วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

“แม้ว” หน้ามืดสั่งลิ่วล้อชนศาล รธน.เสี่ยงจลาจลอีกรอบ!! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 เมษายน 2556 07:01 น.

“แม้ว” หน้ามืดสั่งลิ่วล้อชนศาล รธน.เสี่ยงจลาจลอีกรอบ!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์23 เมษายน 2556 07:01 น.


ผ่าประเด็นร้อน 
       
       เป็นเพราะความปราถนา ความอยากส่วนตัวเป็นแรงผลักดันแท้ๆ ที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องสั่งลุยเร่งผลักดัน“งานใหญ่”เข้ามาพร้อมๆกัน แม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม แต่อาจเป็นเพราะเห็นว่าถึงอย่างไรตัวเองมีมวลชนคนเสื้อแดงอยู่ข้างหลังมากพอ และยังเป็นมวลชนที่ตกผลึกแล้ว มีความเชื่อแบบฝังหัวไปแล้วว่าไม่ว่าเขาจะพูดหรือสั่งแบบไหนคนพวกนี้ก็ไม่เคยขัด แม้ว่าจะหลอกต้มให้คนพวกนี้ไปเจ็บไปตายแทนมาสักกี่หนก็ไม่เป็นไร เพราะคนพวกนี้เขาเชื่อแล้วว่า ทักษิณ เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นมหาเศรษฐีที่มีใจเมตตากับคนจน ซึ่งรวมไปถึงคนในครอบครัวทุกคนด้วยว่าเป็นคนจิตใจดีงาม ต้องทุ่มเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือ และยังเห็นว่าที่ผ่านมาทักษิณ ถูกพวกอำมาตย์กลั่นแกล้ง หรือริษยา จึงต้องตกระกำลำบากอย่างทุกวันนี้
       
       เมื่อสภาพเป็นอย่างที่เห็นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างเขาจะกล้าเสี่ยง กล้าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายกล้าแม้กระทั่งย่ำยีศาลในพระนามาภิไธย เพราะเขามั่นใจในมวลชนคนเสื้อแดง มีอำนาจรัฐในมือที่ถือผ่านรัฐบาล “หุ่นเชิด”ที่เป็นน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่งเสริมให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และทำได้ถึงขนาดตั้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเพิ่งบำเหน็จรางวัลให้นั่งควบรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง ใครจะทำไม
       
       คนอย่างทักษิณ ไม่เคยแคร์ความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม ที่มีการแต่งตั้งให้พวกลิ่วล้อ ที่เป็นพวกแกนนำเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อมาเป็นรัฐมนตรีรวมไปถึงคนอื่นๆ ได้ตำแหน่งทางการเมืองกันทิวแถว ทั้งเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจชั้นนำ มากมายโดยใช้เงินหลวงมาเลี้ยงดู
       
       ขณะที่บรรยากาศในวงการราชการสมัยนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน โดยเฉพาะวงการตำรวจแทบจะอยู่ในกำมือ ดังนั้นเราอย่าได้แปลกใจที่ต่างมีกาาแย่งกันเสนอหน้ารับใช้ ทักษิณ และคนในครอบครัว และประเภท “มีวันนี้เพราะพี่ให้” นั้นไม่ใช่มีแต่ในตำรวจนครบาลเท่าน้น แต่มีอยู่ทั่วประเทศ
       
       นั่นเป็นรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสังคมรับรู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีเจตนามาตอกย้ำให้เห็นว่าทุกอย่างอยู่ในมือของเขาหมดแล้วทั้งรัฐบาล รัฐสภา และวงการราชการ ดังนั้นในสิ่งที่เหลือที่ยังไม่อาจครอบงำได้ทั้งหมดก็ต้องเปิดเกมรุกเข้าไปคุกคาม ใช้วิธีออกกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมายใหม่เพื่อทำลาย ดิสเครดิต และแน่นอนว่าในจำนวนนั้นต้องมีองค์กรอิสระ ศาล เป็นเป้าหมายหลัก เนื่องจากยังสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้
       
       ความเคลื่อนไหวที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ การเปิดไฟเขียวกันเต็มที่รุกเข้ามาพร้อมกันทุกทาง เพื่อกำจัดขวากหนามความต้องการของตัวเองออกไปให้พ้นทางให้ได้ และด้วยความเชื่อว่าฝ่ายตรงข้าม “ไม่มีน้ำยา” พอที่จะขัดขวาง โดยเฉพาะหากมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เวลานี้เปลี่ยนทางมาเป็นเสนอแบบรายมาตรา แต่ก็มีเป้าหมายไม่ได้ต่างกันนั่นคือต้องการ “รวบอำนาจและตัดอำนาจของภาคประชาชน” เป็นบันใดขั้นแรกก่อนที่จะมีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับตามใจชอบ ไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญทักษิณในอนาคต
       
       ขณะเดียวกัน ยังมีเป้าหมายหลักอีกอย่างหนึ่งที่ต้องเร่งดำเนินการนั่นการเสนอร่างพระราชบัญญัตตินิรโทษและพระราชบัญญัติปรองดอง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการลบล้างความผิดให้กับตัวเอง แต่ในเบื้องต้นเพื่อลดกระแสต่อต้านและลดความน่าเกลียดก็ “ตบตา” แค่ว่าลบล้างเฉพาะพวกระดับชางบ้านล่างๆก่อน แต่ในอนาคตในขั้นแปรญัตติก็สามารถแก้ไขไปทางไหนก็ได้เพราะใช้แค่เสียงข้างมากในสภาทำได้อยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญญา
       
       อย่างไรก็ดี ปัญหามันไม่ได้อยู่ในสภา แต่มันอยู่ข้างนอก เพราะยิ่งทักษิณ “อยากกลับบ้าน” แบบเอาเปรียบคนอื่น เอาแต่ได้ทำผิด มีคดีทุจริตติดตัวก็ไม่มีความผิด เคยด่าศาลย่ำยีศาล เคยจาบจ้วงให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ก็สามารถเว้นโทษได้ รวมไปถึงคนอื่นๆที่จาวบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวถูกศาลตัดสินจำคุก แต่ไม่เคยสำนึกก็จะหลุดออกมา นั่นแหละคือปัญหาสร้างความไม่พอใจ และเกิดความอึดอัดกับชาวบ้านมากขึ้นทุกวัน ที่มองเห็นว่าคนพวกนี้มันเอาเปรียบ เล่นพรรคเล่นพวก ไม่เคยเห็นหัวคนอื่น มันก็ถึงจุดระเบิดได้ทุกเวลา
       
       แม้ว่าในเวลานี้ความเคลื่อนไหวในลักษณะดื้อแพ่งของบรรดา ส.ส.และส.ว.จำนวนกว่า สามร้อยคนที่ลงมติในวาระแรกรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนญรายมาตรา ที่เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 68 ที่ตัดอำนาจภาคประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องเอาไว้แล้วและให้บรรดาสมาชิกสภาดังกล่าวส่งเอกสารมาชี้แจงเหตุผลภายใน 15 วัน แต่พวกเขาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่าก้าวก่ายสภา ที่มาจากการเลือกตั้ง
       
       ปมปัญหาดังกล่าวอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้เหมือนกัน แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นก็คือนี่คือการสะสมแต้มความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปที่มองเห็นว่า ทักษิณ และพวกเอาแต่ได้ เอาเปรียบสังคม “ได้คืบเอาศอก” เห็นว่าที่ผ่านมามีหลายเรื่องแต่เมื่อทำไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น จึงเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทั้งเรื่องใหญ่หลักๆ ที่เห็นไม่ว่าจะเห็นเสนอกฎหมายนิรโทษฯ แก้รัฐธรรมนูญรวบอำนาจ มันจะทำให้ถึงจุดระเบิดขึ้นมาอีกรอบ และคราวนี้อาจหนักหนาสาหัสถึงขั้นจลาจลอีกรอบก็เป็นได้!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น