วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ทักษิณคิดน้องทำ 1ปีหนี้ทั้งแผ่นดิน เมื่อ 25 ก.ย.56


ทักษิณคิดน้องทำ 1ปีหนี้ทั้งแผ่นดิน

 “ยิ่งลักษณ์” ร่ายโพยผลงาน 1 ปี อ้างรัฐบาลมีแต่สิ่งท้าทายเมื่อเข้ามาบริหารประเทศ โทษ ”มหาอุทกภัย” ทำให้ไม่เหลือเวลาแก้ปัญหา โอ่ทัวร์ต่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาธิปไตย “สุรพงษ์” ฉวยโอกาสเชลียร์ “เกียรติ” แฉดีจริงทำไมเวิลด์อีโคโนมิกไม่เชิญอีก “มาร์ค” เปิดตัวเลขประจานความห่วยการบริหาร เด็ก ปชป.เรียงหน้าย้อนเกล็ดกระชากค่าครองชีพ ซัดมีแต่ของแพง หนี้สินพุ่ง 
      เมื่อวันอังคาร ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงบ่ายได้นัดประชุมเป็นพิเศษ เพื่อพิจารณารับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปีที่ 1 ระหว่างวันที่ 23 ส.ค.2554 - 23 ส.ค.2555
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อ่านถึงภาพรวมการดำเนินงาน 1 ปีว่า รัฐบาลได้ยึดหลักบริหาร จุดมุ่งหมาย 3 ประการด้วยกัน คือ 1.สร้างเศรษฐกิจสมดุลเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ 2.การสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นที่จะมุ่งไปสู่สังคมของการปรองดองบนหลักของความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน และ 3.การเตรียมพร้อมการก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งการบริหารของรัฐบาลต้องเจอความท้าทายในปีแรก ไม่ว่าจะเป็นภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกถึง 70%, ความเหลื่อมล้ำทั้งรายได้และโครงสร้างพื้นฐาน, ปัญหายาเสพติด,
ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่, โครงสร้างประชากร รวมถึงปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 
“การที่ไทยต้องฟื้นฟูวิกฤติหลังเกิดปัญหาอุทกภัย เวลาของรัฐบาลที่ควรต้องแก้ปัญหานั้น ก็เกิดต้องแก้ปัญหาเรื่องของอุทกภัยไป ก็หายไปแล้ว ประมาณ 5- 6 เดือนแล้ว แต่รัฐบาลนี้ก็ยังมุ่งมั่นแก้ปัญหาในการสร้างความเชื่อมั่น” น.ส.ยิ่งลักษณ์อ่าน
นายกฯ ยังอ่านอีกว่า รัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเร่งออกนโยบายเร่งด่วนทั้งหมด 16 ข้อ และได้สร้างบรรยากาศของการปรองดองและไม่ตอบโต้ รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ทางด้านอุทกภัย ภาวะอุทกภัยและภัยทางการเมืองด้วย ส่วนด้านต่างประเทศ รัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มประเทศอาเซียนหรือพันธมิตรต่างๆ ซึ่งมีทั้งการเปิดตลาดใหม่ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ และกระบวนการต่างๆ ของประเทศว่าโปร่งใส 
    ต่อมา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.การคลัง ได้อภิปรายลงรายละเอียดในตัวเลขของผลงาน 1 ปีว่า รัฐบาลเข้ามาตั้งใจทำให้ขาดดุลงบประมาณลดลง และในปี 2560 งบประมาณจะสมดุล ส่วนหนี้สาธารณะก็จะดูแลไม่สูงเกิน 50% ต่อจีดีพี และจะลดลงเรื่อยๆ 
นายกิตติรัตน์ยังกล่าวอ้างถึงตัวเลขการจ้างงานที่สูง และอัตราการว่างที่ต่ำ รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น โดยเฉพาะการอ้างถึงความสำเร็จของนโยบายต่างๆ ทั้งการปรับค่าแรง 300 บาท, เงินเดือน 15,000 บาท, การงดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง, การพักหนี้, การควบคุมราคาสินค้า 
“รัฐบาลได้ลดภาษีนิติบุคคล เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติ โครงการบ้านหลังแรกและรถคันแรก ทำให้ประชาชนมีสินทรัพย์และลงทุนให้แก่คุณภาพชีวิต บัตรสินเชื่อเกษตรกร ไม่ให้ชาวบ้านไปพึ่งเงินนอกระบบ จึงถือว่าเป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น” นายกิตติรันต์ระบุ  
    ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายผลงานรัฐบาลในภาพรวมว่า สถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศ (ไอเอ็มดี) ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประเมินขีดความสามารถแข่งขันของประเทศไทย ไม่ว่าเป็นอันดับโดยรวมหรือสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ไม่มีข้อไหนที่อันดับเศรษฐกิจของไทยในปี 2556 ดีกว่าปี 2553 ตรงกันข้ามตกลงทุกด้าน 
มาร์คเปิดตัวเลขแฉล้มเหลว
นายอภิสิทธิ์ยังได้เปิดตัวเลขด้านต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงการบริหารงานที่ล้มเหลว ไม่ว่าการขยายตัวการส่งออกที่ลดลงเหลือ 17.2% จากปี 2553 ที่อยู่ที่ 28%,การขยายตัวรายได้ประชาชาติโดยรวมในปี 2553 เติบโต 7.8% มาทรุดลงเหลือ 0.1% ในช่วงน้ำท่วมปี 2554 และเพิ่มขึ้นมาในปี 2555 เป็น 6.5% แต่ปี 2556 กลับมีแนวโน้มลดลงเหลือ 4.1% และอาจเหลือ 2%, ดุลบัญชีเดินสะพัดจากเกินดุล 3.1% กลับถดถอยมาอยู่ที่ 1.7% และ 0.7% ในปีล่าสุด ตัวเลขหนี้สาธารณะที่ลดลงในปลายรัฐบาลที่แล้ว 40.6% กระโดดไปอยู่ที่ 44.3% ซึ่งยังไม่รวมการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท หรือ 2 ล้านล้านบาท
“2 ปีที่ผ่านมา มีแต่พูดถึงปัญหาของแพง คำมั่นสัญญาที่ปรากฏในนโยบายหาเสียงและสิ่งที่รัฐบาลควบคุมหรือตัดสินใจได้ แต่วันนี้รัฐบาลได้ซ้ำเติมประชาชนในเรื่องภาระค่าครองชีพ” นายอภิสิทธิ์กล่าวพร้อมยกตัวเลขด้านพลังงาน ทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซ และค่าไฟ รวมถึงราคาสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์ที่ปรับขึ้น
    นายอภิสิทธิ์ยังวิจารณ์ถึงนโยบายภาคการเกษตรที่บอกว่า จะยกระดับราคาสินค้าให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งลงทุน แต่วันนี้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ทั้งปัญหาราคายางตกต่ำที่มีผู้ชุมนุมอยู่ การจำนำข้าวซึ่งมียอดขาดทุนทั้ง 3 ฤดูกาล รวมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ ธ.ก.ส.ประมาณ 257,000 ล้านบาท เท่ากับเอาเงินไปช่วยชาวนาเพียง 50 สตางค์ ทำให้นายกฯ ไม่กล้าพูดว่าโครงการจำนำข้าวมีวงเงินจำนวน 500,000 ล้านบาท เพราะได้ใช้เกินไปแล้ว และขาดทุนปีละ 150,000-200,000 ล้านบาท ทำให้ยืนยันว่าสิ่งที่นายกฯ พูดว่าจะทำให้งบสมดุลได้ภายในปี 2560 ไม่เป็นความจริง 
“รัฐบาลรายงานว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีปัญหาและอุปสรรคเรื่องขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ผมขอถามว่ากลุ่มเป้าหมายนี้รวมถึงรัฐบาลด้วยหรือไม่ ที่บริหารประเทศด้วยความคิดว่าให้คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ทำนโยบายประชานิยมแบบฝืนตลาด สร้างอำนาจซื้อเทียม” นายอภิสิทธิ์ระบุ
ผู้นำฝ่ายค้านยังกล่าวรายงานของรัฐบาลว่าด้วยความปรองดองว่า ไม่มีการดำเนินตามที่แถลงไว้ ในเรื่องการสนับสนุนในการนำรายงาน คอป.มาใช้ แต่สิ่งที่พยายามผลักดันตลอดเวลาคือกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องปฏิบัติเสมอภาคกัน หากยังเลือกปฏิบัติ ทั้งการพัฒนา และเรื่องเสรีภาพทางการเมืองความปรองดองก็เกิดขึ้นไม่ได้ 
“นโยบายข้อ 5 เร่งนำสันติสุขมาสู่ภาคใต้ ตกลงโครงสร้างจะเอาอย่างไร มีกฎหมาย ศอ.บต.แล้วกลับไปตั้งโครงสร้างให้มันซับซ้อน ความถี่ของความไม่สงบมีแนวโน้มสูงมาก ถึงเวลาที่ต้องทบทวน ถ้ายังเดินต่อไปในแนวทางนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะนำความสงบสันติสุขกลับมาได้อย่างไร” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุ
    ภายหลังนายอภิสิทธิ์อภิปรายเสร็จ บรรดา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต่างลุกขึ้นอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะความล้มเหลวของนโยบายหาเสียงรัฐบาลในเรื่องกระชากค่าครองชีพ และนโยบายประชานิยมต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้แต่ไม่สามารถทำได้ ทั้งเรื่องโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และโครงการรถคันแรก
ซัดสร้างหนี้เพิ่ม 3 หมื่น
    นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า พท.เคยชูนโยบายขึ้นป้ายหาเสียงว่า “ล้างหนี้ประเทศไทย สร้างรายได้ประชาชน เอาความสุขที่เคยได้รับคืนมา” แต่กลับล้มเหลว นอกจากทำไม่ได้ตามสัญญาแล้ว ยังทำให้อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 188,774 บาทเพิ่มขึ้นกว่า 3 หมื่นบาทจากปี 2554 
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายว่า รัฐบาลล้มเหลวการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายตามที่หาเสียงไว้ เพราะรถไฟฟ้าสามารถสร้างครบ 10 สายได้เร็วที่สุดปี 2562 แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยครบวาระปี 2558 รวมทั้งนโยบาย 20 บาทรัฐบาลต้องอุดหนุนการขาดทุนถึงปีละ 2 แสนล้านบาท แต่รัฐไม่มีเงิน
การอภิปรายเริ่มมาสีสันมากขึ้น ในเวลา 18 .00 น. เมื่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ ได้ใช้สิทธิ์อภิปรายยืนยันว่าถึงการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ว่าสร้างประโยชน์หลังจากรัฐบาลชุดเดิมมีปัญหากับเพื่อนบ้าน โดย ส.ส.ฝ่ายค้านต่างประท้วงเนื่องจากไม่มีการอภิปรายถึง แต่นายสุรพงษ์ยืนยันว่าต้องอภิปรายเพราะถูกโจมตีมาตลอด 2 ปี
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า สมัยเป็นรัฐบาลได้รับความเชื่อมั่น มิเช่นนั้นนานาชาติคงไม่เชิญเข้าร่วมการประชุมสำคัญ ในขณะที่นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สังเกตหรือไม่ว่าทำไม ก่อนหน้านี้เคยเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพูดในเวทีเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม แต่ปีต่อมากลับไม่มีการเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพูดอีกเลย เป็นเพราะเขาประเมินแล้วว่าพูดไม่ดีหรือไม่น่าสนใจ  ทำไมรัฐบาลไม่ชี้แจงเรื่องนี้บ้าง
 นายสุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า รัฐบาลรายงานเขียนผลเล่มใหญ่มาก หากเป็นตนเองจะเขียนแค่ 5 บรรทัด คือ เที่ยวต่างประเทศ โกหก ล้มเหลว ไม่มีผลงาน ทุจริต  
ในช่วงค่ำ การอภิปรายของฝ่ายค้านยังคงมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องปากท้องและค่าครองชีพที่ล้มเหลวของรัฐบาล ต่างจากนโยบายหาเสียงที่เคยระบุไว้
ขณะเดียวกัน ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ตัวแทนกลุ่มกองทัพนิรนาม ได้เดินทางเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มประชาชนรักษาผลประโยชน์ของชาติเพื่อต่อต้านรัฐบาล ก่อนจะขอเข้าร่วมฟังการแถลงผลงานกับผู้ชุมนุมอีกกว่า 20 คน โดยมี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้รับรอง แต่กว่าจะเข้าสู่อาคารรัฐสภาได้ก็มีความพยายามจากทีม รปภ.ของนายกฯ ที่เจรจากับตำรวจรัฐสภา รวมทั้งล็อบบี้ไม่ให้เข้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ทำให้ทีม รปภ.นายกฯ เฝ้าจับตากลุ่มผู้กองปูเค็มตลอดเวลา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น