วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

กรี๊ดทนายสาว อลินา ฮีโร่ ศึกพระวิหาร เมื่อ 23 เม.ย.56




กรี๊ดทนายสาว อลินา ฮีโร่ ศึกพระวิหาร


ทีมทนายปราสาทพระวิหารเข้าพบนายกฯ ปู “วีรชัย” ยกเป็นความสำเร็จคณะทำงานฯ ช่วยชาติเป็นอันหนึ่งเดียว ขณะที่สื่อทำเนียบฯ รุมกรี๊ด-ขอถ่ายรูปทนายสาว “อลินา มิรอง” เจ้าตัวสุดปลื้มเนื้อหอม ปากหวานภูมิใจที่ช่วยประเทศไทย ลั่นทำหน้าที่ให้ดีที่สุดสมความไว้วางใจจากคนไทย ส่วน “ยิ่งลักษณ์” ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักเพื่อคนไทยทุกคน ชี้คนไทยชื่นชม-ให้กำลังใจตลอด 5 วันในศาลโลก สั่งบัวแก้วเร่งทำเอกสารสรุปผลสู้คดีศาลโลกแจก ปชช. ขณะที่ “ฮอร์ นัมฮง” ยังแสบอัดไทยไม่น่าไว้ใจ ซัดให้ร้ายเขมรในศาลโลก หวังศาลชี้ขาดพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตร
จัดเลี้ยงต้อนรับทีมทนายต่างชาติ
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.56 เวลา 10.00 น. ที่ห้องดวงกมล โรงแรมเดอะสุโกศล ทีมทนายความต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร นำโดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายวรเดช วีระเวคิน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้จัดต้อนรับและเลี้ยงอาหารกลางวัน แก่คณะทีมทนายความชาวต่างชาติ ประกอบด้วย ศาสตราจารย์อแลง แปลเลต์ ศาสตราจารย์เจมส์ ครอว์ฟอร์ด ศาสตราจารย์โดนัลด์ เอ็มแม็คเรย์ และ น.ส.อลินา มิรอง พร้อมร่วมประชุมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับคดี อาทิ กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อสรุปประเด็นการให้การทางวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้ ยังประชุมสรุปเรื่องการส่งเอกสารให้กับศาลโลกเกี่ยวกับเรื่องพิกัดบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม การประชุมดังกล่าวไม่ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าร่วม เนื่องจากเป็นชั้นความลับ
“มิรอง” ภูมิใจช่วยประเทศไทย
น.ส.อลินา มิรอง กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ตนรู้สึกดีใจที่ได้เป็นขวัญใจของคนไทย ซึ่งตนเพิ่งทราบเรื่องนี้เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา และตนภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือประเทศไทย ส่วนการเข้ามาทำตรงนี้ได้เนื่องจากประเทศไทยได้ติดต่อผ่าน นายแปลเลต์ ให้เข้ามาทำงานตรงนี้ ตนจึงได้มีโอกาสเข้าร่วมทำงานดังกล่าว ซึ่งตนรู้สึกดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้คดีเขาพระวิหารให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ โดยก่อนหน้านี้ตนได้เคยร่วมว่าความกับ ทนายเจมส์ ครอว์ฟอร์ด ทนายความชาวออสเตรเลียมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจว่าตนจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ สมกับได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวไทย
“ยิ่งลักษณ์” ขอบคุณทีมทนาย
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล คณะทำงานต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร นำโดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ นายวรเดช วีระเวคิน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย พร้อมด้วยทีมที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ นายอแลง แปลเลต์ นายเจมส์ ครอว์ฟอร์ด นายโดนัลด์ เอ็มแม็คเรย์ และ น.ส.อลินา มิรอง ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อสรุปประเด็นคำให้การทางวาจาต่อศาลโลกในคดีที่กัมพูชายื่นขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ โดยมี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ เข้าร่วมรับฟังด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับทีมทนายในช่วงหนึ่งว่า ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยและตัวแทนคนไทยทุกคน ขอขอบคุณทีมทนายที่ทำงานครั้งนี้อย่างหนัก รู้สึกชื่นชมทีมงานทุกคนที่ทำงานอย่างหนัก ทำให้ทุกคนได้รับรู้และเชื่อถึงข้อมูลที่ได้ชี้แจงออกไป โดยเฉพาะสามารถชี้จุดที่เป็นข้อห่วงกังวลได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลังจากได้ฟังคำแถลงทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้รู้สึกดี และขอให้รู้ว่าคนไทยทุกคนให้กำลังใจ และเชียร์การทำหน้าที่ครั้งนี้อย่างมาก ซึ่งตลอดการขึ้นให้การด้วยวาจาต่อศาล 5 วันที่ผ่านมา คนไทยเฝ้าติดตามมาโดยตลอดทุกวัน หลังจากนี้จะได้มีการพูดคุยกันเพื่อวางแผนเรื่องของการดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความ โดยเฉพาะ น.ส.อลินา มิรอง ได้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก โดยได้รับทั้งความชื่นชมและขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่ง น.ส.อลินา มีความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว และยิ้มแย้มตลอดเวลา
เตรียมสรุปภาพรวมให้ ครม.ทราบ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้ เป็นการสรุปภาพรวมในการให้ถ้อยแถลงต่อศาลโลก โดยทนายความมีการเล่าถึงความคิดเห็นส่วนตัวให้กับนายกรัฐมนตรีฟัง ขณะจะเร่งจัดทำเป็นเอกสารเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจแจกให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดหลังจากนี้ พร้อมกันนี้ ทีมทนายความพร้อมที่จะส่งเอกสารชี้พิกัดแผนที่ ที่ผู้พิพากษา อับดุลคาวิ อะห์เม็ด ยูซูฟ ร้องขอให้ส่ง ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ส่วนวันพรุ่งนี้จะได้นำเรื่องดังกล่าว เข้ารายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวาระจร เป็นการแจ้งเพื่อทราบในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ไม่ขอแสดงความเห็นว่ามั่นใจจะชนะคดีหรือไม่ แต่ขอให้อยู่ในการตัดสินขององค์คณะผู้พิพากษาศาลโลกทั้ง 17 คน
“วีรชัย” ถ่อมตัวเป็นผลงานของทีม
นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมทนายแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลก กรณีที่กัมพูชายื่นขอให้ตีความคดีปราสาทพระวิหาร กล่าวว่า มี 3 ประเด็นที่อยากพูดถึง ประเด็นแรกคือ ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นว่าประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด 2.เป็นประเด็นที่ถือว่ามีความสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์ไทย และให้ความยุติธรรมต่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในเรื่องบางเรื่องที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน การที่เรายกตัวอย่างสมเด็จสีหนุเดินทางมาที่บริเวณปราสาทพระวิหารนั้น เพื่อเทียบเคียงกับเมื่อครั้งที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จ ซึ่งครั้งนั้นพระองค์ท่านไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ แต่พระองค์เป็นนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีอย่างแท้จริง เมื่อศาลโลกหยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณาและมีคำพิพากษาเมื่อ พ.ศ.2505 กรณีสมเด็จสีหนุก็ไม่แตกต่างกัน ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพด้วย และประชาชนทั่วไปจะได้ทราบเรื่องความเป็นมาว่าเป็นอย่างไร ประเด็นสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือ เรื่องการเขียนคำแถลง เรื่องนี้ถือเป็นหน้าที่ของแต่ละคน ต่างคนต่างเขียนตามแนวทางที่ทุกคนศึกษา และหาหลักฐานมา จากนั้นจึงจะนำมาปรึกษาหารือกัน ยืนยันว่ามีหน่วยงานหลายหน่วยงานที่เข้ามามีบทบาท และมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมพระธรรมนูญทหาร ถ้าพูดกันว่านี่คือผลงาน ผมยืนยันว่าไม่ใช่ผลงานของผมคนเดียว ผมยอมรับว่าร่างแรกนั้นผมเขียนเองทั้งหมด แต่ร่างที่ 2 และ 3 นั้นได้มีข้อเสนอแนะและข้อหารือจากทุกหน่วยงาน บางครั้งท่านรัฐมนตรีก็เข้ามาร่วมเสนอความเห็น บางครั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศก็นำเรื่องราวต่างๆ ไปหารือกับท่านรองนายกรัฐมนตรี สุรพงษ์ ท่านรองนายกฯ พงศ์เทพ ไปหารือกับรัฐมนตรีกลาโหม ดังนั้นหากจะพูดถึงว่านี่คือความสำเร็จ นี่คือผลงาน ต้องบอกว่า เป็นผลงานของทุกคนที่ร่วมมือกัน เป็นผลงานของคณะทำงาน ไม่ใช่ผลงานของตนคนเดียวแต่อย่างใด
พท.ซัด ปชป.ดิสเครดิตไม่เลิก
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ที่พรรคประชาธิปัตย์ผูกขาดความภูมิใจผลงานของทีมทนายฝ่ายไทยไว้แต่เพียงผู้เดียว แล้วเล่นการเมืองไม่เลิก ทำตัวราวกับว่าเป็นทนายกัมพูชาโจมตีรัฐบาลพลังประชาชนย้อนหลังทุกครั้งที่มีโอกาส กล่าวเท็จว่าย้ายท่านทูตวีระชัย เพราะไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ร่วม และปลดจากกรรมการ JBC ทั้งที่รัฐบาลต้องการให้มีสมาธิกับการเตรียมตัวสู้คดีปราสาทพระวิหาร 4 วัน ในการถ่ายทอดกลับมา คนไทยตาสว่างหมดแล้ว โพลก็หนุนให้แก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ประชาชนเบื่อนักการเมืองที่เล่นการเมืองไม่หยุด กล่าวเท็จไม่เลิก ซึ่งแนวทางของรัฐบาลพลังประชาชนในขณะนั้น คือปราสาทเป็นของเขาก็เป็นของเขา เราปกป้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเต็มที่ ไม่แปลงสนามการค้าเป็นสนามรบ หลายวาทกรรมอำพรางที่สร้างไว้วันนี้ คนเข้าใจหมดแล้ว ที่บอกว่า กัมพูชา ได้ไปเฉพาะซากหิน ผืนดินใต้ปราสาทยังเป็นของไทย ทำไมไม่ผ่าความจริงล่ะว่า ของจริงมันทวงคืนไม่ได้แล้ว เพราะคดีขาดอายุความตั้งแต่ปี 2515 คนไทยชื่นชม อลิน่า มิรอง ที่ใช้เวลา 3 ปี หาแผนที่บิ๊กแม็พ มาทำลายความน่าเชื่อถือของแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชาลงอย่างราบคาบ แต่ประชาธิปัตย์ มีเวลา 51 ปี มี 2 อดีตหัวหน้าพรรคสู้คดี น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์หาไม่เจอ มีเพียงสิ่งเดียวที่หาเจอคือ วิธีดิสเครดิตคนอื่นไม่เลิกรา
“มาร์ค” จี้รัฐบาลแสดงจุดยืนให้ชัด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ท่าทีของรัฐบาลหลังเสร็จการให้ถ้อยแถลง ต่อองค์คณะตุลาการของศาลโลก ต่อกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ก็คงต้องติดตามการกระทำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตลอด อย่าไปคิดว่าพอแถลงจบแล้วทุกอย่างจบลงเลย เพราะคงจะมีเหตุการณ์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอีกหลายเรื่องเบื้องต้นอย่างเช่น มรดกโลกที่รัฐบาลต้องไปยืนยันว่า ไม่สมควรที่จะมีการดำเนินการอะไรเพิ่มเติมจนกว่าจะมีความชัดเจนจากศาล และคิดว่าประชาชนคนไทยก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงออกว่าเราติดตามคดีนี้ด้วยความสนใจห่วงใยในผลประโยชน์ และต้องการให้ศาลตัดสินอย่างเป็นธรรม ตัดสินแล้วไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ ส่วนทางทีมทนายฝ่ายไทย ระบุว่า เป็นจุดเริ่มต้นข้อพิพาทให้กัมพูชาเอาไปสู่ประเด็นมรดกโลกนั้น ทุกอย่างต้องสอดคล้องกับการต่อสู้คดี เพราะฉะนั้นการกระทำ และการแสดงออกต้องให้สอดคล้องกับจุดยืนของเราในการต่อสู้คดีก็จะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก หากไปทำอะไรที่เป็นการขัดแย้งหรือสวนทางก็ไปลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายเรา จุดยืนรัฐบาลควรจะชัดว่าสนับสนุนแนวทางการต่อสู้ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อย่างเต็มที่ และจะทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับแนวทางการต่อสู้นั้น ตนคิดว่าศาลโลกก็ต้องฟังจากข้อต่อสู้ในสำนวน แต่พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นศาลโลก ก็ต้องตัดสินและนำไปสู่การตัดสินข้อยุติในทางปฏิบัติด้วย แต่หากท่าทีของประเทศไทยไม่ชัดเจนในเรื่องมรดกโลกและไม่สอดคล้องกับการต่อสู้ มันก็ลดความน่าเชื่อถืออย่างหลักเหลี่ยงไม่ได้ แม้จะอยู่นอกสำนวนก็ตาม พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไรกับนายกฯ และรัฐมนตรี ก็ขอให้แสดงจุดยืนให้ชัดเจน ให้สอดคล้องกับแนวทางการต่อสู้ที่ผ่านมา ที่ตนเห็นว่าเมื่อถ่ายทอดมาคนไทยได้รับรู้ ได้เห็นแนวทางการต่อสู้ที่แหลมคม ที่ชัดเจนก็ต้องยึดแนวทางนี้กันทุกคน ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราเองก็ต้องยืนยันว่าเราไม่ได้มีปัญหา หรือต้องการจะสร้างปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่การอยู่ด้วยก็ต้องเคารพในเรื่องสิทธิซึ่งกันและกัน และเราก็ต่อสู้ตามสิทธิ์
“ปณิธาน” หวั่นมหาอำนาจล็อบบี้ศาล
นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลังจากทางไทยและกัมพูชาเข้าให้ถ้อยแถลงทางวาจาต่อศาลโลก กรณีเขาพระวิหารเสร็จสิ้น เชื่อว่าศาลโลกจะรอเอกสารเพิ่มเติมจากทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำมาพิจารณาอีกครั้ง และคาดว่าต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะเอกสารทั้ง 2 ฝ่ายมีมาก อีกทั้งเรื่องการพิสูจน์ชายแดน ต้องดำเนินการหลายขั้นตอน ส่วนศาลโลกจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ยังต้องรอดูในเรื่องดังกล่าว แต่หากรับ เชื่อว่าจะต้องใช้เวลาพิจารณามากกว่า 6 เดือน หรือบางครั้งอาจทราบผลในทันที ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดระเบียบตามแนวชายแดนนั้น ยังมองว่าต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ยากหากใช้มาตรการที่เข้มงวด แต่ต้องระวังเรื่องข้อพิพาทระหว่างกัมพูชาร่วมด้วย นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศมองว่าประเทศไทยได้เปรียบทางคดีในครั้งนี้ เพราะการพิสูจน์อัตราส่วนพื้นที่ 1:200,000 มีความชัดเจน แต่ยังต้องระวังประเทศมหาอำนาจ ที่จะเข้ามาล็อบบี้ศาลโลกให้ตัดสินคดีเอื้อให้กับกัมพูชา เพราะศาลโลกยังขึ้นอยู่กับสหประชาชาติ ซึ่งฝ่ายไทยต้องเดินเกมเรื่องความสัมพันธ์ในหลายประเทศต่อไป
“ฮอร์ นัมฮง” อัดไทยไม่น่าไว้ใจ
ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการต่างประเทศของกัมพูชา ได้เดินทางกลับถึงประเทศกัมพูชาแล้ว โดยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเป็นจำนวนมาก ว่า การให้การทางวาจาของกัมพูชาและไทยในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารนั้น ไทยยังคงไม่น่าไว้ใจเหมือนที่ผ่านมา โดยไทยได้ให้การให้ร้ายกัมพูชาในศาลโลก โดยยกประเด็นที่กัมพูชาไม่ดำเนินการประท้วงใดๆ ที่ไทยล้อมรั้วลวดหนามมาให้การ ทั้งที่ความจริงกัมพูชาได้ดำเนินการประท้วงแล้ว และทำให้ไทยและกัมพูชามีปัญหากันมาตั้งแต่นั้น ทั้งนี้ทางกัมพูชาหวังว่าคำตัดสินของศาลในครั้งนี้จะช่วยชี้ความชัดเจนได้ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ในดินแดนของฝ่ายใด โดยผู้นำทั้งสองประเทศพร้อมจะยอมรับคำพิพากษาของศาล และจะปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น