เผด็จการทุนสามานย์
จากไทยโฟสต์
อย่างที่ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย อาจารย์ มีชัย ฤชุพันธุ์ ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า...“ลองคิดดูว่า ถ้าศาลไม่เห็นด้วยกับฝ่ายนิติบัญญัติ พอออกกฎหมายอะไรมาแล้วก็ไม่ยอมตัดสินคดีตามกฎหมายนั้น ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใดก็ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ตำรวจไม่ยอมบังคับการตามกฎหมาย อัยการไม่ยอมฟ้องตามกฎหมาย พอศาลตัดสินคดีแล้ว กรมราชทัณฑ์ไม่ยอมเอาตัวไปลงโทษตามคำตัดสิน หรือกรมบังคับคดีไม่ยอมบังคับคดีตามคำพิพากษา คนแพ้คดีแล้วไม่ยอม ยกพวกมาล้อมบ้านโจทก์ หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายโจทก์ ตำรวจเห็นก็เฉยเสีย...แล้วบ้านเมืองจะไปเหลืออะไร”
------------------------------------------------------
การกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ศาลรัฐธรรมนูญ โดยอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจมวลชน ในช่วงนี้...ไม่ว่าจะก่อให้เกิดความ ถูกใจ สะใจ ต่อผู้ที่มักอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก หรือเป็นเสียงส่วนใหญ่ก็ตาม สุดท้ายแล้ว ย่อมนำไปสู่ความฉิบหายของชาติ บ้านเมือง อย่างทั่วทั้งระบบ ชนิดมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่มีอำนาจดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ยังอุตส่าห์ออกมาจีบปาก จีบคอ สรุปว่าการกระทำของมวลชนหน้าศาล ถือเป็น การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อยู่แล้วล่ะก็ นอกจากจะเป็นอะไรที่ หญ้าแพรก อย่างชนิดเหลือกำลังลากแล้ว ยังน่าจะเร่งให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปเป็นนายก อบจ.จังหวัดหาดใหญ่ ให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว กันไปซะที หรือจะให้เดินทางไปเจรจากับ ประธานาธิบดีมาเลเซีย ในช่วงเดือน พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แทนที่จะมาลอยหน้า ลอยตา เดินทางไปโน่น มานี่ ตาม ใบสั่ง ของพี่ชาย โดยมิได้คำนึงถึงสถานะ ตำแหน่ง และหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง เอาเลยแม้แต่น้อย...
----------------------------------------------------------
เหมือนอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท่านได้ตั้งคำถามเอาไว้นั่นแหละว่า...ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่ง หรือมวลชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คิดจะจัดตั้ง สน.ประชาชน แล้วป่าวประกาศให้จับตัวนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล เอาไปทำปู้ยี่ ปู้ยำ ได้ตามชอบใจ จะถือเป็น การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ได้เช่นกันหรือไม่ แน่ล่ะว่า...ถ้าใครต่อใครดันหันไปใช้ มาตรฐานเดียวกัน กับที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้ออกมาให้คำรับรองเอาไว้ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ย่อมมีแต่จะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไม่จำเป็นจะต้องมีนายกรัฐมนตรีกันอีกต่อไป เพราะระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมต้องกลายสภาพไปเป็นระบอบ อนาธิปไตยอันมีพระเจ้ามูลเมืองทรงเป็นพระประมุข แบบโดยเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์...
-------------------------------------------------------------
จากนั้นใครคิดจะฆ่าใคร ขู่ใคร คิดจะเล่นงานใครต่อใคร ก็ย่อมได้ ขอเพียงแต่ให้เอารูป ทักษิณ ทูนหัวเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ก็พอจะอยู่รอด ปลอดภัย หรือพอได้กร่าง ได้แสดงออกถึงความเป็นกุ๊ย ได้ในทุกๆ สถาน ทุกกาล และโอกาส อันนี้...มันน่าจะเป็นอะไรที่หนักหนา สาหัส ซะยิ่งกว่าระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบบอำมาตย์ของแท้แต่ดั้งเดิม ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า เรียกว่า...แทบไม่ต้องไปพูดถึงมาตรา 112 หรือมาตราอื่นๆ ใดๆ กันอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เรียกว่า กฎหมาย ย่อมไม่มีโอกาสที่จะหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่ กฎหมู่ ล้วนๆ กฎที่ว่าด้วยใครที่มีเงินมากกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า คนนั้น...ก็เอาไป!!! หรือแบบเดียวกับ กฎแห่งป่า หรือ กฎของสัตว์เดียรัจฉาน ธรรมดาๆ เราดีๆ นี่เอง...
-----------------------------------------------------------------
อันที่จริงก็พอจะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่...ว่าถ้าหากไม่มี ไฟเขียว ให้เดินหน้า ทาส ที่ไหนที่จะยอมเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา ยอมเสี่ยงคุก เสี่ยงตะราง ออกมาเล่นงานศาลกันแบบจะจะ ซึ่งๆ หน้า เพราะสำหรับผู้ที่พอจะมีความคิด ความอ่าน อยู่บ้างแล้ว การแสดงออกถึง สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ด้วยวิธีอื่นๆ มันยังมีอยู่อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ถึงขั้นต้องล้อมศาล ปิดศาล ห้ามไม่ให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ตามภาระหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ให้ต้องดูแล รับผิดชอบ หรือถึงขั้นประกาศไล่ล่า คิดจะจับตัวศาลสูงสุด ตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาขึ้นศาลเตี้ยเอาดื้อๆ เรียกว่า...ถ้าไม่ถูกใจ ไม่พอใจ กันจริงๆ แล้ว จะหันไปใช้วิธี อดหญ้าประท้วง ยังน่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ คือนอกจากจะไม่ถือเป็นการใช้ความรุนแรง ยังพอจะเรียกว่าเป็นการใช้สิทธิ โดยไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้อีกด้วย...
------------------------------------------------------------------
แต่การที่มวลชนเดินหน้าใส่เกียร์ห้า โดยมีมวล ส.ส.และ ส.ว.ใส่เกียร์สาม ตามหลังมาติดๆ อันนี้...แทบไม่ต้องเสียเวลาไปคิด ไปวิเคราะห์ อะไรให้มากเรื่อง มากความ เอาเป็นว่า...น่าจะพอสรุปได้ว่า มันเอาเราแน่ ก็แล้วกัน คือกะจะเถลิงอำนาจในแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด กะจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตย ให้กลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุนสามานย์ กันแบบเห็นๆ การออกเดินสายปลุกระดมมวลชน ของคนระดับรัฐมนตรี ระดับรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้ เอาทักษิณกลับมา นั้น ไม่ว่าจะอ้างเหตุ อ้างผล อ้างอารมณ์ ความรู้สึก อ้างรสนิยม แห่งความเป็นทาส กันในแบบไหน อย่างไร สุดท้ายแล้ว...มันก็คือความพยายามที่จะ ข้ามศพ อำนาจตุลาการ หรือความพยายามที่จะเหยียบย่ำกฎหมาย เพื่อทำให้ สิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ผิด ไม่ต้องถูกลงโทษใดๆ แถมยังกลายเป็นสิ่งถูกต้อง ชอบธรรม ไปซะอีกต่างหาก...
------------------------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะอำนาจมวลชน และอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น ที่แสดงออกถึงการรับ ใบสั่ง ให้เดินตามกันมาเป็นพรวนๆ เป็นระลอกๆ กระทั่งอำนาจบริหารเองก็เถอะ ไม่ใช่แค่คิดจะใส่เกียร์ว่าง แสดงอาการไม่รู้ ไม่ชี้ ต่อการข่มขู่ คุกคาม อำนาจตุลาการเท่านั้น การตระเตรียมออกเดินสาย ปลุกระดมมวลชน กันอย่างเป็นระลอก แจ้งกำหนดการ แจ้งรายชื่อบรรดาแกนนำ ที่ตระเตรียมจะขึ้นเวที เพื่อจุดไฟในนาคร ออกมาเป็นรายตัว ให้เห็นกันอย่างเป็นระบบ อันนี้...ต้องถือเป็นการกระชากเกียร์ เข้าเกียร์หนึ่ง เตรียมที่จะโยกไปสู่เกียร์สอง เกียร์สาม ไปจนถึงเกียร์ห้า ในอีกไม่นานไม่ช้า และถ้าหากไม่แหกโค้งหักศอก วิ่งชนราวสะพาน หรือตกเหว ตายห่ากันไปทั้งขบวน การเดินหน้าเช่นนี้...ย่อมต้องนำไปสู่การสถาปนาระบอบทุนสามานย์สิทธิราชย์ ขึ้นมาแทนที่ระบอบประชาธิปไตย ตามความปรารถนา ความต้องการ ของ นายใหญ่ ในขั้นตอนสุดท้ายอยู่แล้วแน่ๆ หรือแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ยึดอำนาจ การ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง โดยอาจมีเนื้อหาที่เลวร้ายซะยิ่งกว่า การปฏิวัติรัฐประหาร ของพวก เผด็จการทหาร ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น