วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ภารกิจ 'กองหลอน' ของเสธ.อ้าย เปลว สีเงิน 26 November 2555 - 00:00



ภาพลักษณ์ตำรวจวันนี้ โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เหมือนไก่ตีชนะ กระโดดขึ้นคอน แล้วกระพือปีกโก่งคอขัน ประกาศชัยเหนือประชาชน แค่ระดมตำรวจในชุดเต็มอัตราศึกจากทั่วประเทศมาไม่กี่หมื่น ก็สามารถไล่ตี ไล่กระทืบ ปาแก๊สน้ำตาใส่มวลชนที่ออกมาแสดงเจตนารมณ์ตามวิถีทางประชาธิปไตยจนบาดเจ็บปางตาย แตกกระเจิงแพ้พ่ายไปได้ในที่สุด 
 มันเป็นภาพที่สง่างาม สมบูรณ์แบบ เหี้ยมหาญ และดุดัน สมเป็นผู้พิทักษ์ประชา "ด้วยบาทาโหด" ที่เข้าตานายกระไรเช่นนั้น! 
 ดาวเงินและโล่เขนส่องประกายวาววะวับ ขับเน้นความเป็นตำรวจวีรบุรุษอภิรักษ์รัฐบาลระบอบทักษิณที่ยิ่งใหญ่ นับเป็นเกียรติประวัติสูงส่งของตำรวจและสถาบันตำรวจเพื่อระบอบทักษิณ ที่ต้องจารึกไว้
 "แผ่นดินแดง" อยู่ไม่ไกลแล้ว....
 สหาย นปช.เอ๋ย และเพื่อนร่วมแนวทางทักษิณทั้งหลายเอ๋ย!
 วีรกรรม "พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว" นำปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การเมืองบัญชาทุกรูปแบบครั้งนี้ ทั้งรอยตีน รอยตะบอง และแก๊สน้ำตา จะประทับอยู่ในความทรงจำด้านเจ็บปวดของประชาชน "ผู้ไม่เอาระบอบทักษิณ" ตลอดไป และต่อให้ตายจาก
 รอยนี้...มิลืม!
 ปฏิบัติการ "คล้ายถอดใจ" กลางกระแสมวลชนกรากของเสธ.อ้ายเมื่อบ่ายคล้อยวันที่ ๒๔ พฤศจิกานั้น เท่าที่สดับ หลายเสียงหยันเย้ย หลายเสียงครหา หลายเสียงฮึดฮัด หลายเสียงเข้าใจ หลายเสียงข้องใจ ใครมีปฏิกิริยาตอบสนอง "มือใหม่หัดขับ" อย่างไร ผมเข้าใจ และไม่คิด "เถียงแทน" ไอ้เสือฝ้ายเลย
 เสือฝ้าย เป็นโจร "บ้านกอไผ่" หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะว่าไปแล้ว ดังระดับท้ายแถว ขนาด ป.อินทรปาลิต ไม่เอามาเป็นพระเอกในนิยายชุดเสือของท่าน ครูสอนหนังสือไทยคนแรกของผม ไม่ใช่ครูโรงเรียน แต่เป็นจักรๆ วงศ์ๆ วัดเกาะ กับนิยาย "เสือดำ-เสือใบ-เสือมเหศวร" และหัสนิยายชุด พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต นี่แหละ
 แต่วันนี้ ผมต้องขอบคุณ "เสือฝ้าย ๒๕๕๕" คือพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ร้อยครั้ง-พันครั้ง เพราะเสือฝ้าย ๒๕๕๕ ไม่ได้ออกมาปล้น แต่ออกมาทำหน้าที่ "กองหลอน" ในบทบาท "ผู้นำทัพ" ปราบโจรปล้นแผ่นดิน!
 เสือฝ้ายทำได้เยี่ยมจริงๆ!
 เพราะการที่ท่านใช้ "ความไม่มีท่า" ให้เป็นกระบวนท่า "สั่งเลิกชุมนุม" กลายเป็นหมัดสะเปะสะปะ บังเอิญไปทำลายค่ายกลและแผนฝ่ายตรงข้ามชนิดตั้งใจ แต่คล้ายมิตั้งใจ มิหนำซ้ำ ล่อหลอกให้เผยไต๋ จนจับได้หมดว่า
 ใคร....คือใคร ในทาง ๒ แพร่งประเทศ!?
 อันที่จริง พลเอกบุญเลิศทำตามพูด มาไม่ถึงล้าน ไม่ถึง ๕ หมื่น-๕ แสน เลิกชุมนุม และท่านบอกมาตลอดว่า ชุมนุมวันเดียว ไม่ยืดเยื้อ วันเดียวจบ แล้วเลิกเลย 
 เมื่อวันที่ ๒๔ พ.ย.ทั้งปฏิบัติการตีนโหด ทั้งการใช้ระบบรัฐขัดขวางประชาชนมิให้มาร่วมชุมนุมได้สะดวก ต่างๆ นานา คนมาร่วมชุมนุมก็ไม่ถึงล้าน และเท่าที่ฟังไม่ถึง ๕ หมื่น 
 คนชุมนุมซัก ๒-๓ หมื่น แต่รัฐบาลสั่ง สตช.เกณฑ์พลกระทืบมา ๕ หมื่น ถึงชุมนุมต่อ ยังไงก็...ราษฎรไม่พอตีนตำรวจอยู่ดี!
 แต่ประเด็นนี้ ผมไม่ทึกทักเป็นข้ออ้าง แต่ท่านลองสมมุติตัวเองเป็นเสธ.อ้ายซิว่า ในสถานการณ์อย่างนั้น ด้วย "มือใหม่หัดขับ" จะให้ทำอย่างไรในอนาคต หากมืดค่ำลงไป ที่จะไม่ต้องพาคนไปตายทั้งคันรถ 
 และระดับมือใหม่หัดขับ ลองตอบจากประสบการณ์ซิว่า มันคล่อง หรือติดขัด เบรกอยู่ตรงไหน คลัตช์อยู่ตรงไหน คันเร่งอยู่ตรงไหน เหยียบก่อนเหยียบหลัง หรือต้องเหยียบพร้อมตอนไหน เพื่อประคองรถให้จอดสนิท และปลอดภัย
 มันอึดอัด-ขัดใจไปทั้งหมดใช่ไหม การนำมวลชนของเสธ.ก็ประมาณนั้น ผมจึงว่า ท่านตัดสินใจถูกแล้ว ถูกด่าก็คุ้มค่า เพราะถูกต้องแล้ว เมื่อเห็นท่าสะเปะสะปะ ก็กระทืบเบรกมันซะก่อนเลย!
 แต่ท่านรู้มั้ย มวลชน ๒๔ พฤศจิกานั้น เหมือนก้อนหินในมือเสธ.อ้าย และข้างหน้าคือ ดงไม้หนาทึบ มองอะไรเข้าไปไม่เห็น ดูภายนอกสงบราบเรียบ ที่ตะคุ่มๆ อยู่ในความโพล้เพล้
 มันเป็นความสงบราบเรียบที่ปลอดภัย ไร้ตัวอันตราย หรือเป็นความสงบราบเรียบที่มีศัตรูหรือไม่มีศัตรูซ่อนตัวแอบแฝง เหล่านี้ เราจะไม่มีโอกาสพิสูจน์ให้รู้ ให้หายข้องใจได้เลย
 พลันที่เสธ.อ้ายเงื้อ แทบไม่ทันได้ทุ่ม "หยั่งทาง" เข้าไปในสุมทุมพุ่มไม้หนาทึบนั้นด้วยซ้ำ ปรากฏว่า สรรพสิงสาราสัตว์ที่แอบอยู่ในดงไม้นั้น แตกตื่น กรูเกรียว ที่มีปีก ก็กระพือปีกบินฮือ ที่ ๒ เท้าบ้าง ๔ เท้าบ้าง มีหางบ้าง ไม่มีหางบ้าง หางยาวบ้าง หางสั้นบ้าง
 ต่างก็ส่งเสียงร้องบ้าง ส่งเสียงขู่คำรามบ้าง ตามสันดานสัตว์แต่ละชนิด แล้ววิ่งไปคนละทิศละทางบ้าง ทางเดียวกันบ้าง ในพวกเดียว-ฝูงเดียวกันบ้าง ต่างพวก-ต่างฝูงบ้าง!
 นั่นเพราะเสธ.อ้ายเป็น "ตัวหิน" ที่ถูกโยน "ถามทาง" แท้ๆ ทำให้ "สังคมชาติ" ได้รู้เช่น-เห็นชาติว่า พุ่มไม้ในความเป็นองคาพยพรัฐทั้งหลาย ตั้งแต่รัฐบาลลงไป ในภาพที่เห็นเงียบสงบอยู่ในความโพล้เพล้นั้น แท้จริงแล้ว เป็นที่ซุกซ่อน-ซ่องสุมสรรพสัตว์มากมาย
 จากการเคลื่อนไหว ทำให้จับสังเกตได้ว่า ชนิดไหนเป็นศัตรู คอยซุ่มกัดชาวบ้าน และชนิดไหน เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นพิษเป็นภัย และไม่กัดชาวบ้าน?
 จากเหตุการณ์ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อย่างน้อยก็ทำให้สังคมชาติเห็น "ธาตุแท้" องค์กร-สถาบัน ดังต่อไปนี้
 -ธาตุแท้รัฐบาล กล้าใช้ พ.ร.บ.มั่นคง แต่ขลาดรับผิดชอบ
 -ธาตุแท้ตำรวจ "เพื่อทักษิณ" ไม่มีอะไรที่ตำรวจทำไม่ได้ 
 -ธาตุแท้ทหาร เป็นรั้วของชาติ และเป็นรูของปู
 -ธาตุแท้นักวิชาการ ยังไม่ตายดี อีแร้งยังไม่ลงทึ้ง
 -ธาตุแท้ประชาชน เพื่อชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ทันที
 -ธาตุแท้สื่อ "ตะปิ้งปูรายวัน" เป็นงานข่าวชิ้นโบแดง
 อันการศึกน่ะ ต้องมีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี การเดินทัพอยู่ดีๆ แล้วหยุด "ถ่ายอุจจาระ" ของเสธ.อ้ายนั้น จะหัวเราะด้วยแสนขำ-แสนทุเรศก็ได้ ส่วนใครจะเอะใจ...เอ๊ะ..เสธ.อ้ายมาไม้ไหน เป็นกลยุทธ์-กลศึก เหมือนขงเบ้งตีขิมหรือบ่มิไก๊จนขี้แตก มันก็มองได้ทั้งนั้น
 ใครเชื่อที่เสธ.อ้ายบอกจะล้มรัฐบาลภายในวันเดียว...นั่นก็บ้า ใครไม่เชื่อก็...บ้า เหมือนนักโทษในหลักประหาร ....คุณตาย แต่จะตายด้วยดาบรำล่อตรงหน้า หรือหัวจะหลุดด้วยมือดาบ ๒ ที่ยืนจ้องอยู่ นั่นก็สุดแต่จะเข้าใจ แต่บอกได้ว่า
 จากดาบล่อเสธ.อ้าย ทำให้เห็นหมดเลยครับว่า ตำรวจท่าทียังไง ทหารท่าทียังไง รัฐบาลท่าทียังไง เสื้อแดงท่าทียังไง สารพัดเสื้อท่าทียังไง พวกเอ็นจีโอท่าทียังไง องค์กรอิสระท่าทียังไง ชาวบ้านร้านตลาดท่าทียังไง ผู้ว่าฯ ครู-อาจารย์ แต่ละสถาบัน แต่ละจังหวัดท่าทียังไง กระทั่ง พระ-เถน-เณร-ชี ท่าทียังไง?
 ในสถานการณ์อันมี "อนาคตประเทศ" เป็นเดิมพัน!?
 ก็ต้องขอบคุณเสธ.อ้าย ที่ทำให้ "รู้เช่น-เห็นชาติ" ในแต่ละยูนิตสังคม ว่า ณ ปากทาง ๒ แพร่งประเทศ ใครคิดกันยังไง ลึกๆ ในใจ คิดเห็นต่อสถาบัน ชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ แบบไหน-อย่างไร?
 และการ "หยุดกลางอากาศ" นั่นทำให้ฝ่ายจ้องอาศัยสถานการณ์ชุมนุม หวังสวมรอยเดินในแผน ๒ แผน ๓ ต้องพลอยกระทืบเบรก "หัวคะมำ" ไปด้วย 
 เสธ.ไม่เดิน โจรก็สะดุดแผน โดยเฉพาะที่จะอ้างเหตุชุมนุมข้ามวันจาก ๒๔ พ.ย.ว่าบ้านเมืองวิกฤติ สับสน ไม่ปลอดภัย-อันตราย มีการปะทะกันให้เห็นแล้ว ฉะนั้น "ยกเลิก" การอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ ๒๕-๒๖ พ.ย.!
 แล้วแผนยกเลิกก็ด้าน เพราะเสธ.อ้ายจบชีวิตเสือฝ้ายซะก่อนนั่นเอง!
 ครับ...ก็เอาหละ จะว่าใครชนะ-ใครแพ้ ก็ตามใจ แต่อยากบอกว่า "เรารู้แล้ว-เราเห็นแล้ว" แต่ละยูนิตไทย "ธาตุแท้" ใครเป็นอย่างไร ฉะนั้น ก็จงใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ในด้าน "รู้เขา-รู้เรา" กันตามสบาย จาก ๑๑ ธันวา ไปจนถึงเมษา ๕๖ 
 อันเป็นการจบ "มหาสยามยุทธ์" ภาคแรก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น