ทรรัฐบาล!!!
26 November 2555 - 00:00
รัฐบาลที่แสดงออกถึงอาการ...กลัวประชาชนของตนเอง และเกลียดประชาชนของตนเอง ให้เห็นอย่างชัดเจนเช่นนี้ จะไปเรียกว่ารัฐบาลอีกต่อไป มันคงเรียกไม่ได้เต็มปาก เต็มคำ ซักเท่าไหร่นัก เพราะโดยลักษณะมันออกไปทางทรราชล้วนๆ ซะมากกว่า และคงต้องเลิกพูดได้แล้วว่า ระบบการเมือง การปกครอง เท่าที่เป็นอยู่คือ ระบอบประชาธิปไตย ยิ่งนานวัน ยิ่งเห็นชัดเจน อย่างไม่พึงต้องสงสัยว่า...มันคือ โจราธิปไตย เราดีๆ นี่เอง!!!
---------------------------------------------
ขนาด รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ไม่ว่าใครจะว่าดีหรือเลว ชอบๆ ชังๆ ไปตามความรู้สึก และรสนิยม แบบของใครก็ของมัน แต่อย่างน้อย...ก็ยังพอแสดงออกถึงอาการคิดแล้ว คิดอีก ต่อการตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน ผู้ซึ่งไม่พึงพอใจตัวเอง ยังพยายามโอนอ่อน ผ่อนตาม หาทางเจื้อยแจ้ว เจรจา กันไม่รู้กี่ยกต่อกี่ยก กว่าจะงัดเอามาตรการต่างๆ มาบริหาร จัดการ สถานการณ์ ไปตามลำดับขั้น แต่สำหรับทรราช หรือทรรัฐบาล รายนี้...ยังไม่ทันได้เริ่มชุมนุมด้วยซ้ำ ก็แสดงอาการขนพอง สยายเขี้ยว สยายเล็บ เตรียมขย้ำ เตรียมตะปบ สุดท้ายก็ลงมือไล่งับ ไล่ฟัด ประชาชนของตนเอง ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ย่างกรายเข้าไปถึงที่ชุมนุม เอาเลยถึงขั้นนั้น...
------------------------------------------
ภาพสดๆ...ที่สื่อทางเลือก ซึ่งยังพอมีโอกาส ประคับ ประคอง ความเป็นสื่อให้หลงเหลืออยู่บ้าง อย่างโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที นิวส์ เอเอสทีวีทีวีบุญนิยม ฯลฯ ถ่ายทอดให้เห็นวินาที การปะทะระหว่างตำรวจ กับผู้ชุมนุม ที่สะพานมัฆวานนั้น ถือเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายใดๆ อีกแล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การบงการของทรรัฐบาลชุดนี้ ตั้งเป้าหมายเอาไว้ตั้งแต่แรก ที่จะบดขยี้ เล่นงาน ผู้ชุมนุม ชนิดไม่คิดจะปราณี ปราศรัย ไม่ได้สนใจมาตรฐานสากง สากล ใดๆ อย่างที่บิดาไอ้ปื๊ด ได้ออกมาสำรากเอาไว้ก่อนหน้านั้น ถีบได้ถีบ ตีได้ตี รายหนึ่งถูกบีบคอ ฉุดกระชากลากเสื้อ เหวี่ยงลงไปนอนแอ้งแม้ง อยู่ใต้ตีนตำรวจ ซึ่งแปรสภาพตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขหมู่ กรูเข้ามารุมกระทืบซ้ำ ตีนแล้ว ตีนเล่า...
------------------------------------------
ทั้งๆ ที่บรรยากาศในช่วงเช้าๆ ขณะยังไม่ทันได้ฤกษ์ ได้เริ่มต้นชุมนุมด้วยซ้ำ หรือแทบไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่จะถือเป็นตัวสร้างแรงกดดัน สร้างอารมณ์ บิ๊วอารมณ์ ให้ต้องเกิดความเคร่งเครียด ตึงเครียด จนอาจมีผลต่อต่อมความอดทน อดกลั้นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แค่มวลชนจะขอเดินผ่านจากสะพานมัฆวาน ไปยังเวทีชุมนุม ซึ่งห่างไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ตำรวจผู้ซึ่งสมัครใจอยู่ภายใต้ฝ่าตีนของนักโทษหนีคดีอาญา ก็ตัดสินใจสาดกระสุนแก๊ซน้ำตาออกมาเป็นสายๆ พร้อมกับกรูเข้าไปตี ไปกระทืบ ผู้ชุมนุม แทบไม่ต่างอะไรไปจากภาพคนร้าย ที่บุกเข้ากระทืบเหยื่อ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในร้านอินเทอร์เน็ต เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังไงยังงั้น...
------------------------------------------
โดยลักษณะอาการเช่นนี้...ก็ชอบแล้ว ที่ผู้นำมวลชนอย่าง เสธ.อ้าย ท่านจึงตัดสินใจยุติการชุมนุม ด้วยความรู้สึกห่วงใยต่อบรรดาราษฎรทั้งหลาย เพราะถ้าหากยังเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม จะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตามแต่ ยังไงๆ มันย่อมหนีไม่พ้น ที่จะต้องใช้เลือดของประชาชนเป็นเครื่องเซ่น สังเวย กันอีกไม่รู้ต่อกี่ปี๊บ กี่หาบ เนื่องจากลักษณะอาการของตำรวจ และทรรัฐบาล มันได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าไม่ได้คิดจะสนใจต่อชีวิต และเลือดเนื้อ ของมนุษย์มนาใดๆ เลย นอกเสียจากผู้ที่ให้ข้าว ให้น้ำ เทยศ เทตำแหน่ง เทอำนาจ วาสนา ลงในกะลาให้ตัวเอง ได้เลียไปเป็นพักๆ...
---------------------------------------
ส่วนจะบากหน้าไปพึ่งพาผู้อื่น ให้หันมารู้สึก รู้สา กับชีวิตของราษฎร ของพี่น้องร่วมชาติ โดยแนวโน้มความเป็นไปของสถานการณ์ในยุคนี้ หรือยุคที่ความดีลดลงเหลือแค่หนึ่งส่วน ความชั่วแผ่ขยายออกไปถึงสามส่วน ดูๆ แล้วมันออกจะลำบากพอสมควร เพราะกระทั่งไอ้ประเภทที่ประกาศตัวว่า เป็นนักประชาธิปไตย หรือนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็ดันจะเป็นประชาธิปไตย เป็นสิทธิมนุษยชน ก็แต่เฉพาะเมื่อฝ่ายมันโดนกระทำเท่านั้น คือถ้าหากเมื่อไหร่พวกกูถูกแตะ ถูกต้อง หรือแค่ถลอกปอกเปิกเล็กๆน้อยๆ...มันถึงจะเป็นเรื่อง แต่ถ้าหากพวกมึง ถูกยิง ถูกฆ่า ถูกปาระเบิดแขนขาด ขาขาด ส่วนใหญ่มันมักจะหันไปอมสากกะเบือ คนละด้าม สองด้าม ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
-------------------------------------------
ยิ่งคิดจะวิ่งโร่ไปพึ่งพาทหาร...ดีไม่ดีอาจถูกถีบสวนเอาง่ายๆ เพราะทหารยุคหลังๆ นั้น นอกเสียจาก ทหารพิทักษ์สยาม อันประกอบไปด้วยพลทหารระดับไอ้เณร ประมาณซักสี่ซ้าห้าคนแล้ว เรื่องที่จะรู้สึก รู้สา กับความมั่นคงของชาติ ความสงบสุขของราษฎรแบบจริงๆ จังๆ นั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...นับวันมันมีแต่ยิ่งลดน้อยลงไปทุกที ส่วนใหญ่หนักไปทางปลีกวิเวก นั่งสวดมนต์ ภาวนา ขออย่าให้ใครมาดึงตัวเอง ให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรต่อมิอะไรด้วยเลย เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสรักษาความเป็นชายชาติทหารด้วยการ คำราม ด่าใคร ต่อใคร ไปอย่างไร้จุดหมาย ไร้ยุทธศาสตร์ เพราะความฉิบหายของชาติบ้านเมืองนั้น มันอาจเกิดขึ้นหลังจากตัวเองได้เกษียณราชการไปแล้ว ดังนั้น...คงไม่จำเป็นต้องมานั่งใคร่ครวญ พิจารณา ภัยคุกคามใดๆ ให้ต้องปวดหัวโดยใช่เหตุ ในเมื่อมันสมองตัวเอง ก็ไม่ได้ถึงกับมีมากมายอะไรซักเท่าไหร่...
-------------------------------------------
สรุปแล้ว...การตัดสินใจยุติการชุมนุมของ เสธ.อ้าย นอกจากจะถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องขอแสดงความชื่นชม ยกย่อง เอาไว้ในที่นี้ เพราะผู้นำมวลชนใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ต่อฝ่ายไหน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร ต่อมิอะไร สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดถึงความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ความถนอมรัก อันพึงมีต่อมวลชนของตัวเองนั่นเอง ประเภทที่กู่ก้องร้องตะโกนว่า พ่อ-แม่-พี่-น้อง ของข้าพเจ้าทั้งหลาย แต่กลับพร้อมที่จะนำมวลชนไปเสี่ยงตาย ยุให้ใครต่อใคร เผามันเลยครับพี่น้อง...ผมรับผิดชอบเอง แล้วผงาดขึ้นไปเป็นรัฐมนตรี ขณะที่ พ่อ-แม่-พี่-น้อง ยังติดคุกไม่ออก อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือประเภทที่ว่า ได้ยินเสียงปืนเมื่อไหร่ผมจะกลับไปเดินนำหน้า พ่อ-แม่-พี่-น้อง ด้วยตัวเอง แต่ดันขนข้าว ขนของ ขนครอบครัว เผ่นหนีไปตั้งหลักซะไกลในทุกๆ ครั้ง...ไอ้ประเภทนั้นนี่แหละที่ พ่อ-แม่-พี่-น้อง ควรจะลากมากระทืบซะให้เข็ด แทนที่จะปล่อยให้ตัวเอง ถูกสนตะพายกัน คราวแล้ว คราวเล่า...
-----------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Douglas Jerrold (อีกครั้ง)...In the world, truth can wait ; she is use to it. - ในโลกนี้...ความจริงรอคอยได้ เพราะความจริงเป็นฝ่ายรอคอยมาจนชินซะแล้ว...
-----------------------------------------
---------------------------------------------
ขนาด รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ไม่ว่าใครจะว่าดีหรือเลว ชอบๆ ชังๆ ไปตามความรู้สึก และรสนิยม แบบของใครก็ของมัน แต่อย่างน้อย...ก็ยังพอแสดงออกถึงอาการคิดแล้ว คิดอีก ต่อการตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน ผู้ซึ่งไม่พึงพอใจตัวเอง ยังพยายามโอนอ่อน ผ่อนตาม หาทางเจื้อยแจ้ว เจรจา กันไม่รู้กี่ยกต่อกี่ยก กว่าจะงัดเอามาตรการต่างๆ มาบริหาร จัดการ สถานการณ์ ไปตามลำดับขั้น แต่สำหรับทรราช หรือทรรัฐบาล รายนี้...ยังไม่ทันได้เริ่มชุมนุมด้วยซ้ำ ก็แสดงอาการขนพอง สยายเขี้ยว สยายเล็บ เตรียมขย้ำ เตรียมตะปบ สุดท้ายก็ลงมือไล่งับ ไล่ฟัด ประชาชนของตนเอง ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ย่างกรายเข้าไปถึงที่ชุมนุม เอาเลยถึงขั้นนั้น...
------------------------------------------
ภาพสดๆ...ที่สื่อทางเลือก ซึ่งยังพอมีโอกาส ประคับ ประคอง ความเป็นสื่อให้หลงเหลืออยู่บ้าง อย่างโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที นิวส์ เอเอสทีวีทีวีบุญนิยม ฯลฯ ถ่ายทอดให้เห็นวินาที การปะทะระหว่างตำรวจ กับผู้ชุมนุม ที่สะพานมัฆวานนั้น ถือเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายใดๆ อีกแล้ว ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้การบงการของทรรัฐบาลชุดนี้ ตั้งเป้าหมายเอาไว้ตั้งแต่แรก ที่จะบดขยี้ เล่นงาน ผู้ชุมนุม ชนิดไม่คิดจะปราณี ปราศรัย ไม่ได้สนใจมาตรฐานสากง สากล ใดๆ อย่างที่บิดาไอ้ปื๊ด ได้ออกมาสำรากเอาไว้ก่อนหน้านั้น ถีบได้ถีบ ตีได้ตี รายหนึ่งถูกบีบคอ ฉุดกระชากลากเสื้อ เหวี่ยงลงไปนอนแอ้งแม้ง อยู่ใต้ตีนตำรวจ ซึ่งแปรสภาพตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขหมู่ กรูเข้ามารุมกระทืบซ้ำ ตีนแล้ว ตีนเล่า...
------------------------------------------
ทั้งๆ ที่บรรยากาศในช่วงเช้าๆ ขณะยังไม่ทันได้ฤกษ์ ได้เริ่มต้นชุมนุมด้วยซ้ำ หรือแทบไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่จะถือเป็นตัวสร้างแรงกดดัน สร้างอารมณ์ บิ๊วอารมณ์ ให้ต้องเกิดความเคร่งเครียด ตึงเครียด จนอาจมีผลต่อต่อมความอดทน อดกลั้นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แค่มวลชนจะขอเดินผ่านจากสะพานมัฆวาน ไปยังเวทีชุมนุม ซึ่งห่างไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ตำรวจผู้ซึ่งสมัครใจอยู่ภายใต้ฝ่าตีนของนักโทษหนีคดีอาญา ก็ตัดสินใจสาดกระสุนแก๊ซน้ำตาออกมาเป็นสายๆ พร้อมกับกรูเข้าไปตี ไปกระทืบ ผู้ชุมนุม แทบไม่ต่างอะไรไปจากภาพคนร้าย ที่บุกเข้ากระทืบเหยื่อ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในร้านอินเทอร์เน็ต เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังไงยังงั้น...
------------------------------------------
โดยลักษณะอาการเช่นนี้...ก็ชอบแล้ว ที่ผู้นำมวลชนอย่าง เสธ.อ้าย ท่านจึงตัดสินใจยุติการชุมนุม ด้วยความรู้สึกห่วงใยต่อบรรดาราษฎรทั้งหลาย เพราะถ้าหากยังเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม จะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ตามแต่ ยังไงๆ มันย่อมหนีไม่พ้น ที่จะต้องใช้เลือดของประชาชนเป็นเครื่องเซ่น สังเวย กันอีกไม่รู้ต่อกี่ปี๊บ กี่หาบ เนื่องจากลักษณะอาการของตำรวจ และทรรัฐบาล มันได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าไม่ได้คิดจะสนใจต่อชีวิต และเลือดเนื้อ ของมนุษย์มนาใดๆ เลย นอกเสียจากผู้ที่ให้ข้าว ให้น้ำ เทยศ เทตำแหน่ง เทอำนาจ วาสนา ลงในกะลาให้ตัวเอง ได้เลียไปเป็นพักๆ...
---------------------------------------
ส่วนจะบากหน้าไปพึ่งพาผู้อื่น ให้หันมารู้สึก รู้สา กับชีวิตของราษฎร ของพี่น้องร่วมชาติ โดยแนวโน้มความเป็นไปของสถานการณ์ในยุคนี้ หรือยุคที่ความดีลดลงเหลือแค่หนึ่งส่วน ความชั่วแผ่ขยายออกไปถึงสามส่วน ดูๆ แล้วมันออกจะลำบากพอสมควร เพราะกระทั่งไอ้ประเภทที่ประกาศตัวว่า เป็นนักประชาธิปไตย หรือนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็ดันจะเป็นประชาธิปไตย เป็นสิทธิมนุษยชน ก็แต่เฉพาะเมื่อฝ่ายมันโดนกระทำเท่านั้น คือถ้าหากเมื่อไหร่พวกกูถูกแตะ ถูกต้อง หรือแค่ถลอกปอกเปิกเล็กๆน้อยๆ...มันถึงจะเป็นเรื่อง แต่ถ้าหากพวกมึง ถูกยิง ถูกฆ่า ถูกปาระเบิดแขนขาด ขาขาด ส่วนใหญ่มันมักจะหันไปอมสากกะเบือ คนละด้าม สองด้าม ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
-------------------------------------------
ยิ่งคิดจะวิ่งโร่ไปพึ่งพาทหาร...ดีไม่ดีอาจถูกถีบสวนเอาง่ายๆ เพราะทหารยุคหลังๆ นั้น นอกเสียจาก ทหารพิทักษ์สยาม อันประกอบไปด้วยพลทหารระดับไอ้เณร ประมาณซักสี่ซ้าห้าคนแล้ว เรื่องที่จะรู้สึก รู้สา กับความมั่นคงของชาติ ความสงบสุขของราษฎรแบบจริงๆ จังๆ นั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...นับวันมันมีแต่ยิ่งลดน้อยลงไปทุกที ส่วนใหญ่หนักไปทางปลีกวิเวก นั่งสวดมนต์ ภาวนา ขออย่าให้ใครมาดึงตัวเอง ให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรต่อมิอะไรด้วยเลย เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสรักษาความเป็นชายชาติทหารด้วยการ คำราม ด่าใคร ต่อใคร ไปอย่างไร้จุดหมาย ไร้ยุทธศาสตร์ เพราะความฉิบหายของชาติบ้านเมืองนั้น มันอาจเกิดขึ้นหลังจากตัวเองได้เกษียณราชการไปแล้ว ดังนั้น...คงไม่จำเป็นต้องมานั่งใคร่ครวญ พิจารณา ภัยคุกคามใดๆ ให้ต้องปวดหัวโดยใช่เหตุ ในเมื่อมันสมองตัวเอง ก็ไม่ได้ถึงกับมีมากมายอะไรซักเท่าไหร่...
-------------------------------------------
สรุปแล้ว...การตัดสินใจยุติการชุมนุมของ เสธ.อ้าย นอกจากจะถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องขอแสดงความชื่นชม ยกย่อง เอาไว้ในที่นี้ เพราะผู้นำมวลชนใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ต่อฝ่ายไหน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร ต่อมิอะไร สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดถึงความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ความถนอมรัก อันพึงมีต่อมวลชนของตัวเองนั่นเอง ประเภทที่กู่ก้องร้องตะโกนว่า พ่อ-แม่-พี่-น้อง ของข้าพเจ้าทั้งหลาย แต่กลับพร้อมที่จะนำมวลชนไปเสี่ยงตาย ยุให้ใครต่อใคร เผามันเลยครับพี่น้อง...ผมรับผิดชอบเอง แล้วผงาดขึ้นไปเป็นรัฐมนตรี ขณะที่ พ่อ-แม่-พี่-น้อง ยังติดคุกไม่ออก อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือประเภทที่ว่า ได้ยินเสียงปืนเมื่อไหร่ผมจะกลับไปเดินนำหน้า พ่อ-แม่-พี่-น้อง ด้วยตัวเอง แต่ดันขนข้าว ขนของ ขนครอบครัว เผ่นหนีไปตั้งหลักซะไกลในทุกๆ ครั้ง...ไอ้ประเภทนั้นนี่แหละที่ พ่อ-แม่-พี่-น้อง ควรจะลากมากระทืบซะให้เข็ด แทนที่จะปล่อยให้ตัวเอง ถูกสนตะพายกัน คราวแล้ว คราวเล่า...
-----------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Douglas Jerrold (อีกครั้ง)...In the world, truth can wait ; she is use to it. - ในโลกนี้...ความจริงรอคอยได้ เพราะความจริงเป็นฝ่ายรอคอยมาจนชินซะแล้ว...
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น