วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ขอระบายอีกซักวัน ท่านขุนน้อย 12 November 2555 - 00:00



ทั้งๆ ที่วนไป-วนมา ร่วมๆ 5 ปี 6 ปีเข้าไปแล้ว...แต่ก็ยังไม่คิดจะไปไหนซะที สภาพความเป็นไปของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หรือความเป็นชาติบ้านเมืองทุกวันนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าอเนจอนาถ เวทนา ทุเรศ ทุรัง ชนิดสุดแสนจะบรรยายยิ่งขึ้นทุกที ดูๆ แล้ว...มันน่าจะแบ่งอาณาเขต แบ่งประเทศ ให้ต่างคน-ต่างอยู่ ให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว ไปซะที...
                               -----------------------------------------------
    ในเมื่อปวงชนชาวไทยประมาณ 15 ล้านคน ท่านยังคงแสดงออกถึงความยึดมั่น ถือมั่น จงรักภักดี ต่อนักโทษชาย ทักษิณ ระดับพร้อมจะแหกทวารดมเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แถมยังมีตำรวจแทบทั้งกรม ทั้งสำนัก บวกด้วยทหารประเภทอดีตนายพลรุ่นโน้น รุ่นนี้ พร้อมที่จะแสดงตนเป็น เสธ.อ้วก เดินหน้าชนกับ เสธ.อ้าย แบบดอกต่อดอก ตลอดไปจนข้าราชการระดับปลัดกระทรวง อธิบดี อีกไม่รู้กี่ราย ต่อกี่ราย ที่ปลาบปลื้มยินดีต่อการได้กระชากหน้าแข้ง นักการเมืองมาลูบไล้ ลงลิ้น ชนิดขนติดปาก ฯลฯ ทางที่ดี...หรือทางที่เป็นไปโดยสันติ มันจึงน่าที่จะขีดเส้นแบ่งประเทศออกเป็น ประเทศใคร ประเทศมัน ให้รู้แล้ว รู้แรด ไปเลย จากสระบุรีขึ้นเหนือ ไปตลอดทั้งภาคอีสาน แถมภาคเหนือให้ด้วย ปล่อยให้เป็น รัฐไทยใหม่ หรือเป็น อาณาจักรมูลเมือง จะขึ้นช้าง ลงม้า ขึ้นสวรรค์ ลงนรกแบบไหน ก็ว่ากันไปตามใจชอบ...
                                -----------------------------------------------
    ส่วนจากสระบุรี ลงมาถึงกรุงเทพมหานคร ไล่ไปจนจรดชายแดนภาคใต้ ก็คงความเป็นประเทศไทย เอาไว้แบบเดิม ไม่ต้องไปเสียเวลาเปลี่ยนแปลง แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวดโน้น หมวดนี้ ให้ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า กันไปอีก ปวงชนชาวไทยที่มีอยู่ประมาณ 12 ล้าน ที่เคยกระจัดกระจาย อยู่ในฐานะชนส่วนน้อยในภาคเหนือ ภาคอีสาน ก็ให้อพยพลงมาด้านใต้ จัดสรรที่อยู่ ที่อาศัย ที่ทำกินให้ใหม่ เพราะหลังจากบรรดาปวงชนชาวไทยประมาณ 15 ล้านคน พร้อมจะโยกย้ายไปอยู่ในอาณาจักรมูลเมือง ตามความรัก ความศรัทธาที่มีต่อ ทักษิณ แผ่นดินในอาณาเขตด้านใต้ น่าจะทั้งโล่ง ทั้งสูง ขึ้นมาอีกเยอะ มีเนื้อที่พอจะให้คนส่วนน้อยในด้านเหนือ อพยพลงมาปักหลัก ปักฐาน ใช้ชีวิตได้อย่างสงบ สันติ ไปตลอดชั่วกาลนาน...
                                  -------------------------------------------------
    สำหรับบรรดาข้าราชการ เช่นตำรวจทั้งกรมนั้น ถ้าหากคิดจะย้ายกองบัญชาการ กองบังคับการ ทั้งมวล ขึ้นไปรับใช้อดีตพันตำรวจโทอยู่ในรัฐใหม่ อาณาจักรแห่งใหม่ ก็ยิ่งดีไปใหญ่ คือจะได้ไม่ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า กับ การปฏิรูปตำรวจ ซึ่งไม่เคยเป็นไปได้อีกต่อไป ประเทศไทยแบบเดิม หรือราชอาณาจักรไทยเดิม จะได้เปิดโอกาสให้ยาม และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง สมัครเข้ามาเป็นตำรวจยุคใหม่กันให้เยอะๆ ไม่ต่างไปจากข้าราชการพลเรือน ในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ นั่นแหละ ใครที่ถนัดเชี่ยวชาญในการใช้ลิ้น ก็คงได้เวลาโอนไปเป็นข้าราชการในรัฐไทยใหม่ ที่เหมาะ และสอดคล้อง กับขีดความสามารถ และคุณสมบัติของตัวเอง ส่วนข้าราชการรายใด ที่ยังคิดว่าตัวเองเป็นข้าของราชะ ข้าของหลวง หรือข้าของราษฎร ผู้รักและศรัทธาต่อพระมหากษัตริย์ ก็จะได้พอมีช่อง มีโอกาส ขึ้นมาแสดงบทบาท ฝีมือ กะเค้ามั่ง...
                                -----------------------------------------------
    เมื่อแบ่งสรรปันส่วนอาณาเขต และอพยพโยกย้ายผู้คนเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์แล้ว ถ้าหากคิดจะไปมาหาสู่กันและกัน จะด้วยสายใยความผูกพัน หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ ก็ให้ทำพาสปอร์ต วีซ่า เหมือนกับเป็นคนละประเทศ คนละแผ่นดิน แบบประมาณเกาหลีเหนือ กับเกาหลีใต้ ก็คงพอได้ เพื่อให้ต่างคน ต่างอยู่ ต่างคน ต่างไป จะได้ไม่ต้องยกพวกมารบราฆ่าฟัน ไล่ทุบ ไล่ตี ขนม็อบมาชนม็อบกันต่อไปอีก ใครอยากจะเขียนรัฐธรรมนูญ เขียนกฎหมายกันแบบไหน ก็ให้ไปเขียนในแผ่นดินตัวเอง อยากให้แผ่นดินมีแต่ไพร่ ไม่ให้มีกลิ่นอายอำมาตย์ หลงเหลืออยู่เลย ก็จะได้สมใจ สะใจ สมปรารถนากันซะที ส่วนถ้าหากว่าไพร่รายใด เกิดติดอก ติดใจ ในความเป็นอำมาตย์ เหมือนอย่างที่เคยพยายามดิ้นรน อยากจะเป็นรัฐมนตรี อยากจะสถาปนาราชวงศ์มูลเมือง มาก่อนหน้านี้ คงต้องไปจัดการกันเอง ระหว่างแดงเทียม แดงแท้ แดงสยาม หรือแดงสยอง ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
                              -----------------------------------------------
    ดูๆ แล้ว...น่าจะมีแต่วิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้น ที่พอจะทำให้เกิดสันติ เกิดการอยู่ร่วมกัน โดยไม่ต้องฆ่ากัน ด่ากัน จงเกลียด จงชัง ซึ่งกันและกัน อย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะถ้าหากไม่เช่นนั้น...ท้ายที่สุดมันคงเลี่ยงไม่พ้น ที่จะต้องหันมาประหัตประหารกันและกันจนได้ ขนาด เสธ.อ้าย ที่เคยอุตส่าห์หลบไปชุมนุมอยู่ในสนามม้าแท้ๆ ยังต้องเจอกับ เสธ.อ้วก ประกาศจะยกพวก ยกพยุหยาตรา มาไล่ล่า กดดัน ให้จงได้ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างถือว่า ตัวเองมีมวลชนอยู่ในมือ ระดับเป็นแสน เป็นล้าน ด้วยกันทั้งนั้น บทสรุปสุดท้าย มันจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องอาศัยมวลชน เข้าเล่นงานมวลชน จนไม่ใช่แค่ฉิบหายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ทุกๆ ฝ่ายทั่วทั้งประเทศนั่นแหละ ย่อมมีแต่ต้องฉิบหายตามไปด้วย...
                              ----------------------------------------------
    นอกเหนือไปจากวิธีที่ว่านี้...แทบไม่มีวิธีใดๆ เลย ที่จะทำให้ปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ทั้งปวง สามารถอยู่ร่วมกัน ด้วยสันติภาพ สันติธรรม อย่างเท่าที่เคยเป็นมาในอดีต ด้วยเหตุที่ความผิด-ความถูก ความดี-ความชั่ว มันได้ถูกลบเลือน หรือถูกทำให้เลอะเลือน จนแทบหาเส้นแบ่ง หามาตรฐานใดๆ ไม่ได้ กระทั่งผู้ที่มีหน้าที่ในการชี้แนะ ชี้นำ ถึงความผิด-ความถูก ความชั่ว-ความดี ความผิดแผกแตกต่าง ระหว่างกุศลธัม หรืออกุศลธัม ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องคเจ้า นักวิชาการ ปัญญาชน สื่อมวลชน ฯลฯ ต่างก็ตกอยู่ในอาการเลอะเทอะ เลอะเลือน ไปด้วยกันแทบทั้งหมด หันมาชี้กงจักรให้กลายเป็นดอกบัว ผิดเป็นถูก ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี อย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้...มันจึงเหลือแต่ต้องว่ากันไปตามทางใคร ก็ทางมัน เท่านั้น ใครที่อยากลงนรก คงต้องปล่อยให้ลงนรกโดยเสรี ย้ายวัด ย้ายมหาวิทยาลัย ย้ายโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ไปหากินกับมวลชนของตน ไม่ต้องมาเสียเวลาแย่งตลาด แย่งกลุ่มเป้าหมายในสวรรค์ และไม่ต้องมายุให้ใครต่อใคร ออกมาฆ่ากันและกัน เพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย แบบเลอะๆ เทอะๆ ที่ทำให้บ้านเมืองต้องวนไป-วนมา กว่าครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว....
                            ------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Chinese proverb (อีกครั้ง)....ทางไปสวรรค์นั้นกว้าง แต่ไม่ค่อยมีผู้สนใจจะเดิน นรกไม่มีประตู แต่ผู้คนไม่น้อยพยายามจะเจาะช่องมุดเข้าไปให้ได้..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น