วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ฤๅว่า..ขื่อแปประเทศไทย เสียงข้างมาก"ม็อบ"เป็นใหญ่???เมื่ิอ 29 เม.ย.56


ฤๅว่า..ขื่อแปประเทศไทย เสียงข้างมาก"ม็อบ"เป็นใหญ่???




เจตนารมณ์ของการมีองค์กรอิสระที่เรียกว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ" เพื่อการปฏิบัติตามพันธกิจรักษาหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนบังเกิดผลเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ และเพื่อควบคุมการใช้อำนาจรัฐให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมามีผลการวิจัยและการประเมินโดยสถาบันการศึกษาต่างๆ ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายคำวินิจฉัยได้สร้างคุณูปการต่อบ้านเมือง นำไปสู่การยุติข้อขัดแย้งต่างๆ แก้ไขปัญหาทางตันของบ้านเมือง และแก้ไขปัญหาขององค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ อันมีผลต่อการปฏิรูปการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย 
    แต่เจตจำนงของกลุ่มคนเสื้อแดง ในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณลานด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที และมีแกนนำบางคนประกาศให้จับตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นผู้ต้องหาของประชาชน จนถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย ประชุมกำหนดท่าทีที่จะเสนอชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ที่ล่วงละเมิดและแทรกแซงต่อฝ่ายนิติบัญญัติ ในกรณีที่รับเรื่องตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้น จะเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และเป็นสิทธิของประชาชนตามที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงความคิดเห็นในท่าทีเหมือนเห็นดีเห็นงามด้วย ดูเหมือนว่ายังเป็นประเด็นที่ต้องตั้งคำถาม และจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศต้องติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดด้วยความสนใจและอย่างรู้เท่าทัน
    ความน่าเชื่อถือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง จนวันนี้ที่สังคมไทยต้องช่วยกันคิดและพิจารณาให้รอบคอบเสียแล้วว่า องค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่ของผู้วินิจฉัยได้อย่างชอบธรรมอีกต่อไปจริง หรือว่าเป็นกระบวนการที่กระทำอย่างเป็นขบวนการของฝ่ายการเมืองที่ "ถูก" ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ โดยพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อบั่นทอนอำนาจขององค์กรอิสระที่เสมือนเป็นตัวแทนของภาคประชาชนให้อ่อนแอ ถดถอย  โดยฉวยโอกาสที่เสียงข้างมากของตัวเองในรัฐสภากำลังเป็นต่อหรือได้เปรียบ ผลักดันวาระซ่อนเร้นของตนเองในทุกเรื่องทุกนโยบาย จากแนวคิดดั้งเดิมของระบอบทักษิณ นั่นคือ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจด้วยการอ้างเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง โดยไม่แยแสความถูกต้อง และไม่ใส่ใจต่อประโยชน์ของส่วนรวม
    แม้จะมีหลายฝ่ายที่เห็นว่า อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขาดความชัดเจน และเป็นอิสระจนปราศจากขอบเขต เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาด และมีผลผูกพันต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรศาล และองค์กรอื่นๆ ของรัฐ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่แยกไม่ได้ตัดไม่ขาดจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศชาติบ้านเมืองในปัจจุบัน เพื่อการกดดันศาลรัฐธรรมนูญในรูปแบบต่างๆ ให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่นั้น มีนัยสำคัญเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตน และส่วนพรรคและพวกมากกว่าที่จะมองพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอิสระเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบอำนาจรัฐที่นับวันจะซับซ้อนและเกาะเกี่ยวเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนควบคู่ไปกับนโยบายจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน 
    ศาลรัฐธรรมนูญมีที่มาที่ถูกกำหนดอย่างละเอียดรอบคอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หากจะล้างบางหรือรื้อกระดานองค์กรอิสระดังกล่าว ทุกฝ่ายต้องมีคำตอบว่าทำเพื่อใคร และเพื่ออะไร สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองมากน้อยกว่าเก่าอย่างไร แต่การใช้เสียงข้างมากทั้งในสภาและนอกสภากระทำทุกวิถีทาง โดยลืมไปว่า เสียงข้างน้อยในสังคมไทยก็เป็นเจ้าของประเทศมีสิทธิมีเสียงไม่น้อยหน้ากว่ากันนั้น ขอยืนยันว่า นี่หาใช่วิถีของการปฏิรูปเพื่อหาทางทวงคืนความปรองดองสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม มันกำลังทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นอย่างมากมายว่า ประเทศชาติมีหน่วยงาน อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รวมทั้งสภาผู้แทนราษฎร สั่งหันซ้ายหันขวาได้ทุกเรื่อง ใช่..ประชาธิปไตยที่กำลังเรียกหา..กระนั้นหรือ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น