.ว.ก็ควรเคารพและให้ความเป็นอิสระแก่ศาล รธน.ด้วย เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีคำตัดสินที่พอใจ เช่นไม่มีการให้ยับยั้งกระบวนการพิจารณากลับยอมรับ แต่เมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการกลับแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ ยิ่งมีข่าวว่าประธานสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ จะไปพบทักษิณ หรือการสั่งการของทักษิณมายัง ส.ส. หรืออาจรวม ส.ว.บางคน ยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าสมาชิกเหล่านี้ไม่เป็นตัวแทนของประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นทาสรับใช้ของนักโทษหนีคดี ที่สร้างปัญหาให้บ้านเมืองมาต่อเนื่อง จนทุกวันนี้
รับฟ้อง “นภดล” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายเอกชัย ชินณพงศ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน นัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ อม.3/2556 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ และที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีที่ นายนพดล ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.51 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยองค์คณะผู้พิพากษาฯ พิจารณาคำฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่าถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้ประทับรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาเพื่อมีพิพากษา และกำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 5 ก.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
“นพดล” ลั่นพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า ตนพร้อมไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตนไม่เคยมีเจตนาฝ่าฝืนมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 50 เลย เพราะมาตรา 190 ไม่ชัดเจน คลุมเครือ จนต้องมีการแก้ไขถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในปี 2551 ก็แนะนำว่าแถลงการณ์ร่วมไม่เข้าข่ายมาตรา 190 เพราะไม่เป็นหนังสือสัญญาและไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต แต่ศาลรัฐธรรมนูญไปเติมคำว่า “อาจ” เข้าไปในมาตรา 190 และตัดสินว่า แม้คำแถลงการณ์ร่วมไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตแต่ “อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต” ซึ่งถือว่าตัดสินเกินรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้วุฒิสภาเคยลงมติไม่ถอดถอนและอัยการสั่งไม่ฟ้องตนแล้ว เพราะเห็นว่าไม่ได้กระทำความผิด แต่ ป.ป.ช. ก็ยังอยากจะฟ้องเองโดยตั้งทนายฟ้อง และการบรรยายฟ้องก็เต็มไปด้วยความเท็จ และเป็นการใส่ร้าย เช่นระบุว่าตนย้ายนายวีรชัย พลาศรัย เพราะไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ร่วม ซึ่งเป็นความเท็จ ถ้าไม่เชื่อก็ควรไปถามท่านทูตจะดีที่สุด นอกจากนั้นกล่าวหาว่าตนลุกลี้ลุกลนอำพรางเสนอเรื่องเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วยกระดาษแผ่นเดียว ก็เป็นความเท็จ เพราะมีการประชุมเป็นขั้นเป็นตอนและที่ประชุมก็เห็นด้วยกับคำแถลงการณ์ร่วม ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารที่ร่วมประชุมในขณะนั้น
ยันทำเพื่อปกป้องชาติ
นายนพดล กล่าวต่อว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าคำแถลงการณ์ร่วมที่ทำไป กระทำเพื่อปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตาราง กิโลเมตร ทำร่วมกับเพื่อนข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ท่านทูตวีรชัยก็ยืนยันว่ากัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทและไม่รุกล้ำแนวเขตแดนตามมติ ครม. ดังนั้นแนวทางของแถลงการณ์ร่วมจึงเป็นการปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน และคณะทนายที่ต่อสู้คดีในศาลโลกก็เห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย และต้องการใช้ยื่นเพื่อต่อสู้คดี แต่ศาลปกครองได้ตัดสินให้แถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะไปแล้วจึงไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ ตนพร้อมที่จะไปต่อสู้คดีในศาลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพราะตนปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและทำไปเพราะมีเจตนาปกป้องดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร และหวังว่าศาลจะให้ความยุติธรรม
พท.ตอก ปชป.นิสัยรอกระทืบซ้ำ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่นายชวนนท์ และพรรคประชาธิปัตย์ จะกระโดดเข้าผสมโรงกับศาลฎีกา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพียงแค่การไม่นำแถลงการณ์ร่วมเข้าสภา พรรคประชาธิปัตย์ตีปีกราวกับว่า นายนพดล เป็นผู้ทำให้เสียดินแดน ซึ่งเทียบไม่ได้กับการสั่งการให้ปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงครามกลางเมือง การออกมาเหยียบย่ำซ้ำเติม กล่าวหาใส่ร้ายต่อคนไทยด้วยกันเอง ด้วยความเท็จ ว่าปล่อยให้กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว หมายความว่า เรายกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชาไปด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงก็เป็นไปตามที่ นายวีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และศาสตราจารย์อแลง แปลเลต์ ได้ชี้แจงไปแล้วว่ากัมพูชาได้ไปเฉพาะตัวปราสาท ไม่รุกล้ำแนวเขตแดน ที่กำหนดโดยมติ ครม.สมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทีมทนายฝ่ายไทย ยังยืนยันว่า แถลงการณ์ร่วมสมัยรัฐบาลสมัครนั้น เป็นประโยชน์ จึงอยากยื่นเอกสารนั้นขึ้นมาต่อสู้คดี ทำเรื่องขอไปยังศาลปกครองแต่ใช้ไม่ได้ เพราะศาลปกครองสั่งให้เป็นโมฆะไปแล้ว การแถลงคดีจบแล้ว แต่นายชวนนท์ ทำตัวราวกับว่าเป็นทนายกัมพูชาไม่สิ้นสุด กล่าวหานายนพดลด้วยความเท็จ ด่าคนไทยด้วยกันเอง แบบคนชอบเสี่ยง กล้าได้กล้าเสียเหมือนนักพนัน ทั้งที่การพนัน ไม่ทำให้ใครได้ดี
ปชป.ฟุ้งกระชากหน้ากากคนขายชาติ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้การไต่สวนดังกล่าวสะท้อนความจริงว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการขายชาติให้กัมพูชา เพราะที่ผ่านมา นายนพดล พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาตัวรอดว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นประโยชน์กับประเทศ และยังบิดเบือนคำพูดของนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก หัวหน้าทีมกฎหมายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ว่า นำแถลงการณ์ดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีที่ศาลโลก ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือทนายความกัมพูชาเป็นผู้หยิบยกเอาแถลงการณ์นี้มาใช้ประโยชน์ โดยระบุว่าในแถลงการณ์ยอมรับแผนที่แนบท้ายของกัมพูชา โดยไม่มีการเสนอแนวเส้นรอบปราสาทพระวิหารตามมติ ครม.ปี 2505 ทำให้ทนายวีรชัย ต้องหักล้างข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา ยืนยันว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีจุดกำเนิดจากแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา ที่นายนพดลไปลงนามไว้ เพราะในข้อ 1 ระบุว่าราชอาณาจักรไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวของกัมพูชา และในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวแนบแผนที่ของฝ่ายกัมพูชาที่นำมาใช้ต่อสู้กับไทยว่า ถ้าไทยยืนยันเส้นตามมติ ครม.ปี 2505 ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่จะมีการระบุถึงเส้นล้อมรั้วรวดหนามตามมติ ครม.ปี 2505 มาโดยตลอด แม้แต่ในแผนที่แอล 7017 ก็ยังระบุไว้ แต่ในแถลงการณ์ที่นายนพดลไปลงนามนั้น ไม่มีการยืนยันเส้นตามมติ ครม.ปี 2505 สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในคำฟ้องที่นายนพดลต้องไปต่อสู้คดี และอยากให้ ร.ท.(หญิง) สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกรัฐบาล หยุดบิดเบือนข้อมูลที่อ้างว่าทั้งรัฐบาลสมัครและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา เนื่องจากในความเป็นจริง คือ รัฐบาลสมัครเป็นผู้สนับสนุนให้มีการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว จนกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกสำเร็จในยุคดังกล่าว
วันที่ 27/04/2556 เวลา 8:13 น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น