วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

มือที่มองไม่เห็นกับจลาจลในพม่า เมื่อ 3 เม.ย.56




มือที่มองไม่เห็นกับจลาจลในพม่า (2)

นอกบ้านผ่านเมือง : มือที่มองไม่เห็นกับจลาจลในพม่า (2) : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์


                         อย่างไรก็ดี มีประเด็นข้อสงสัยอยู่หลายประการที่สื่อตะวันตกมองข้ามหรือลดความสำคัญลงเพื่อให้การฟันธงว่าเป็นเรื่อง "ศึกศาสนาระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในเมืองพะโคหรือหงสาวดี" ของพ่อจะเด็ดหรือบุเรงนอง ผู้ชนะสิบทิศมีน้ำหนักน่าเชื่อมากขึ้น หนึ่งในข้อสงสัยที่สื่อตะวันตกมองข้ามก็คือคำให้การของชาวเมืองเมกถิลาหลายคนที่ยืนยันตรงกันว่าคนที่ก่อเหตุไม่ใช่คนในท้องถิ่น แต่เป็นคนนอกที่เข้ามาสร้างสถานการณ์ เนื่องจากชาวพุทธและมุสลิมต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติมานานหลายชั่วรุ่นโดยไม่เคยมีประวัติว่าเกิดความเกลียดชังจนไม่สามารถอยู่ร่วมโลกได้อีกต่อไป
                         ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์หลายคนให้ข้อสังเกตว่า ความรุนแรงครั้งนี้คล้ายกับจะมีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี นายจ่อ เต๊ต สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม “คนรุ่นปี 88”หรือรุ่นที่มีการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยจนถูกทหารปราบปรามอย่างรุนแรงต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาหลบภัยในไทยและในอีกหลายประเทศเปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุไม่นาน จู่ๆไฟฟ้าเกิดดับ สายโทรศัพท์ถูกตัด จากนั้นมีคนแปลกหน้าหลายสิบคนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาที่หมู่บ้านในตอนดึก แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงดิ่งไปบุกทำลายมัสยิด ตามด้วยการพังร้านน้ำชาของคนมุสลิม และยังยุยงให้ชาวบ้านก่อความรุนแรงด้วย
                         อีกประเด็นหนึ่งที่น่าคิดก็คือระหว่างเกิดเหตุที่มองเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องของน้ำผึ้งหยดเดียว เป็นการทะเลาะเบาะแว้งธรรมดาๆ ของพ่อค้าขายทองชาวมุสลิมกับลูกค้าชาวพุทธ กลับมีการปล่อยสารพัดข่าวลือต่างๆ อย่างเป็นระบบเหมือนกับเป็นฝีมือของมืออาชีพ ผ่านสื่อกระแสหลักและสื่ออ่อนไลน์ รวมไปทั้งการปรับแต่งรูปคนตายให้ดูน่าสยดสยอง ซึ่งล้วนแต่กระตุ้นความรู้สึกเกลียดชังระหว่างกันโดยพุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิม อาทิ มีข่าวลือว่ามีหญิงชราถูกทำร้ายจนเสียชีวิต หรือมีพระสงฆ์ถูกเผาทั้งเป็น จนชาวบ้านที่หลงเชื่อข่าวลือนั้นลุกฮือมาร่วมระบายความเคียดแค้น  ทั้งเผาร้านค้าใกล้เคียง เผาบ้านเรือน มัสยิด โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ตลอดจนคว้าอาวุธที่อยู่ใกล้มือมากที่สุดมาตีรันฟันแทงกัน ราวกับบ้านเมืองไร้ขื่อไร้แปลและไร้คนที่จะเข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้
                         แม้ว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงผู้นำศาสนาของทั้งสองกลุ่มจะพยายามเรียกร้องให้ทุกคนกลับมามีสติอีกครั้ง แต่ไม่ได้ผล สุดท้ายทางการต้องประกาศภาวะฉุกเฉินและประกาศกฎเคอร์ฟิว ห้ามทุกคนออกนอกเคหสถานในยามวิกาล ไม่เช่นนั้นจะถูกทหารที่ส่งเข้าไปตรึงสถานการณ์จัดการขั้นเด็ดขาด สถานการณ์จึงค่อยๆ สงบลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น