วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2555 เสธ.อ้าย!!! แพ้ทางมวลชน แต่ชนะทางการเมือง



วันอาทิตย์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2555


เสธ.อ้าย!!! แพ้ทางมวลชน แต่ชนะทางการเมือง
การประกาศยุติการชุมนุมของพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์(เสธ.อ้าย) และตามด้วยประโยคสุดท้ายว่า “เสธ.อ้ายตายแล้ว”ผลที่เกิดขึ้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็น ๒ แนวทาง
แนวทางแรก ชื่นชมในสปิริต ที่เสธ.อ้ายตัดสินใจรักษาชีวิตของผู้ชุมนุม(ซึ่งส่วนใหญ่พร้อมจะเผชิญหน้ารับความรุนแรง) และตนเองยอมรับความเจ็บปวดเอง
แนวทางที่สอง ตำหนิผู้นำการชุมนุมที่รีบตัดสินใจยุติการชุมนุม เพราะเหมือนใจไม่ถึง
สำหรับทรรศนะส่วนตัวดิฉัน
๑. การจัดชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม เกิดขึ้นจากการทนไม่ได้ของผู้ที่จงรักภักดี ที่ทนไม่ได้กับการที่รัฐบาลเพิกเฉยต่อการจาบจ้วงสถาบัน ประกอบกับการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล เปิดโอกาสให้พรรคพวกทุจริต เป็นการชุมนุมที่ประกาศอย่างเปิดเผย มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรองรับ แต่ละพื้นที่นัดหมายและออกค่าเดินทางมากันเองด้วยใจ ผู้นำองค์การพิทักษ์สยาม (เสธ.อ้าย) ก็ทำด้วยความตั้งใจประสาอดีตนายทหารที่สั่งทหารเดินหน้าก็เดิน สั่งหยุดก็หยุด และคงมีความตั้งใจจริงว่าถ้ามีคนมามากๆสักสองสามแสน คงหยุดรัฐบาลนี้ได้ แต่เมื่อเผชิญเกมสกัดมวลชนของรัฐบาล นับตั้งแต่การประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงฯล่วงหน้า กวดขันทุกเส้นทางเข้า กรุงเทพฯ ดักรถ ดักคนเป็นระยะๆ ล่วงหน้าสองวัน ส่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นข่มขู่ คุกคามผู้ที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทักษิณ กระทั่งคุมเข้มถนนทุกสายในกรุงเทพฯ เฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางเข้าสู่ลานพระรูป จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้พลังผู้ชุมนุมในเวลานัดหมายคือ ๙.๐๑ น.คลาดเคลื่อนต่ำกว่าเป้าหมายมาก นัยยะนี้ไม่เพียงการสกัดของรัฐบาลเท่านั้น ผู้เข้าร่วมชุมนุมเองก็คาดการณ์การรับมือของรัฐบาลต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเคยโดนสกัดและสามารถฝ่ามาได้ ส่วนใหญ่จึงเดินทางมาคืน ๒๓ และเช้าตรู่ ๒๔ พลังส่วนใหญ่ จึงไม่ได้เตรียมการมาพักค้างล่วงหน้า
นี่ถือเป็นการแพ้ทางมวลชน เพราะแม้จะมีประชาชนทั้งลานพระรูป รอบนอก นับแสนคน แต่ในลานพระรูป อาจราวเจ็ดหมื่นคนจึงไม่ถึงเป้าหมาย
๒. การโฟนอินของทักษิณทั้งที่สมุทรปราการและเชียงใหม่ การลนลานประกาศไม่หนีไปไหนของรัฐมนตรีบางคน แต่ส่วนใหญ่หนีไปกบดาน การตั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นผอ.ศอ.รส.ที่แม้ผอ.ยังอ่านชื่อผิดตามนายกฯ การลนลานสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมทางสะพานมัฆวานและสี่แยกมิสกวันเข้าที่ชุมนุ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ที่มาจากภาคใต้ คุ้นเคยกับเส้นทางนี้ จึงมาออกันที่นั่น เมื่อไม่สามารถเข้าเส้นนี้ได้ แม้พยายามเจรจาหลายรอบก็ไร้ผล กลับได้รับแก๊สน้ำตาตอบแทน โดยใช้แก๊สน้ำตาพร้อมกันสองทาง แม้จะมีความพยายามผลักดันของผู้ชุมนุม แต่มีการเจรจาตลอดเวลา พอผู้ชุมนุมยอมเจรจาและถอยเผลอแป๊ปเดียวแก๊สน้ำตาลงและเมื่อมวลชนแตกกระจาย ก็จับกุม เหยียบหัว สมณะโพธิรักษ์นำทีมสมณะไปบิณฑบาตขอให้เปิดทาง กลับได้รับแก๊สน้ำตาหมดอายุตอบแทนกลับมา ตัวเลขล่าสุดผู้บาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลวันนี้กว่าครึ่งร้อย นับการเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เป็นการลงมือใช้ความรุนแรง โดยไม่ใช้ขั้นตอนสลายการชุมนุมตามหลักสากลแต่ประการใด
ภาพข่าวที่แพร่ไปทั่วโลก การแถลงข่าวที่บิดเบือนไม่สามารถบิดเบือนได้ เป็นเพียงเพื่อแก้ทางการเมืองเท่านั้น จึงนับได้ว่า รัฐบาลแพ้ทางการเมือง และเป็นการพ่ายแพ้ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก เอาอะไรปิดก็ไม่มิด
๓. การที่พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประกาศยุติการชุมนุม พร้อมกับประกาศว่า “เสธ.อ้ายตายแล้ว” หลังจากประเมินสถานการณ์การตัดน้ำ ตัดไฟในบริเวณชุมนุม ประเมินการยิงแก๊สน้ำตาด้วยเครื่องยิงระเบิดเอ็ม ๗๙ ในช่วงบ่ายสองซึ่งแตกต่างจากช่วงเช้า ประเมินการยิงปืนกระสุนจริงเข้าใส่ที่ชุมนุม (ประจักษ์พยานจากรูกระสุนที่รถ) ฯลฯ ซึ่งเสธ.อ้ายเดินทางไปสำรวจด้วยตนเอง ประเมินจากการที่สมณะก็โดนแก๊สน้ำตาทั้งที่นั่งประจันหน้าตำรวจ โดยไม่มีการประกาศเตือน ที่สำคัญคงประเมินจำนวนผู้เข้าชุมนุม
การประกาศยุติการชุมนุมเช่นนั้น จึงเป็นการรักษาชีวิตคนส่วนใหญ่ แม้ผู้ชุมนุมพร้อมจะสู้ต่อก็ตาม จึงเป็นการชนะใจตนเองของเสธ.อ้าย และชนะใจประชาชนที่เฝ้าติดตามให้กำลังใจ
งานนี้ พิสูจน์ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าความเป็นผู้นำหญิงที่ไร้สมอง พูดจาผิดๆถูกๆ ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง และมีความเลวร้ายไม่แพ้พี่ชายในทุกการกระทำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น