นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศและรับตำแหน่งฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไม่กี่วันก็เริ่มมีประมูลการขายข้าวค้างสต๊อกกว่า 3 แสนตัน ให้กับบริษัทสยามอินดิก้า เพื่อขายให้กับองค์กรสำรองข้าวประเทศอินโดนีเซีย (บูล็อค) ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีการงุมงิบทำสัญญา เนื่องจากก่อนการประมูล มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ทราบข่าว แต่ในที่สุดบริษัทที่ได้ประมูลไปคือบริษัทสยามอินดิก้า โดยไม่มีการเปิดเผยและแจ้งให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทราบ แต่เรื่องแดงขึ้นมาเมื่อสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทำหนังสือมาถึงรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ว่าเหตุใดจึงไม่ทราบเรื่อง และการขายข้าวครั้งนี้จำนวน 3 แสนตัน ก็ไม่ได้นำสต๊อกข้าวของรัฐบาลมาดำเนินการ ทำให้องค์การคลังสินค้า ( อคส.) ต้องไปกว้านซื้อ ซึ่งถือเป็นการโกหก รัฐบาลกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคงไม่มีใครมีข้าวจำนวนมากถึง 3 แสนตันเหมือนรัฐบาล ที่ไปรับซื้อในราคาที่ถูกกว่า และเห็นว่ารัฐบาลยุคนี้ กล้ากว่า หนากว่า รัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะในสมัยนั้น มี 4-5 บริษัทที่เข้าร่วมประมูล เมื่อมีการท้วงติงมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ยกเลิกการประมูล
นายประเสริฐ กล่าวว่า เวลาไปเจรจากับต่างประเทศใช้ยี่ห้อประเทศไทย คนไทย ข้าวไทยไปเจรจาหรือไม่ แต่เมื่อสำเร็จกลับยกให้เอกชนทำ และการอนุมัติปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทสยามอินดิก้าเพื่อซื้อข้าว 3 แสนตันล๊อตนี้ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ยังไม่รู้เลย เหมือนกับเอาเงินจากธนาคารกรุงไทยไปจ่ายให้กับอคส. ซึ่งปัจจุบันบูล็อคได้ทยอยเบิกข้าวไปแล้ว 1.5 แสนตัน ส่วนที่เหลือให้ชะลอไว้ก่อน ไหนว่าการขายข้าวแบบจีทูจีเป็นความลับ แต่ปิดหูปิดตาประชาชน เป็นเพราะให้เอกชนดำเนินการใช่หรือไม่ ทั้งนี้สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีการขายข้าวแบบจีทูจี กับประเทศอินโดนิเซียและบังคลาเทศ ซึ่งไม่มีอะไรปิดบัง ทั้งที่เป็นเงินจำนวนมหาศาล และมีการเชิญชวนบริษัทต่างๆให้มาประมูลอย่างทั่วถึง
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า บริษัทสยามอินดิก้า มีความเชื่อมโยงกับบรัษัทเพรซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการประมูลข้าวในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ กว่า 3.8 แสนตัน เป็นบริษัทที่เดินเข้าออกกระทรวงพาณิชย์ ได้รับผลประโยชน์จากการขายข้าว ได้ลดค่าประกันสัญญา แต่ต่อมาบริษัทดังกล่าวทำให้ อคส.เสียหายถึง4,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาบริษัทดังกล่าวล้มละลาย ทำให้ อคส.ไม่ได้รับค่าเสียหายแม้แต่แดงเดียว ต่อมาบริษัทเพรสซิเด้นฯ มาตั้งบริษัทไหม่ ใช้ชื่อบริษัทสยามอินดิก้า โดยมีรายชื่อกรรมการบริหารบริษัทเป็นชุดเดียวกัน ครั้งนี้บริษัทดังกล่าวได้รับผลประโยชน์จากการประมูลข้าวจำนวน 3 แสนตัน แต่ก็เป็นบริษัทนี้ที่ในอดีตเคยทำให้ อคส.เสียหาย แต่ทำไมรัฐบาลยังทำธุรกิจกับบริษัทนี้อยู่ เพราะทำให้อสค.เสียหาย มีประวัติไม่ดี ขาดคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมประมูลได้ ซึ่งตนเชื่อว่าต้องมีเงินทอนกลับมาแน่นอน แต่ไปเข้ากระเป๋าใครต้องตอบให้ได้
“นายกฯรู้ยิ่งกว่ารู้ เพราะเป็นนักธุรกิจ ว่า 2 บริษัทนี้โคลนนิ่งกันมา มีคุณสมบัติไม่ชอบ และมีเป้าหมายเดียวกันคือมุ่งไปสู่การทุจริต ดังนั้นอยากให้นายกฯ เปิดเผยว่า อคส.รับเศษเงินมาเท่าไหร่ หายไปเท่าไหร่ ตกหล่นอยู่ที่ไหนบ้าง ขอให้มาเปิดเผยในสภาฯแห่งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมเสียใจและไม่อาจให้นายกฯอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป”นายประเสริฐ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น