วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

1 ธ.ค.56 ชัตดาวน์ประเทศ สู่เป้าหมายล้มรัฐบาล

1 ธ.ค.ชัตดาวน์ประเทศ สู่เป้าหมายล้มรัฐบาล


สถานการณ์ทางการเมืองเข้าช่วงเดทไลน์มาทุกที แกนนำกลุ่มประชาชนต่อต้านระบอบทักษิณ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ รุกคืบที่จะโค่นล้มรัฐบาลมาเรื่อยๆ ด้วยการยกระดับการชุมนุมในช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตั้งแต่การระดมประชาชนล้านคน ที่ถนนราชดำเนินและทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับกดดันรัฐบาลและสื่อมวลชน ทั้งหมด 13 เส้นทาง ได้แก่ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง กองบัญชาการกองทัพบก กองบัญชาการกองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสถานีโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9  
     ตามมาด้วยการบุกยึดหน่วยงานราชการเกือบทุกแห่งในกรุงเทพฯ จนไปยึดศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และกระทรวงการคลัง เป็นศูนย์กลางการชุมนุมควบคู่กับเวทีใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน  
ในห้วงเวลาเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำงานคู่ขนาน ตามถล่ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ที่บริหารราชการแผ่นดินโดยบกพร่อง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรม ไร้สำนึก ไร้ภาวะผู้นำ ไร้ความรับผิดชอบต่อสภาฯ และประชาชน 
    โดยเฉพาะการพุ่งประเด็นในเรื่องการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากผ่าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีสิทธิ์ได้ทรัพย์สิน จำนวน 982 ล้านบาทคืน หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งยังถล่มโครงการรับจำนำข้าวที่ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียเงินไป 2 แสนล้านบาท โดยมีคนในเครือข่ายรัฐบาล โดยมีชื่อ “เจ๊ ด.” บงการได้ประโยชน์
    งานนั้น “ยิ่งลักษณ์” แทบล้มพับตายกลางสภาฯ แม้ในทางพฤตินัยนั้นหมดความชอบทำที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป แต่ทางนิตินัย ด้วยเสียงข้างมากก็ยังสามารถทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งต่อไปได้  
    ทางการเมืองรัฐบาลจะแพ้สนิทหมดรูป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ตอบโต้อะไรเลย ยังอาศัยจังหวะชิงไหวชิงพริบ ต่อสู้ในแง่ของเชิงอารมณ์และความรู้สึกของสังคมต่อไป วัดใจความอึด ด้วยการไม่ใช่ความรุนแรง และเน้นกระแสกับสื่อต่างชาติว่ารัฐบาลนี้มาตามระบอบประชาธิปไตย    
     พร้อมดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย อาทิ การขอหมายจับจากศาลจัดการกับนายสุเทพ ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี  สมุทรปราการ ใน อ.บางพลี พื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และปล่อยข่าวดิสเครดิตผู้ชุมนุมตลอดเวลา
ขณะที่ข้อเรียกร้องของผู้คัดค้านในการตั้งสภาฯ ประชาชน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ออกมาปฏิเสธว่า การมองตรงนี้เป็นการมองระยะยาว แต่ถามว่าปัจจุบันนี้เราจะไปหาจุดนั้นได้อย่างไร ก็ต้องมานั่งพูดคุยกันว่า วิธีการ แนวทาง รูปแบบ หรือสิ่งที่ปฏิบัติได้จะเป็นแบบไหน เพราะการพูดแบบนี้ไม่สามารถจะสนองข้อเรียกร้องได้ ต้องยุติการชุมนุมก่อน และมานั่งคุยกันว่าเราจะหาทางออกของประเทศอย่างไร
“ถ้าผู้ชุมนุมกลับเข้าสู่ที่ตั้ง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ เราก็มาคุยกัน หารือกัน เพราะต้องใช้เวลาในการหารือกันอยู่แล้ว ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี และถ้ามีอะไรไม่ถูกใจ จะกลับมาชุมนุมใหม่ก็ไม่มีปัญหา เพราะถือเป็นการเรียกร้องตามกรอบประชาธิปไตย” นายกฯ กล่าว
จนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีท่าทีความรับผิดชอบ หลังจากที่พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และแก้ไข รธน.ที่มาของวุฒิสภาของ 312 สมาชิกรัฐมนตรีจนเป็นโมฆะ
นับวันประชาชนก็ยิ่งออกมาเรียกหาสปิริตของรัฐบาล เพื่อไม่ให้บานปลาย เพราะกำลังเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลอง ม็อบสุเทพจึงได้ผนึกกำลังกับคนหน้าเดิมในช่วงปี 2549 และแปลงร่างเป็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ประกาศปิดเมืองอีกครั้ง มีเป้าหมายหลักคือยึดทำเนียบรัฐบาล ชัตดาวน์ระบบ และประกาศชัยชนะในวันที่ 1 ธ.ค.  
    เพราะเหล่าแกนนำรู้ว่ายิ่งนานวันหากไม่สามารถปิดเกมได้ สถานการณ์อาจตีกลับมาที่พวกเขา เพราะมวลชนก็เริ่มเหนื่อยล้า ขณะที่แนวร่วมบางส่วนก็เริ่มแยกตัวไป เพราะไม่มั่นใจในแนวทางของนายสุเทพ ที่เดิมออกตัวแรงว่าต้องการชนะด้วยรูปแบบสันติ อหิสา   
ไล่ตั้งแต่แนวร่วมเก่าอย่าง นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง ระบุว่า ถึงเวลาที่ “มวลมหาประชาชน” จะต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก หาผู้นำใหม่ที่รักสันติ สุภาพ เข้มแข็ง อดทน ให้การทำงานโปร่งใส เพื่อบรรลุเป้าหมาย  
เช่นเดียวกัน “นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์” อ.รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เขียนจดหมายถึงสุเทพ ให้เน้นหลักการต่อสู้แบบสันติวิธี และอารยะขัดขืน ปราศจากความรุนแรง
แต่ที่เจ็บจี๊ดเป็นที่สุด ก็คือคนกันเองอย่าง “นายกรณ์ จาติกวณิช” รองหัวหน้าพรรค อดีต รมว.คลัง ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการบุกเข้ายึดกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ พร้อมท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในกลุ่ม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่แสดงอาการโดดเดี่ยวการกระทำของนายสุเทพ 
ความรู้สึกของนายสุเทพเป็นอย่างไร “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อาจเข้าใจนายสุเทพเป็นอย่างดี    
ดังนั้นเพื่อเป้าหมายให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อการกระทำ ประชาชนต้องออกมาบนท้องถนนให้มากๆ อีกครั้ง แต่หากผ่านพ้นวันที่ 1 ธ.ค.แล้วยังไม่สำเร็จ ก็ถึงคราวพรรคประชาธิปัตย์ และวุฒิสภาในนามกลุ่ม 40 ส.ว. ควรเลิกยึดติดประโยชน์จากการดำรงตำแหน่ง และลาออกจากตำแหน่ง เพราะงานในสภาฯ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว และออกมากอดคอร่วมเป็นร่วมตาย แสดงความจริงใจกับมวลชน เพื่อโค่นล้มรัฐบาลเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศ”  
เมื่อองคาพยพดังกล่าวปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน รัฐบาลต้องแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เพราะในเชิงสัญลักษณ์เสียงข้างมากไม่สามารถทำงานได้หากไร้ซึ่งพรรคฝ่ายค้านในระบอบการปกครองประชาธิปไตย  ส่วนจะทำตามข้อเรียกร้องคือ ให้ระบอบทักษิณออกไป และตั้งสภาประชาชน คงเป็นเรื่องยากในขณะนี้ เพราะเลยกรอบของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
การยุบสภาฯ จึงเป็นทางออกต่อการแสดงความรับผิดชอบ เพราะอำนาจการกดปุ่มอยู่ในมือนายกฯ แล้ว อีกทั้งยังเป็นการยุติปัญหาของบ้านเมืองที่มีแนวโน้มไปสู่การเผชิญหน้านำไปสู่ความรุนแรง  
โดยโอนอำนาจกลับไปให้ประชาชนอีกครั้งเป็นผู้ตัดสินใหม่ ซึ่งอาจเห็นภายหลังวันที่ 2 ธ.ค.นี้ หลังจากที่อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ทั้ง 109 คน ซึ่งมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา แกนหลักพันธมิตรฯ คนสำคัญของรัฐบาล พ้นโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองมาแล้ว 5 ปี   
ฝ่ายต้านอาจไม่พอใจ เพราะยังไม่สามารถกำจัดระบอบทักษิณได้อย่างเด็ดขาด แต่หากเอาชาติเป็นที่ตั้ง ทุกฝ่ายก็ควรถอยออกมาคนละก้าว  
 แม้การเลือกตั้งใหม่จะได้รัฐบาลแบบเดิม แต่อย่างน้อยบทเรียนในอดีตจะทำให้พวกเขาขยาด ไม่กล้าข่มขืนใจประชาชนและทำอะไรสุดซอยเพื่อนายใหญ่อีกต่อไป!!!.
                                                        ทีมข่าวการเมือง   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น