วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ปูช้ำหนัก!!! ศาลปค.สูงสุด ยืนสั่งคืนตำแหน่งเลขาสมช. ให้ถวิล เปลี่ยนศรีเมื่อ 24 ก.ย.56



ปูช้ำหนัก!!! ศาลปค.สูงสุด ยืนสั่งคืนตำแหน่งเลขาสมช. ให้ถวิล เปลี่ยนศรี

รบ.ช้ำหนัก !! ศาลปกครองสูงสุดเคาะยืนตามศาลปกครองกลาง คืนตำแหน่งเลขาสมช.ให้ถวิล เปลี่ยนศรี -ชี้ขัดกม. มีเจตนาแอบแฝง  -ด้านเจ้าตัว ระบุ ไม่ได้หวังตำแหน่งแค่อยากให้เป็นธรรมวันนี้ ( 24 ก.ย.56) ศาลปกครองสูงสุดออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก กรณีที่นายกรัฐมนตรี ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่สั่งเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 152 /2554 วันที่ 7 ก.ย. 2554 ที่ให้นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ โดยนายถวิล ผู้ฟ้องคดีนี้ได้เดินทางมาด้วยตนเอง แต่ไม่ประสงค์ที่จะแถลงปิดคดี ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคือนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือก.พ. เป็นผู้รับมอบอำนาจ แถลงปิดคดีด้วยวาจา
          หลังจากที่คู่กรณีแถลงด้วยวาจาเสร็จแล้ว องค์คณะได้ให้ตุลาการผู้แถลงคดีแถลงความเห็นส่วนตัวต่อคดีที่ไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาวินิจฉัยขององค์คณะ โดยเห็น ว่า ตามระเบียบก.พ.ไมได้กำหนดวิธีการปฏิบัติในการโอนย้ายไว้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงพบว่า มีการยินยอมของ 2 รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลหน่วยงานที่จะให้มีการโอนย้ายกัน แม้จะมีลักษณะเร่งรีบ แต่ก็เชื่อว่ามีการประสานงานกันก่อนแล้ว จึงไม่ทำให้ขั้นตอนการโอนย้ายเสียไป อีกทั้งมีการเสนอให้ ครม.เห็นชอบในเวลาต่อมา และมีการนำความขึ้นกราบบังคงทูลฯ ดังนั้นคำอุทธรณ์ของนายกรัฐมนตรีรับฟังขึ้น ส่วนที่นายถวิลอ้างว่า การใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งโยกย้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาแอบแฝงและหากศาลเข้าไปวินิจฉัยก็จะเป็นการก้าวล่วงฝ่ายบริหารนั้น เห็นว่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.เป็นตำแหน่งนักบริหารระดับสูง เทียบเท่าหัวหน้าระดับกรม มีอำนาจหน้าที่และศักดิ์ศรีมากกว่าตำแหน่งที่ปรึกษา หากจะมีการโยกย้ายก็ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดและเป็นไปตามหลักคุณธรรม ของมาตรา 42 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
          ซึ่งกรณีดังกล่าวปรากฏหลักฐาน ว่า นายกรัฐมนตรีอ้างเหตุในการย้ายนายถวิล ว่า ไม่ปฏิบัติตามนโยบายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลได้แถลงไว้ อีกทั้งตำแหน่ง สมช. เป็นตำแหน่งระดับปฏิบัติ ซึ่งนายถวิลมีความเหมาะสม เชี่ยวชาญด้านการวางแผนในลักษณะเสนาธิการมากกว่าจึงเห็นควรให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตุลาการผู้แถลงคดีเห็นว่า ตำแหน่งเลขาฯ สมช. เป็นตำแหน่งที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบที่มากกว่าที่ปรึกษานายกฯ อีกทั้งตามพ.ร.บ.สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นสมาชิกของสภาความมั่นคง เช่นเดียวกับนายกฯและรองนายกฯที่กำกับดูแล ดังนั้นที่อ้างว่าการโอนย้ายนายถวิลเพื่อยกระดับการปฏิบัติงานภาคสนามมาเป็นด้านเสนาธิการจึงไม่อาจรับฟังได้ และที่อ้างว่าการพิจารณาของศาลเป็นการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายบริหารนั้น เห็นผู้บังคับบัญชาสามารถใช้ดุลยพินิจแต่งตั้งโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตามความเหมาะสมแต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ หากให้ศาลมีอำนาจตรวจสอบแค่ขั้นตอน โดยไม่อาจตรวจสอบเจตนาการใช้ดุลยพินิจ ว่า ชอบหรือไม่ ก็อาจเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งกรณีนี้มีการนำเสนอข่าว การยอมรับของรองนายกฯที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น ว่ายินดีที่จะถูกย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร. หากมีตำแหน่งที่เหมาะสมกว่า อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า นายถวิล ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการ ศอฉ. รัฐบาลนี้จึงไม่อยากให้อยู่ในตำแหน่ง
          แม้คำสัมภาษณ์ดังกล่าวของรองนายกฯที่ปรากฏทางสื่อฯจะไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยได้ แต่ในข้อเท็จจริงปรากฏว่า เหตุการณ์หลังจากนั้น เป็นไปตามคำพูดของรองนายกฯ ประกอบกับการย้ายตำแหน่งนายถวิล ไปดำรงตำแหน่งอื่นก็ควรเป็นตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการ ที่ไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งเลขาฯสมช.และควรได้รับการยินยอมจากนายถวิล เช่นเดียวกับที่ย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. รวมถึงการย้ายนายถวิล ก็ไม่ได้เกิดจากการดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี จึงเห็นว่าการย้ายนายถวิล ไม่ได้มีเจตนาที่แท้จริงตามที่อ้างว่าย้ายเพื่อยกระดับการบริหารงานด้านความมั่นคง ซึ่งการใช้ดุลยพินิจของนายกฯไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นควรเสนอต่อศาลปกครองสูงสุดให้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลางที่เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายและให้คืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.แก่นายถวิล นับแต่วันที่มีคำสั่งย้าย โดยหลังการพิจารณาคดีครั้งแรกเสร็จสิ้น องค์คณะไม่ได้แจ้งให้คู่กรณีได้ทราบว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้เมื่อใด
          ด้านนายถวิล กล่าวภายหลังที่เข้ารับฟังการพิจารณาคดีครั้งแรก ว่า ตนรู้สึกพอใจกับการพิจารณาคดีดังกล่าว และมั่นใจว่าสิ่งที่ตนถูกกระทำนั้นไม่เป็นธรรม มีวาระแอบแฝง ซึ่งตนจะเกษียณอายุราชการในปี 2557 ก็หวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งออกมาก่อนวันที่ 30 ก.ย. 57 หากเป็นคำสั่งที่ออกมาเป็นคุณแก่ตนเองนั้น ก็จะพิจารณาการเยียวยาของรัฐว่าเป็นไปในลักษณะที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้เสนอว่า ตนควรไปฟ้องร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดนายกฯและคณะรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้ที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม แต่ตนเป็นข้าราชการมา 30 ปี ไม่อยากเห็นนายกฯและคณะรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะสาเหตุมาจากตน แต่หากคำพิพากษาไม่เป็นคุณก็จะทำหน้าที่ที่ปรึกษานายกฯให้ดีที่สุดจนกว่าจะเกษียณ

          นายถวิลยังกล่าวอีกว่า การกลับเข้าไปดำรงแหน่งเลขาฯ สมช.หรือไม่ สำคัญน้อยกว่าการรักษาองค์กรสมช.ไว้ โดยในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา องค์กรสมช.ได้มีความผิดเพี้ยนไปมาก เนื่องจากถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ซึ่งมีการย้ายทหารและตำรวจเข้ามาดำรงตำแหน่งต่างๆ ซึ่งในวันที่ 30 ก.ย. นี้ จะมีตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช. ว่างลง 2 ตำแหน่ง จึงอยากฝากถึงรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ว่า คนในสมช.มีความพร้อมในด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิ จึงไม่อยากให้มีการพิจารณาเอาบุคคลภายนอกมาดำรงตำแหน่งให้ซ้ำรอยตนเอง เพราะจะทำให้กระทบต่อขวัญกำลังใจข้าราชการสมช.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น