วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

"กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" เมื่อ 23 เม.ย.56


"กรมพระยาดำรงราชานุภาพ"



"ไทยสามัคคี" ก้มหน้า-ก้มตาเชียร์ "ทีมวีรชัย" สู้เขมรที่ศาลโลกแผล็บเดียว อยู่ทางนี้ "เจ้าไข่ฝังแร่" สั่งกองโจรเสื้อนอก "สภาบน-สภาล่าง" ที่ขุนไว้จนเชื่องน้ำข้าวให้ "ปฏิเสธอำนาจศาล" เป็นการประกาศสงครามระหว่างสถาบันนิติบัญญัติ กับสถาบันตุลาการ ใน "ศึกชิงประเทศ" ซะแล้ว!
    ศึกนอกกระหนาบ-ศึกในก็กระหน่ำ ความจริงเขาประกาศตั้งแต่ พฤหัสบดีที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ โน่น ประกาศพร้อมดันกฎหมายล้างโทษเข้าไปจ่อวาระแรก "ก่อนปิดสมัยประชุม" เปิดสภาวันไหน พร้อมใช้มือมากลากเป็นกฎหมายวันนั้น     
    สงสัยจะได้ยาบำรุงกำลังจาก "นางมโหธรเทวี" ที่ไสยาสน์โทงเทงมาบนหลังนกยูงแน่ๆ กองกำลังกบฏสถาบันหลักชาติ จึงฟึ่ดฟั่ดกันชนิดไม่เกรงฟ้า-อายดินขนาดนี้ ทั้งๆ ที่แต่ละคนโตจนเลียตูดหมาไม่ถึงกันทั้งนั้น แต่หามีความคิดไม่? 
    ก็อย่างที่บอก ชาวบ้าน-ชาวช่อง "คนไทยใจไตรรงค์" มัวแต่เชียร์ทีมท่านทูตวีรชัย ส่งใจไปช่วยกันอยู่หน้าจอเหยงๆ เลยถูกโจรทรยศชาติ-อสัตย์ประชาชน "ทุกคน-ทุกสี" ตลบหลังบ้าน มันกะล่อกระทั่งหมอข้าว-หม้อไห ก็จะไม่ให้เหลือนะนี่! 
    พวกนี้...พวกเด็กติดยาซะที่ไหน ขนาดประธานวุฒิ-ประธานผู้แทน เป็นหัวโจก ยกกำลัง ส.ส.-ส.ว. "ที่สวามิภักดิ์ทักษิณ" เหิมเกริม-อหังการรวมเป็นกองทัพ คล้ายว่าบ้านนี้-เมืองนี้ อยู่ในตีนพวกกูแล้ว จะทำอะไร แบบไหน มนุษย์หน้าไหนใครก็ไม่กล้าหือ
    ศาลรัฐธรรมให้ยื่นคำร้องแก้ข้อกล่าวหากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ขัดรัฐธรรมนูญ ภายใน ๑๕ วัน แทนที่พวกมันจะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในการเอื้อเฟื้อต่อระบอบและกลไกกระบวนการบ้านเมือง กลับทำตัวอย่างเลว...พวกกูไม่ยื่น-ไม่แก้ หน้าไหน ใครจะทำไม?
    เพราะพวกกู...ประชาธิปไตยระบอบทักษิณ "แผ่นดินแดง" โว้ย!
    อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือชาติ แค่อำนาจตุลาการ จะมาก้าวก่ายสั่งการอะไรกับสถาบันนิติบัญญัติอย่างพวกกู ที่มี "สถาบันบริหาร" นายกฯ ยิ่งลักษณ์เปี่ยมล้นอำนาจสยายชายกระโปรงบงการประเทศ เป็นแบ็กคุมหลัง
    แท็กทีมน่ะ...รู้จักมั้ย ประเทศไทย มี ๓ ขั้วอำนาจประชาธิปไตย สถาบันบริหาร-สถาบันนิติบัญญัติ-สถาบันตุลาการ แต่ตอนนี้สถาบันบริหารจับมือสถาบันนิติบัญญัติ
    "ทำเนียบจับมือรัฐสภา" ทำสงคราม "เผด็จศึก" สถาบันตุลาการ มีไรมั้ย...รึใครข้อง?
    บ้านเมืองพวกกูยังเผามาซะแล้ว วัดพระแก้ว...ก็ยังบึ้มซะ เพียงแต่พลาดไป กกต.-รัฐสภา กระทั่งโรงพยาบาลจุฬาฯ ยังบุกซะกระเจิง ขนาด "สมเด็จพระสังฆราช" ยังต้องหามทุลัก-ทุเล "หลีกทาง" ไปประทับที่ศิริราชแทน...เห็นมั้ย! 
    ฉะนั้น...แค่ศาลรัฐธรรมนูญมีน้ำยาอะไรกับประชาธิปไตยระบอบทักษิณ กล้าดีนัก มือซ้าย-ส.ส.ชงเรื่อง ส่งมือขวา-ส.ว.ให้ส่งต่อ ป.ป.ช.
    "ถอดถอน" ซะเลย!
    นี่..."สงคราม ๒ สถาบัน" จับมือล้ม "สถาบันตุลาการ" อันเป็นสถาบันสุดท้ายของบ้านเมือง (ที่ยืนต้านอยู่) ถ้าระบอบทักษิณล้มสำเร็จ นั่นเท่ากับว่า ประเทศไทย...เหมือนเต่า-เหมือนตะพาบในไห
    ทักษิณ เชิญแขกวีไอพี จากเขมร-พม่า-ญวน ฯลฯ มาตั้งโต๊ะ แล้วล้วงควักขึ้นมาแหกกระดองยำ-พล่าแกล้มเหล้าเลี้ยงกันสนุกสนาน ในวโรกาสยึดบ้าน-ยึดเมืองไทยวันไหนก็ได้ เพราะ "ทั้งหมด" อยู่ในกำมือได้เบ็ดเสร็จ!
    แต่...วันนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องนี้ เพียงปรารภให้ฟัง เพราะยังคาเรื่อง "ทีมไทย-ฮีโร่ศาลโลก" อยู่ เมื่อวาน (๒๒ เม.ย.) เสร็จศึกนัดสุดท้าย ท่านทูตวีรชัยยกทั้งคณะจากเฮกมาบางกอก โดยเฉพาะ มิสอลินา มิรอง ที่แฟนๆ ร้องหา...อยากเห็นหน้า อยากสบตา...มิรอง
    ตอนนำคณะขึ้นเวทีให้นักข่าวสัมภาษณ์ มีประเด็นหนึ่งที่ท่านทูตวีรชัย "ปรารภ" ในเชิงอยากอธิบายให้พี่น้องคนไทยได้เข้าใจในความเป็นจริงที่ถูกต้อง
    คือประเด็นเกี่ยวกับ "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ที่ศาลโลกเคยอ้างในคำตัดสินปี ๒๕๐๕ ว่า การเสด็จขึ้นไปในฐานะ "นักโบราณคดี" โดยมีข้าหลวงฝรั่งเศสที่ยึดครองเขมรอยู่มาต้อนรับ ว่าเท่ากับยอมรับเส้นเขตแดน และฝ่ายเขมรยกมาอ้างอิงอีก ระหว่าง ๑๕-๑๙ เม.ย.๕๖ นี้
    "ความจริง" ใน "ข้อมูลบิดเบือน" นั้น เป็นอย่างไร? ถ้าท่านฟังที่ ศ.อแลง แปลเลต์ โต้กลับฝ่ายเขมร เมื่อ ๑๗ เม.ย. ก็จะเข้าใจ นายอแลง แปลเลต์ ให้การต่อศาลโลกว่า..... 
    "....แม้ไทยยอมรับคำพิพากษาเมื่อปี ๒๕๐๕ อย่างชอกช้ำ แต่ก็ได้ปฏิบัติตามแล้ว และมติ ครม.ของไทย เมื่อปี ๒๕๐๕ ก็เพื่อถอนทหารและมอบพื้นที่รอบพร้อมปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา โดยรัฐบาลไทยกังวลถึงความไม่ชัดเจน จึงได้ทำป้ายและรั้วลวดหนาม เพื่อกำหนดพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหาร 
    แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน แต่กัมพูชาตอนนี้กลับอ้างว่า ไทยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ทั้งที่ผ่านมา กัมพูชาไม่เคยทักท้วงใดๆ และ "พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ" ประมุขของกัมพูชา ก็ทรงยินดีเกี่ยวกับสิ่งที่ไทยดำเนินการ โดยไม่ติดใจที่ไทยขึงลวดหนามล้ำเข้าไป ๒-๓ เมตร 
    โดยทรงเห็นว่า "ไม่มีความสำคัญ" เช่นเดียวกับการเสด็จฯ เยี่ยมของ "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ของไทย ในอดีต ที่ศาลโลกเคยใช้เป็นหลักฐานผูกมัดการยอมรับของไทยในการพิพากษาเมื่อปี ๒๕๐๕ ศาลโลกจึงจะมาทำ ๒ มาตรฐานไม่ได้ มันเห็นชัดจนแทบไม่ต้องพูดอะไรอีก....."
    เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น "คุณทวิช จิตรสมบูรณ์" ซึ่งท่านเสียบหู "ฟังตรง" จากศาลโลก ได้เขียนประเด็นนี้กระจายให้ทราบทั่วไป ผมจะก็นำมากระจายต่อ ดังนี้
    "วันนี้มู้ดแตกกรณีพระวิหาร เลยขอสานต่อว่า ปี ๒๕๐๕ ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทฯ ตกเป็นของเขมร โดยหลักฐานสำคัญอันหนึ่งคือ “การปิดปาก” ของกรมฯ ดำรง (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ที่เสด็จเยี่ยมปราสาทฯ ในการยึดครองฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ แต่ก็ไม่ทรงตรัสโต้แย้งใดๆ ซึ่งศาลโลกถือว่าเป็นการยอมรับว่าเป็นดินแดนของฝรั่งเศส
    ต่อมาผมเขียนในเฟซบุ๊กว่า กรมฯ ดำรงมิได้เป็น head of state การปิดปากของท่าน แม้จริง ก็ไม่น่ามีผลผูกพันต่อประเทศไทย     
    เพื่อนในเฟซบุ๊ก (ท่าน Conductor Logos ขออนุญาตให้เครดิต) เมนต์ต่อท้ายว่า ปีที่ท่านฯ ดำรงเสด็จนั้นท่านพระชนมายุ ๖๘ แล้ว และมีตำแหน่งเป็น "นายกสมาคมราชบัณฑิตยสถาน" ลองดูตำแหน่งท่านนะ 
    - พ.ศ. 2458 ดำรงตำแหน่งนายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร
    - พ.ศ. 2466 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และเป็นนายพลเอก
    - พ.ศ. 2468 ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี
    - พ.ศ. 2469 ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา
    - พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ"
    จริงอยู่สมัย ร.๕ ท่านเป็นถึงเสนาบดีมหาดไทย แต่น่าสังเกตว่า พอเข้ารัชสมัย ร.๖ ท่านตกต่ำมาก (สงสัยมีอะไรไม่ลงรอยกัน) เลยถูกลดมาเป็น นายกหอพระสมุด กระทรวงมุรธาธร (เดาว่าคือ กระทรวงศิลปากร) อภิรัฐมนตรีคงคือตำแหน่งกำนัล เป็นตำแหน่งลอย แบบว่าให้เกียรติ แต่ไม่มีอำนาจใดๆ (ประมาณที่ปรึกษาพิเศษ) สุดท้าย นายกราชบัณฑิตฯ ก็เหมาะแล้ว.
    การตกต่ำทางหน้าที่ราชการของท่านนี่กระมัง ที่ทำให้หันเหชีวิตมาทางวิชาการ มาศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี แทนการปกครองบ้านเมือง จนชำระประวัติศาสตร์ไทยไว้มากหลาย 
    ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า การเสด็จไปเยี่ยมปราสาทพระวิหารใน พ.ศ.๒๔๗๓ ของท่านนั้น เป็นการเยี่ยมทางวิชาการ ในฐานะนายกราชบัณฑิต ที่มิใช่การเยี่ยมทางการเมือง 
    ดังนั้น “การปิดปาก” ของท่าน แม้จริง ก็ไม่น่ามีผลผูกมัดประเทศไทยแต่อย่างใด แต่อนิจจา ศาลโลก เมื่อปี ๒๕๐๕ ก็ยังอุตส่าห์เอาประเด็นนี้มาเป็นข้อผูกมัดในการยกปราสาทพระวิหารให้เขมรจนได้ เพราะศาลโลกในขณะนั้นยังอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสมาก 
    แต่สมเด็จสีหนุนั้นเป็น head of state มีอำนาจการเมืองเต็มที่ ไปเยี่ยมปราสาทปี ๒๕๐๖ แล้ว "เปิดปาก" ว่า “เพียงสองสามเมตร ไม่เป็นไร” อีกทั้งตระหนักดีในกฎหมายปิดปากแล้วด้วย เพราะคดีความเขาพระวิหารเพิ่งเสร็จ ก็แสดงว่ายอมรับว่า..."รั้วไทยดีแล้ว ควรกำหนดเป็นเส้นเขตแดนระหว่างกัน" ซึ่งทำให้เส้นเขตแดนในแผนที่ผนวก ๑ นั้น ไม่มีผลอีกต่อไปโดยปริยาย 
    ดังนั้นดินแดน ๔.๖ ตร.กม. เป็นของไทย...ใช่ไหม?? 
    ประเด็นนี้ เราเปิดคดีใหม่ ฟ้องศาลโลกขอวินิจฉัยดินแดน ๔.๖ ตร.กม.เป็นของไทยได้ไหม โดยใช้หลักฐานเปิดปากของสีหนุนี้เป็นข้อผูกมัด...คดีนี้ไม่ใช่การอุทธรณ์คดีเขาพระวิหาร (ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว) แต่เป็นคดีฟ้องใหม่ ที่ไปพาดพิงคดีเขาพระวิหารโดยบังเอิญ 
                                                                                         ...คนถางทาง (๒๐ เม.ย.๒๕๕๖) 
    ป.ล. อ้อ..ลืมไป เราไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกแล้ว คงฟ้องไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ตระหนักกันไว้ในใจนะ สักวันเราจะแก้เผ็ดไอ้เศษฝรั่งให้จงได้ ตามที่กรมหลวงชุมพรฯ ท่านสอนไว้ 
    ใฝ่รู้ ใฝ่คิด ใฝ่ดี คือวิถีของปัญญาชน 
                                                                                                          --ทวิช จิตรสมบูรณ์ 
    ครับ...ภาค "ศาลโลก" ก็จบ จะเป็น "ภาคจวก" ในวันต่อไป จองตั๋วได้ที่ "ไทยทิกเก็ต".

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น