|
|
ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนอาจมองว่าบรรยากาศยามนี้เกิดความตึงเครียด เพราะได้เห็นเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีอยู่มากมาย ทั้งในรัฐบาล ในสภา นอกสภา ต่างระดมออกมากันเต็มพิกัด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เล่นกันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมาในรูปของการยื่นถอดถอน การแจ้งความดำเนินคดี หรือออกมาใน “แนวกุ๊ย” ก็คือขยิบให้พวกเสื้อแดงบางส่วนออกมาตั้งเวทีด่าตุลาการฯ กันหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เรียกได้ว่ากดดันข่มขู่กันทุกรูปแบบ เท่าที่จะนึกหรือสรรหาวิธีการออกมาได้
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่ากระทำโดยชอบหรือไม่ เพราะฝ่ายผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ขีดเจตนารมณ์ในการตัดสิทธิของประชาชน และมี “วาระซ่อนเร้น” เท่านั้นแหละทำท่าจะเป็นจะตายเสียให้ได้
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าพิจารณา “ในมุมความเห็นแก่ตัว” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ต้องเข้าใจและเห็นใจเขาเหมือนกัน เพราะใน “สถานะที่เป็นโจร” เป็นอาชญากรข้ามชาติ กำลังลุ้นอยู่กับความหวังใหม่ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหวังลบล้างความผิด และให้ตัวเองกลับมามีอำนาจทางการเมือง สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นและเท่ขึ้นไปอีก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมารับคำร้องตีความแบบนี้มันก็เกิด “ความเสี่ยง” ทำให้เกิดความล้มเหลวขึ้นมาอีกรอบ
เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยให้ “เด็กๆ” เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับนั้นต้องสะดุดลงและค้างคาวาระ 3 ในสภาอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อมีความพยายามแก้เกมใหม่เสนอมาในแบบรายมาตรา และยืมมือพวก ส.ว.หยิบยื่นให้ในลักษณะต่างตอบแทนแบบสมน้ำสมเนื้อ ทุกอย่างกำลังทำท่าไปได้ดี คาดหวังว่าจะไปได้ดีจะมีเงินใช้กันอู่ฟู่ แบ่งปันอำนาจกันอย่างแฮบปี้ดังที่การเสนอแก้ไขมาตราอื่น ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 190 ทำให้การงุบงิบเจรจากับต่างชาติทำได้สะดวกแทบทุกเรื่อง หรือเรื่องการแก้ไขไม่ต้องยุบพรรค หรือก่อนหน้านี้ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทก็ผ่านฉลุยมาแล้ว
แต่ฉับพลันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความว่าการแก้ไขมาตรา 68 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ นี่สิมันทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ขวัญเสียทันที เพราะถ้าผลออกมาว่าขัดด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ม่ว่าจะเป็นการตัดสิทธิกีดกันประชาชนไม่ให้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามเจตนารมณ์หรือด้วยเหตุผลอื่นใด มันก็ทำให้ช่องทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจและล้างความผิดของเขาแทบปิดตายทันที
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เราจะได้เห็นอารมณ์โกรธของ ทักษิณ เกิดขึ้นมาอีกรอบ และสั่งการให้เครือข่ายของเขาที่มีอยู่ทั้งหมดเดินหน้ากดดันศาลรัฐธรรมนูญทันที และโหมดำเนินการพร้อมกันทุกทาง เพราะใกล้กำหนดที่ศาลฯจะวินิจฉัยออกมาแล้ว โดยศาลได้สั่งการให้ชี้แจงภายใน 15 วันซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ใกล้ถึงกำหนดดีเดย์แล้ว
ดังนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเท่าใด มันก็ยิ่งระทึก เมื่อยิ่งระทึกมีแรงเท่าไหร่ก็ต้องขย่มให้เต็มกำลัง เหมือนอย่างที่กำลังออกอาการอยู่ในเวลานี้ ถล่มกันทุกทาง
แต่อีกด้านหนึ่งถามว่าจะสะเทือนถึงศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ คำตอบชัดๆ คือ “ไม่” และยิ่งพิจารณาจากตัวบุคคล พิจารณาจากตุลาการแต่ละท่านล้วนแล้วผ่านแรงกดดันหนักๆมาแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งการเป็นตุลาการต้องหนักแน่น ไม่ไหลไปตาม “กระแสแห่งความกลัว” แน่นอน ล่าสุดได้ยินท่าทีจาก จรัญ ภักดีธนากุล หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ออกมาย้ำให้เห็นแล้วว่า “ไม่หวั่นไหว” ความหมายก็คือ ไม่หลงกล “ไม่ลงไปทะเลาะให้เสียรังวัด” อย่างแน่นอน
ดังนั้นนาทีนี้สิ่งที่เห็นก็คือฝ่ายตุลาการฯ จะนิ่ง ไม่ตอบโต้ ถึงเวลาก็พิจารณาไปตามกฎหมายผลจะออกมาแบบไหนก็ค่อยมาว่ากัน แต่ขณะเดียวกันก็มีบรรทัดฐานให้เห็นแล้วว่าถ้าใคร “แหลม” เข้ามาเกินขอบเขต เข้าข่ายข่มขู่คุกคามเลยเถิด มันก็มีตัวอย่างกรณีของ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ชี้ให้เห็นอยู่ตำตา ถ้าใครคิดว่าเป็นเรื่องสนุก คิดว่าเท่ และสามารถสร้างความเด่นดัง หรือคิดว่านี่เป็นการทำงานให้ “เข้าตา” ทักษิณ อยากจะเสี่ยงก็เชิญได้ตามสะดวก
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของฝ่ายทักษิณ ก็คงทำได้แค่กดดัน จะทำให้เกินเลยแบบ “ถ่อยเถื่อน” แบบไร้ขีดจำกัดก็ไม่ได้ เพราะจะกระทบโดยตรงต่อรัฐบาลของตัวเอง และที่สำคัญการโจมตีศาลมากจนเกินไป ในทางตรงข้ามมันก็เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาจากสังคมในมุมกลับได้เหมือนกัน เพราะถึงขั้นข่มขู่คุกคามศาลไม่ว่าใครก็คงทำใจยอมรับได้ยากแน่นอน นี่แหละถึงได้บอกว่าในที่สุดแล้วคนที่สั่นระทึก ลุ้นแบบขนหัวลุกไม่ใช่ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรอก แต่เป็น ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น