1.“ในหลวง” เสด็จออกมหาสมาคม 5 ธ.ค. - รัฐบาลชวน ปชช.ใส่สีเหลืองเฝ้าฯ รับเสด็จ! | ||||
ทั้งนี้ วันที่ 5 ธ.ค. เวลา 10.30น. พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต โดยจะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชในเวลา 10.00น. และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี ประธานสภา ประธานศาลฎีกา กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวนำทหารรักษาพระองค์ถวายสัตย์ปฏิญาณ สำหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 ธ.ค.ณ บริเวณท้องสนามหลวง ขณะที่พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลทั้งส่วนกลางและภูมิภาคจะมีขึ้นในเวลา 19.19น. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัย ด้านนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า น่ายินดีและเป็นสิริมงคลยิ่งสำหรับประชาชนชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค. และว่า การจัดงานครั้งนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการจัดงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อเดือน มิ.ย.2549 ทั้งนี้ รัฐบาลได้เชิญชวนให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จออกมหาสมาคม โดยแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพร้อมเพรียงกัน 2. ศาล รธน.ไม่รับคำร้องสมาชิก พท.ขอสั่ง “เสธ.อ้าย” ยุติชุมนุม ชี้ ยังไม่มีเหตุล้มล้างการปกครอง! | ||||
ทั้งนี้ นายประยงค์ ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการจัดชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามว่า เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล 3 ประการ คือมีการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยไม่ดำเนินการใดใด แสดงตนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่วนเรื่องคำพูดแช่แข็งประเทศไทยนั้น นายประยงค์ ยืนยันว่า พล.อ.บุญเลิศ ไม่เคยพูด มีแต่พูดว่าจะแช่แข็งนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลว ไม่ให้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ หรือกอบโกยผลประโยชน์สัก 5 ปี พร้อมย้ำว่า การชุมนุมครั้งนี้เพื่อขับไล่รัฐบาลโดยใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ คือ การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการเคลื่อนมวลชนเข้าไปยังสถานที่ราชการ และ พล.อ.บุญเลิศ ได้ประกาศหลายครั้งแล้วว่า หากผู้ชุมนุมมาน้อย ก็พร้อมจะยุติ ดังนั้นการชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ใช่การใช้กำลังไปบังคับข่มขู่ให้รัฐบาลลงจากอำนาจ “ผมยืนยันแทน พล.อ.บุญเลิศได้ เนื่องจาก พล.อ.บุญเลิศ เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหลายครั้งว่า หากการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามสามารถขับไล่รัฐบาลได้ พล.อ.บุญเลิศจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจรัฐ เพราะไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต การชุมนุมต้องการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเมื่อถึงจุดดังกล่าว สถานการณ์จะเป็นตัวบ่งบอกเอง” ขณะที่นายนิติธร ได้ยืนยันเช่นกันว่า การดำเนินกิจกรรมขององค์การพิทักษ์สยามเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 63 มาตรา 70 และมาตรา 71 บัญญัติไว้ มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่แสดงให้เห็นว่าจะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนฝ่ายผู้ร้องนั้น นายเรืองไกร ชี้แจงต่อศาลฯ โดยนำหลักฐานการถอดเทปคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ ผ่านสถานีวิทยุรายการหนึ่งเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ซึ่งนายเรืองไกร มั่นใจว่าเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า องค์การพิทักษ์สยามเข้าข่ายกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ยุติการชุมนุมแน่นอน ขณะที่นายหนึ่งดิน ผู้ร้อง ก็มั่นใจเช่นกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้องค์การพิทักษ์สยามยุติการชุมนุม โดยอ้างว่า เพราะมีการปลุกระดม ก่อให้เกิดความเสียหาย ด้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาเหตุผลของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายเรืองไกร ,นายสิงห์ทอง และนายหนึ่งดิน โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากผู้แทนของ พล.อ.บุญเลิศ และ พล.อ.ท.วัชระ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการกล่าวหรือมีแนวคิดเกี่ยวกับการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้สัก 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ส่วนการนัดชุมนุมวันที่ 24 พ.ย.เป็นการแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่ไม่ป็นผล ก็จะยุติการชุมนุม มิได้มีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบจากการชุมนุมครั้งนี้ คำร้องจึงยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่าจะมีการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด 3. “เสธ.อ้าย” ประกาศยุติชุมนุมแล้ว หวั่น ปชช.ล้มตาย หลัง จนท.ไม่รักษาสัญญา ลั่น จากนี้เลิกยุ่งเกี่ยวการเมือง! | ||||
ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาให้ข่าวดิสเครดิตม็อบ เสธ.อ้ายว่า การข่าวจากสันติบาลบอกว่า มีการจ้างคนมาร่วมชุมนุม โดยคนที่อยู่ใกล้ กทม.ได้ 300 บาท อยู่ไกลได้ 1,000-1,500 บาท ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาสวนกลับผู้ที่บอกว่าจะมีแดงเทียม 5 พันคนมาป่วนการชุมนุม โดยยืนยันว่า แดงเทียมไม่มี มีแต่แดงฮาร์ดคอร์ที่ต้องการใช้กำลังมากกว่า ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ตั้ง ครม.ย่อย 9 คน เพื่อดำเนินมาตรการรับมือการชุมนุมของกลุ่ม เสธ.อ้าย เป็นที่น่าสังเกตว่า แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่เป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาคาดการณ์ในลักษณะกล่าวหาม็อบ เสธ.อ้ายในทางเลวร้าย เช่น นายก่อแก้ว พิกุลทอง กล่าวหาว่าม็อบ เสธ.อ้ายมีการวางแผนจะก่อเหตุ 4 แบบ 1.ก่อเหตุให้คล้ายเหตุการณ์เมื่อครั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เพื่อให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ถ้ารัฐบาลไม่รับผิดชอบ ก็จะก่อจลาจล เพื่อให้ทหารยึดอำนาจ 2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่มเผชิญหน้ากัน 3.อาจมีการแฝงตัวเข้ามาในสภาเพื่อก่อเหตุร้ายในสภา และ 4.อาจมีการมีแฝงตัวในสภาเพื่อจับกุมตัวนายกรัฐมนตรีในวันที่ 25 พ.ย.ที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ออกมารับลูกการประเมินของนายก่อแก้ว พร้อมเล็งเสนอรัฐบาลให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเพื่อคุมม็อบ เสธ.อ้าย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เรียกประชุม ครม.ย่อยที่ตั้งขึ้น 9 คนเพื่อหารือเรื่องนี้เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ตามที่หน่วยงานความมั่นคงเสนอ และให้มีผลบังคับทันทีในวันเดียวกัน คือตั้งแต่ 22-30 พ.ย. ทั้งที่ยังไม่ถึงวันที่ม็อบ เสธ.อ้ายจะชุมนุมสำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ครั้งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 3 เขต คือ ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย และพระนคร นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ด้วย ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ชี้แจงเหตุผลที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ โดยอ้างว่า การข่าวจากฝ่ายมั่นคงพบว่า การชุมนุมที่จะมีขึ้น มีการระดมคนจำนวนมาก ภายใต้แกนนำที่มีท่าทีต้องการล้มล้างรัฐบาล ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย พร้อมใช้ความรุนแรง และมีแนวคิดจะบุกรุกสถานที่สำคัญ รวมทั้งสร้างความวุ่นวาย และว่า เมื่อการชุมนุมดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงและสันติสุขของประชาชน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทั้งนี้ การประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ตั้งแต่ก่อนที่ม็อบ เสธ.อ้ายจะชุมนุมถึง 2 วัน และมีการประกาศปิดถนนถึง 9 เส้นทางรอบลานพระบรมรูปทรงม้า ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ทั้งที่เป็นวันทำงาน ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเนื่องจากการจราจรอัมพาต ด้าน พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ประกาศก่อนหน้าจะชุมนุม 1 วัน(23 พ.ย.)ว่า หากวันที่ 24 พ.ย.เวลา 11.00น.หรือหลังจากเวลานัดหมาย 2 ชั่วโมง จำนวนคนมาร่วมชุมนุมไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จะยุติชุมนุมทันที พร้อมเผยว่า ในการชุมนุมครั้งนี้ ตนจะเปิดคลิปวิดีโอที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงจาบจ้วงสถาบันให้ประชาชนได้รับทราบ สำหรับบรรยากาศการชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.ประชาชนได้ทยอยเดินทางมาร่วมขุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าจำนวนมาก แต่การจะเข้าไปยังจุดชุมนุมค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดทางเข้าแค่ 2 จุด ทางฝั่งวัดเบญจมบพิตร แต่มีผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนมากต้องการเข้าทางฝั่งสะพานมัฆวานฯ เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เปิดทาง จึงพยายามฝ่าด่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมเป็นครั้งแรกเมื่อเวลาประมาณ 09.00น. ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บนับสิบราย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังจับกุมผู้ชุมนุมประมาณ 130 คนไปคุมตัวไว้ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้ออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำเกินกว่าเหตุที่ใช้แก๊สน้ำตา โดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาขว้างใส่ผู้ชุมนุม โดยไม่ประกาศเตือนก่อน ด้านกองบัญชาการตำรวจนครบาล รีบแถลงยืนยัน ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาตามมาตรฐานสากล เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอีกหลายครั้ง เช่น ตอนที่ผู้ชุมนุมพยายามให้เจ้าหน้าที่เปิดทางบริเวณแยกมิสกวัน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมและได้ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอีกเมื่อเวลา 14.00น. ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ขว้างแก๊สน้ำตาเข้าใส่จุดที่สมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศกอยู่ด้วย ส่งผลให้ได้รับความระคายเคืองถึงขั้นหายใจไม่ออก และมีผู้บาดเจ็บหลายราย ขณะที่ เสธ.อ้าย ปราศรัยบนเวทีให้กำลังใจผู้ชุมนุม พร้อมเปิดคลิปเสียง พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำ นปช.หลายคนพูดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง โดยแกนนำ นปช.และแกนนำเสื้อแดงที่ถูกระบุเป็นเจ้าของเสียงในคลิป ได้แก่ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ,นายใจ อึ๊งภากรณ์ ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ต่อมา เวลาประมาณ 17.00น. ศอ.รส.ได้แถลงข่าวโดยอ้างว่า ได้รับแจ้งการข่าวจากตำรวจภูธรภาค 5 ว่ามีการขนอาวุธจากภาคเหนือเข้า กทม. จึงได้ประสานทุกหน่วยสกัด หวั่นนำมาก่อเหตุป่วนใน กทม. โดยก่อนหน้านี้ ช่วงกลางวัน นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจากพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเตือนผู้ชุมนุมว่าเมื่อได้รับเงินแล้วก็รีบกลับ เพราะช่วงเย็นๆ ค่ำๆ จะมีการสร้างสถานการณ์ก่อเหตุในหลายจุด หลังจากนั้น เวลาประมาณ 17.20น. พล.อ.บุญเลิศ ได้ขึ้นเวทีประกาศยกเลิกการชุมนุม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มาชุมนุม และไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย พร้อมขอบคุณผู้ชุมนุมที่มาตามจำนวน 5 หมื่นคนแม้ไม่ถึง 1 ล้านคนตามที่ต้องการ และว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปฎิบัติตามคำมั่นสัญญา ทั้งที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ไปยึดทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่น่าจะทำกับประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ขณะเดียวกันได้ทำร้ายร่างกายประชาชนจนบาดเจ็บไปหลายคน นอกจากนี้ ยังสกัดกั้นการชุมนุมไม่ให้คนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมชุมนุม ซึ่งตนไม่มีเงินจ้างคนมาชุมนุม ทุกคนล้วนคนมาจากความรักชาติราชบัลลังก์ พล.อ.บุญเลิศ ยังบอกด้วยว่า ขอกราบแทบเท้าทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมชุมนุม และขอขอบคุณด้วยความจริงใจ แต่เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของทุกคน จึงขอยกเลิกการชุมนุม และพร้อมจะดูแลรักษาผู้ป่วยผู้บาดเจ็บ และให้ทนายดูแลคนที่โดนจับกุม จากนั้นได้ให้ผู้ชุมนุมทยอยเดินทางกลับอย่างสงบ พล.อ.บุญเลิศ ยังให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาด้วยว่า หลังจากนี้ตนจะไม่เป็นแกนนำในการชุมนุม รวมทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพราะเคยกล่าวไว้แล้วว่าหากมีคนมาร่วมชุมนุมน้อยจะยุติการชุมนุมทันที โดยจะขอใช้เวลาไปทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าแทน ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส.ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เมื่อเวลา 21.00น.โดยยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาตามหลักสากล พร้อมอ้างว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตา เพราะผู้ชุมนุมพยายามจะฝ่าแนวกั้นเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.บุญเลิศ ที่ยุติการชุมนุมตามที่ได้ประกาศไว้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ยังต้องจับตาว่า จะมีการดำเนินคดี พล.อ.บุญเลิศและแกนนำคนอื่นๆ ในข้อหากบฏหรือไม่ เนื่องจาก พล.ต.อ.อดุลย์ ได้ส่งสัญญาณก่อนหน้าที่ พล.อ.บุญเลิศจะประกาศยุติการชุมนุมว่า จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง 4.ฝ่ายค้าน เตรียม 30 ส.ส.ซักฟอก “นายกฯ-3 รมต.” ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ซุ่มรับมือ เชิญนักวิชาการติวเข้ม! | ||||
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลประชุม ส.ส.ของพรรคเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ว่าได้มีการขอให้ ส.ส.อย่าประท้วงพร่ำเพรื่อ เพื่อให้ฝ่ายค้านทำงานเต็มที่ 30 ชั่วโมง และว่า การอภิปรายทั้ง 3 วันจะมีการถ่ายทอดสดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสภา ส่วนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็จะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา เน้นชี้แจงเนื้อหาไม่เน้นโวหาร และไม่มีองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่อย่างใด ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า ฝ่ายค้านได้เตรียม ส.ส.ที่จะอภิปรายไว้ประมาณ 30 คน โดยจะใช้เวลา 1 วันในการอภิปรายรัฐมนตรี 3 คน คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ส่วนอีก 2 วันจะอภิปรายนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเรื่องหลากหลายที่จะอภิปราย สำหรับการอภิปราย พล.อ.อ.สุกำพลนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า จะไม่มีเรื่องที่ถอดยศตนแต่อย่างใด เพราะเรื่องอยู่ที่ศาลปกครองแล้ว ทั้งนี้ มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เก็บตัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาลทั้งวันเมื่อวันที่ 23 พ.ย.เพื่อซักซ้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน โดยได้เตรียมความพร้อมเรื่องเศรษฐกิจเป็นพิเศษ และได้มีการเชิญนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มาให้คำปรึกษาและแนะนำในการเตรียมพร้อมรับมือการอภิปรายด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน(23 พ.ย.) สำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจกหนังสือผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี โดยใช้ชื่อ “1 ปี มุ่งมั่น เดินหน้า พัฒนา ร่วมกัน” ซึ่งหน้าปกเป็นรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนเนื้อหาเป็นนโยบายเร่งด่วน 16 เรื่องที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ เช่น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่ง นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รีบออกมาชี้แจงว่า การออกหนังสือดังกล่าวในช่วงนี้ไม่เกี่ยวกับที่ฝ่ายค้านกำลังจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหนังสือเพิ่งพิมพ์เสร็จ โดยได้จัดทำหนังสือดังกล่าวออกมา 2 รูปแบบ รูปแบบแรกสำหรับประชาชนทั่วไป จำนวน 250,000 เล่ม ส่วนอีกรูปแบบสำหรับส่งมอบให้รัฐสภาและหน่วยราชการ รวมทั้งสถานศึกษาต่างๆ จำนวน 5,000 เล่ม ส่วนการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติของสมาชิกวุฒิสภานั้น แม้วุฒิฯ จะพยายามขอ 2 วัน คือวันที่ 23-24 พ.ย. แต่รัฐบาลไม่ให้ตามที่ขอ โดยให้วันที่ 23 พ.ย.และวันที่ 28 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมสภา ก่อนจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 29 พ.ย. โดยการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 28 พ.ย.นั้นจะมีขึ้นในช่วงบ่าย ขณะที่ช่วงเช้าจะเป็นการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน |
วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 18-24 พ.ย.2555
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น