|
|
ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ไม่น่าจะต้องชี้แจงสาธยายอะไรกันมาก เพราะถ้าติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็นเจ้าของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภา และยังครอบงำไปถึงสมาชิกวุฒิสภาอีกไม่น้อยที่ยอมลดตัวไปเป็นทาสรับใช้ก็จะพอมองออกและเข่าใจคำตอบว่าทำไมถึงมีการเคลื่อนไหวเพื่อ“ทำลาย”ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากลัวว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การฉีกฉบับปัจจุบันแล้วร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งอาจเรียกว่า “ฉบับแม้ว” ก็ไม่น่าจะผิดนัก เพราะถ้าทำสำเร็จ ถึงตอนนั้นคนอย่างทักษิณ ก็จะกลายสภาพจาก “เทวดาธรรมดา” เป็น “ซูเปอร์เทวดา” ไปทันที ถึงตอนนั้นถ้าไม่ป่วยตายหรือมีเหตุให้ต้องตายเสียก่อนเขาก็จะได้กลับมา “อย่างเท่” ตามที่ปรารถนาเอาไว้ไม่ยาก
อย่างไรก็ดี เพื่อทำความเข้าใจกันบ้างก็ต้องอธิบายให้เห็นภาพเสียก่อนนั่นคือความเคลื่อนไหวของเครือข่าย ทักษิณ ทั้งหมดโดยเฉพาะพวกสมาชิกสภาทั้ง ส.ส.และส.ว.จำนวน 312 คนที่เคยโหวตรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรก โดยเฉพาะการเสนอแก้ไขมาตรา 68 ว่าเป็นการกระทำที่มิชอบขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจภาคประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
ที่ผ่านมาได้มีสมาชิกสภาจำนวนหนึ่งได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องดังกล่าว และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว โดยให้ทั้งสองฝ่ายยื่นเอกสารและคำชี้แจงภายใน 15 วัน ด้วยเหตุดังกล่าวนี่แหละที่ทำให้พวกสมาชิกสภาและบรรดามวลชนในสังกัดอย่างคนเสื้อแดงเริ่มออกมาป่วนทันที มีทั้งประกาศไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หาว่าก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติบ้างละ หาว่าตุลาการมีที่มามิชอบบ้างละ สารพัดที่จะดิสเครดิต ล่าสุดก็สั่งมวลชนเสื้อแดงให้ไปตั้งเวทีขับไล่ตุลาการรัฐธรรมนูญผสมโรงเข้าไปอีก
แม้แต่ท่าทีของ ก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ศาลอาญายืนคำสั่งถอนประกันจนต้องนอนคุกต่อ หลังจากปิดสมัยประชุมสภา ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง เนื่องจากยังไม่มีความสำนึกผิดจากกรณีแกว่งปากไปพูดจาข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าจะไม่ขอโทษและยัง “หัวหมอ” อ้างในทำนองว่าศาลยังตัดสินผิดเสียอีก แม้ว่ากรณีหลังสุดจะเป็นเรื่อง “กระจอกส่วนบุคคล” แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นระดับเกรดต่ำแค่ไหน ก็ยังอุตส่าห์แสดงพลังให้เข้าตากับเขาด้วยเหมือนกัน
สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสี่มาตราที่ฝ่ายทักษิณมอบหมายให้ ส.ส.และส.ว.ในสังกัดแยกกันเสนอในลักษณะ “ต่างตอบแทน” อีกทั้งยังเป็นหลีกเลี่ยงในเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” มีทั้งเกี่ยวข้องกับการเจรจาธุรกิจจากการเสนอแก้มาตรา 190 เรื่อง ให้ ส.ว.มีแต่พวกเลือกตั้งและลงเลือกตั้งได้ไม่จำกัด แก้ไขไม่ต้องถูกยุบพรรค เป็นต้น
แต่ถึงอย่างไรถือว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นหัวใจสำคัญที่สุดใน “สถานการณ์เฉพาะหน้า” นี้ก่อน เพราะในสาระสำคัญที่เสนอแก้ไขนั้นได้ตัดอำนาจในการพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนออกไปนั่นคือห้ามร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็พอหลับตานึกภาพออกแล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร บทเรียนในกรณียื่นให้ตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 มีเจตนาเพื่อล้มล้างการปกครองฯ มีเจตนาฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อร่างใหม่ทั้งฉบับ เป็นการกระทำมิชอบและที่ผ่านมาภาคประชาชนเคยยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุดแต่ถูกดองเรื่องเอาไว้ จนต้องมีการยื่นโดยตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงจนกระทั่งทำให้การลงมติในวาระที่ 3 ของการแก้ไขมาตราดังกล่าวต้องสะดุดลง
ดังนั้น หากพิจารณากันตามขั้นตอนก็คือ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ก็เป็นการแก้เกมใหม่เหมือนบันไดขั้นแรก นั่นคือถ้าแก้ไขได่สำเร็จก็จะเป็นการ “ตัดมือตัดเท้า”ภาคประชาชนไม่ให้เคลื่อนไหวไปยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงได้อีก ดังนั้น เมื่อเชื่อว่าเป้าหมายของเครือข่าย ทักษิณ ไม่ได้หยุดแค่นี้เพราะหากทำสำเร็จก็จะเดินหน้าลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ค้างวาระสามสามารถเดินต่อทันที และนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับได้ตามเป้าหมายต่อไป และนี่แหละถึงได้บอกว่านาทีนี้การแก้ไข มาตรา 68 เป็นหัวใจสำคัญที่สุด
และอย่าได้แปลกใจที่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องรับพิจารณาคำร้องของบรรดาสมาชิกสภาและภาคประชาชนให้ตีความว่าการลงมติแก้ไขมาตราดังกล่าวมิชอบ ทำให้เครียดทันที เพราะถ้าผลออกมาว่าผิดจริงก็จะยุ่งกันใหญ่ และทำให้ต่อไปการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่นั้นแทบจะปิดตาย และที่สำคัญความฝันที่จะกลับมามีอำนาจอีกรอบ ความผิดถูกลบล้าง และได้กลับบ้านอย่างเท่ก็จะเลนหายไปกับสายลม และนี่คือคำตอบว่าทำไมถึงต้องป่วนศาลรัฐธรรมนูญกันทุกรูปแบบ เพราะถือว่าเป็นก้างขวางคอชิ้นโตนั่นแหละ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น