วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 18-24 พ.ย.2555


1.“ในหลวง” เสด็จออกมหาสมาคม 5 ธ.ค. - รัฐบาลชวน ปชช.ใส่สีเหลืองเฝ้าฯ รับเสด็จ! 
ประชาชนพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคมเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2549
       เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวหลังประชุมคณะกรรมการดำเนินงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.2555 ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.2555 ระหว่างวันที่ 5-8 ธ.ค.2555
      
       ทั้งนี้ วันที่ 5 ธ.ค. เวลา 10.30น. พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต โดยจะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชในเวลา 10.00น. และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี ประธานสภา ประธานศาลฎีกา กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวนำทหารรักษาพระองค์ถวายสัตย์ปฏิญาณ สำหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 ธ.ค.ณ บริเวณท้องสนามหลวง ขณะที่พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลทั้งส่วนกลางและภูมิภาคจะมีขึ้นในเวลา 19.19น. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัย
      
       ด้านนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า น่ายินดีและเป็นสิริมงคลยิ่งสำหรับประชาชนชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค. และว่า การจัดงานครั้งนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการจัดงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อเดือน มิ.ย.2549 ทั้งนี้ รัฐบาลได้เชิญชวนให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จออกมหาสมาคม โดยแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพร้อมเพรียงกัน
      
       2. ศาล รธน.ไม่รับคำร้องสมาชิก พท.ขอสั่ง “เสธ.อ้าย” ยุติชุมนุม ชี้ ยังไม่มีเหตุล้มล้างการปกครอง! 

ศาลรัฐธรรมนูญ
       เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดไต่สวนคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 โดยใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนเพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัยหรือไม่โดยได้มีหนังสือเรียก พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคณี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม เข้าชี้แจง แต่บุคคลทั้งสองได้มอบหมายให้ทนายความเข้าชี้แจงแทน ประกอบด้วย นายประยงค์ ไชยศรี และนายนิติธร ล้ำเหลือ
      
       ทั้งนี้ นายประยงค์ ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการจัดชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามว่า เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล 3 ประการ คือมีการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการใดใด แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่วนเรื่องคำพูดแช่แข็งประเทศไทยนั้น นายประยงค์ ยืนยันว่า พล.อ.บุญเลิศ ไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลว ไม่ให้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ หรือกอบโกยผลประโยชน์สัก 5 ปี พร้อมย้ำว่า การชุมนุมครั้งนี้เพื่อขับไล่รัฐบาลโดยใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ คือ การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการเคลื่อนมวลชนเข้าไปยังสถานที่ราชการ และ พล.อ.บุญเลิศ ได้ประกาศหลายครั้งแล้วว่า หากผู้ชุมนุมมาน้อย ก็พร้อมจะยุติ ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ใช่การใช้กำลังไปบังคับข่มขู่ให้รัฐบาลลงจากอำนาจ “ผมยืนยันแทน พล.อ.บุญเลิศได้ เนื่องจาก พล.อ.บุญเลิศ เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหลายครั้งว่า หากการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามสามารถขับไล่รัฐบาลได้ พล.อ.บุญเลิศจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจรัฐ เพราะไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต การชุมนุมต้องการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเมื่อถึงจุดดังกล่าว สถานการณ์จะเป็นตัวบ่งบอกเอง” 
      
       ขณะที่นายนิติธร ได้ยืนยันเช่นกันว่า การดำเนินกิจกรรมขององค์การพิทักษ์สยามเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 63 มาตรา 70 และมาตรา 71 บัญญัติไว้ มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่แสดงให้เห็นว่าจะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
      
       ส่วนฝ่ายผู้ร้องนั้น นายเรืองไกร ชี้แจงต่อศาลฯ โดยนำหลักฐานการถอดเทปคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ ผ่านสถานีวิทยุรายการหนึ่งเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ซึ่งนายเรืองไกร มั่นใจว่าเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า องค์การพิทักษ์สยามเข้าข่ายกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ยุติการชุมนุมแน่นอน
      
       ขณะที่นายหนึ่งดิน ผู้ร้อง ก็มั่นใจเช่นกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้องค์การพิทักษ์สยามยุติการชุมนุม โดยอ้างว่า เพราะมีการปลุกระดม ก่อให้เกิดความเสียหาย
      
       ด้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาเหตุผลของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายเรืองไกร ,นายสิงห์ทอง และนายหนึ่งดิน โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากผู้แทนของ พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการกล่าวหรือมีแนวคิดเกี่ยวกับการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้สัก 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ส่วนการนัดชุมนุมวันที่ 24 พ.ย.เป็นการแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่ไม่ป็นผล ก็จะยุติการชุมนุม มิได้มีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบจากการชุมนุมครั้งนี้ คำร้องจึงยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
       
       3. “เสธ.อ้าย” ประกาศยุติชุมนุมแล้ว หวั่น ปชช.ล้มตาย หลัง จนท.ไม่รักษาสัญญา ลั่น จากนี้เลิกยุ่งเกี่ยวการเมือง! 

ภาพเหตุการณ์กรณีเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุม(24 พ.ย.)
       จากกรณีที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ได้นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 พ.ย. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 09.01น. พร้อมยืนยันการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ ไม่เกิน 2 วันจบ และจะไม่เคลื่อนขบวนไปยังจุดต่างๆ โดยตั้งเป้าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากกว่าการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ต.ค.โดยอาจถึง 1 ล้านคนนั้น ปรากฏว่า ยังไม่ทันถึงวันชุมนุม รัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดง ได้ออกมาพูดทำนองเดียวกันว่า จะมีแดงเทียมประมาณ 5 พันคน ซึ่งถูกจ้างมาโดยกลุ่มผู้ชุมนุมเองให้ก่อความรุนแรงกับผู้ชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์
      
       ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาให้ข่าวดิสเครดิตม็อบ เสธ.อ้ายว่า การข่าวจากสันติบาลบอกว่า มีการจ้างคนมาร่วมชุมนุม โดยคนที่อยู่ใกล้ กทม.ได้ 300 บาท อยู่ไกลได้ 1,000-1,500 บาท 
      
       ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาสวนกลับผู้ที่บอกว่าจะมีแดงเทียม 5 พันคนมาป่วนการชุมนุม โดยยืนยันว่า แดงเทียมไม่มี มีแต่แดงฮาร์ดคอร์ที่ต้องการใช้กำลังมากกว่า
      
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ตั้ง ครม.ย่อย 9 คน เพื่อดำเนินมาตรการรับมือการชุมนุมของกลุ่ม เสธ.อ้าย
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่เป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาคาดการณ์ในลักษณะกล่าวหาม็อบ เสธ.อ้ายในทางเลวร้าย เช่น นายก่อแก้ว พิกุลทอง กล่าวหาว่าม็อบ เสธ.อ้ายมีการวางแผนจะก่อเหตุ 4 แบบ 1.ก่อเหตุให้คล้ายเหตุการณ์เมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เพื่อให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ถ้ารัฐบาลไม่รับผิดชอบ ก็จะก่อจลาจล เพื่อให้ทหารยึดอำนาจ 2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่มเผชิญหน้ากัน 3.อาจมีการแฝงตัวเข้ามาในสภาเพื่อก่อเหตุร้ายในสภา และ 4.อาจมีการมีแฝงตัวในสภาเพื่อจับกุมตัวนายกรัฐมนตรีในวันที่ 25 พ.ย.ที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
      
       ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ออกมารับลูกการประเมินของนายก่อแก้ว พร้อมเล็งเสนอรัฐบาลให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเพื่อคุมม็อบ เสธ.อ้าย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เรียกประชุม ครม.ย่อยที่ตั้งขึ้น 9 คนเพื่อหารือเรื่องนี้เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ตามที่หน่วยงานความมั่นคงเสนอ และให้มีผลบังคับทันทีในวันเดียวกัน คือตั้งแต่ 22-30 พ.ย. ทั้งที่ยังไม่ถึงวันที่ม็อบ เสธ.อ้ายจะชุมนุมสำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ครั้งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 3 เขต คือ ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย และพระนคร นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ด้วย
      
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ชี้แจงเหตุผลที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ โดยอ้างว่า การข่าวจากฝ่ายมั่นคงพบว่า การชุมนุมที่จะมีขึ้น มีการระดมคนจำนวนมาก ภายใต้แกนนำที่มีท่าทีต้องการล้มล้างรัฐบาล ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย พร้อมใช้ความรุนแรง และมีแนวคิดจะบุกรุกสถานที่สำคัญ รวมทั้งสร้างความวุ่นวาย และว่า เมื่อการชุมนุมดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงและสันติสุขของประชาชน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ
      
       ทั้งนี้ การประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ตั้งแต่ก่อนที่ม็อบ เสธ.อ้ายจะชุมนุมถึง 2 วัน และมีการประกาศปิดถนนถึง 9 เส้นทางรอบลานพระบรมรูปทรงม้า ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ทั้งที่เป็นวันทำงาน ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากการจราจรอัมพาต
      
       ด้าน พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ประกาศก่อนหน้าจะชุมนุม 1 วัน(23 พ.ย.)ว่า หากวันที่ 24 พ.ย.เวลา 11.00น.หรือหลังจากเวลานัดหมาย 2 ชั่วโมง จำนวนคนมาร่วมชุมนุมไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จะยุติชุมนุมทันที พร้อมเผยว่า ในการชุมนุมครั้งนี้ ตนจะเปิดคลิปวิดีโอที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงจาบจ้วงสถาบันให้ประชาชนได้รับทราบ
      
       สำหรับบรรยากาศการชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.ประชาชนได้ทยอยเดินทางมาร่วมขุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าจำนวนมาก แต่การจะเข้าไปยังจุดชุมนุมค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดทางเข้าแค่ 2 จุด ทางฝั่งวัดเบญจมบพิตร แต่มีผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนมากต้องการเข้าทางฝั่งสะพานมัฆวานฯ เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เปิดทาง จึงพยายามฝ่าด่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมเป็นครั้งแรกเมื่อเวลาประมาณ 09.00น. ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บนับสิบราย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับกุมผู้ชุมนุมประมาณ 130 คนไปคุมตัวไว้ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี
      
       ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้ออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำเกินกว่าเหตุที่ใช้แก๊สน้ำตา โดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาขว้างใส่ผู้ชุมนุม โดยไม่ประกาศเตือนก่อน
      
       ด้านกองบัญชาการตำรวจนครบาล รีบแถลงยืนยัน ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาตามมาตรฐานสากล เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอีกหลายครั้ง เช่น ตอนที่ผู้ชุมนุมพยายามให้เจ้าหน้าที่เปิดทางบริเวณแยกมิสกวัน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมและได้ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอีกเมื่อเวลา 14.00น. ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่จุดที่สมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศกอยู่ด้วย ส่งผลให้ได้รับความระคายเคืองถึงขั้นหายใจไม่ออก และมีผู้บาดเจ็บหลายราย
      
       ขณะที่ เสธ.อ้าย ปราศรัยบนเวทีให้กำลังใจผู้ชุมนุม พร้อมเปิดคลิปเสียง พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำ นปช.หลายคนพูดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง โดยแกนนำ นปช.และแกนนำเสื้อแดงที่ถูกระบุเป็นเจ้าของเสียงในคลิป ได้แก่ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ,นายใจ อึ๊งภากรณ์ ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายจตุพร พรหมพันธุ์
      
       ต่อมา เวลาประมาณ 17.00น. ศอ.รส.ได้แถลงข่าวโดยอ้างว่า ได้รับแจ้งการข่าวจากตำรวจภูธรภาค 5 ว่ามีการขนอาวุธจากภาคเหนือเข้า กทม. จึงได้ประสานทุกหน่วยสกัด หวั่นนำมาก่อเหตุป่วนใน กทม. โดยก่อนหน้านี้ ช่วงกลางวัน นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเตือนผู้ชุมนุมว่าเมื่อได้รับเงินแล้วก็รีบกลับ เพราะช่วงเย็นๆ ค่ำๆ จะมีการสร้างสถานการณ์ก่อเหตุในหลายจุด
      
       หลังจากนั้น เวลาประมาณ 17.20น. พล.อ.บุญเลิศ ได้ขึ้นเวทีประกาศยกเลิกการชุมนุม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มาชุมนุม และไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย พร้อมขอบคุณผู้ชุมนุมที่มาตามจำนวน 5 หมื่นคนแม้ไม่ถึง 1 ล้านคนตามที่ต้องการ และว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปฎิบัติตามคำมั่นสัญญา ทั้งที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ไปยึดทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่น่าจะทำกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ขณะเดียวกันได้ทำร้ายร่างกายประชาชนจนบาดเจ็บไปหลายคน นอกจากนี้ ยังสกัดกั้นการชุมนุมไม่ให้คนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมชุมนุม ซึ่งตนไม่มีเงินจ้างคนมาชุมนุม ทุกคนล้วนคนมาจากความรักชาติราชบัลลังก์
      
       พล.อ.บุญเลิศ ยังบอกด้วยว่า ขอกราบแทบเท้าทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมชุมนุม และขอขอบคุณด้วยความจริงใจ แต่เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของทุกคน จึงขอยกเลิกการชุมนุม และพร้อมจะดูแลรักษาผู้ป่วยผู้บาดเจ็บ และให้ทนายดูแลคนที่โดนจับกุม จากนั้นได้ให้ผู้ชุมนุมทยอยเดินทางกลับอย่างสงบ พล.อ.บุญเลิศ ยังให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาด้วยว่า หลังจากนี้ตนจะไม่เป็นแกนนำในการชุมนุม รวมทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพราะเคยกล่าวไว้แล้วว่าหากมีคนมาร่วมชุมนุมน้อยจะยุติการชุมนุมทันที โดยจะขอใช้เวลาไปทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าแทน
      
       ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส.ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เมื่อเวลา 21.00น.โดยยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาตามหลักสากล พร้อมอ้างว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตา เพราะผู้ชุมนุมพยายามจะฝ่าแนวกั้นเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.บุญเลิศ ที่ยุติการชุมนุมตามที่ได้ประกาศไว้ 
      
       อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ยังต้องจับตาว่า จะมีการดำเนินคดี พล.อ.บุญเลิศและแกนนำคนอื่นๆ ในข้อหากบฏหรือไม่ เนื่องจาก พล.ต.อ.อดุลย์ ได้ส่งสัญญาณก่อนหน้าที่ พล.อ.บุญเลิศจะประกาศยุติการชุมนุมว่า จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง
       
       4.ฝ่ายค้าน เตรียม 30 ส.ส.ซักฟอก “นายกฯ-3 รมต.” ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ซุ่มรับมือ เชิญนักวิชาการติวเข้ม! 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และ 3 รัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
       ความคืบหน้ากรณีฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่างวันที่ 25-27 พ.ย.และลงมติในวันที่ 28 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน เผยว่า ได้ตกลงกับวิปรัฐบาลไว้ 30 ชั่วโมง ในระยะเวลา 3 วัน โดยให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจใช้เวลาชี้แจงรวมกันไม่เกิน 12 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายจุรินทร์เป็นห่วงคือ กลัวฝ่ายรัฐบาลจะประท้วง จนทำให้ฝ่ายค้านอภิปรายได้ไม่ครบ 30 ชั่วโมง
      
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลประชุม ส.ส.ของพรรคเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ว่าได้มีการขอให้ ส.ส.อย่าประท้วงพร่ำเพรื่อ เพื่อให้ฝ่ายค้านทำงานเต็มที่ 30 ชั่วโมง และว่า การอภิปรายทั้ง 3 วันจะมีการถ่ายทอดสดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสภา ส่วนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็จะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา เน้นชี้แจงเนื้อหาไม่เน้นโวหาร และไม่มีองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่อย่างใด
      
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า ฝ่ายค้านได้เตรียม ส.ส.ที่จะอภิปรายไว้ประมาณ 30 คน โดยจะใช้เวลา 1 วันในการอภิปรายรัฐมนตรี 3 คน คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ส่วนอีก 2 วันจะอภิปรายนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเรื่องหลากหลายที่จะอภิปราย สำหรับการอภิปราย พล.อ.อ.สุกำพลนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า จะไม่มีเรื่องที่ถอดยศตนแต่อย่างใด เพราะเรื่องอยู่ที่ศาลปกครองแล้ว
      
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เก็บตัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาลทั้งวันเมื่อวันที่ 23 พ.ย.เพื่อซักซ้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน โดยได้เตรียมความพร้อมเรื่องเศรษฐกิจเป็นพิเศษ และได้มีการเชิญนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มาให้คำปรึกษาและแนะนำในการเตรียมพร้อมรับมือการอภิปรายด้วย
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน(23 พ.ย.) สำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจกหนังสือผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี โดยใช้ชื่อ “1 ปี มุ่งมั่น เดินหน้า พัฒนา ร่วมกัน” ซึ่งหน้าปกเป็นรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนเนื้อหาเป็นนโยบายเร่งด่วน 16 เรื่องที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ เช่น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย เป็นต้น
      
       ซึ่ง นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รีบออกมาชี้แจงว่า การออกหนังสือดังกล่าวในช่วงนี้ไม่เกี่ยวกับที่ฝ่ายค้านกำลังจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหนังสือเพิ่งพิมพ์เสร็จ โดยได้จัดทำหนังสือดังกล่าวออกมา 2 รูปแบบ รูปแบบแรกสำหรับประชาชนทั่วไป จำนวน 250,000 เล่ม ส่วนอีกรูปแบบสำหรับส่งมอบให้รัฐสภาและหน่วยราชการ รวมทั้งสถานศึกษาต่างๆ จำนวน 5,000 เล่ม
      
       ส่วนการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติของสมาชิกวุฒิสภานั้น แม้วุฒิฯ จะพยายามขอ 2 วัน คือวันที่ 23-24 พ.ย. แต่รัฐบาลไม่ให้ตามที่ขอ โดยให้วันที่ 23 พ.ย.และวันที่ 28 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมสภา ก่อนจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 29 พ.ย. โดยการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 28 พ.ย.นั้นจะมีขึ้นในช่วงบ่าย ขณะที่ช่วงเช้าจะเป็นการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น