|
นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ |
2 เม.ย.56 นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่ผ่านมามีเสียงตอบโต้จากทางรัฐบาลทำให้เกิดความเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญมาตราอะไรพรรคประชาธิปัตย์จะต้องคัดค้านทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการแก้ทั้งฉบับ หรือรายมาตรา จึงขอเรียนว่า
เรื่องดังกล่าวไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่ายังมีหลายมาตราควรแก้ไข และในวันที่ตนเองเป็นรัฐบาลก็แก้มาแล้วใน 2 เรื่องคือ 190 และการแก้ไขระบบการเลือกตั้งทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ ดังนั้นที่บอกว่าค้านทุกเรื่องจึงไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้มองว่า ในการแก้รัฐธรรมนูญต้องใช้หลัก 3 ป.คือ 1.ปฏิรูป ถ้ามีแนวความคิดที่จะทำให้ระบบการเมืองตอบสนองดีขึ้นก็สมควรทำ 2.ปรองดอง 3.ประชาธิปไตย กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ ดังนั้นการแก้ที่ดีที่สุดคือทุกฝ่ายเห็นพ้อง เพราะเป็นกติกาที่ต้องใช้ในวันที่เราถอดสถานะนั้นๆ เช่นการเป็น ส.ส.หรือนักการเมืองออก
นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ร่างแก้ไขทั้ง 3 ร่างนั้นไม่เข้า 3 หลักการตามที่ได้กล่าวมาแล้ว กระบวนการประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยหลายส่วน ทั้งนี้ในมาตรา190 นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่และปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันกันในเวทีโลก และการล่าอณานิคมก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่เห็นว่าการแก้มาตรานี้จะทำให้การดำเนินนโยบายไม่ได้มีการตรวจสอบจากประชาชนเท่าที่ควรจน ทำให้คนที่ถืออำนาจรัฐเอื้อธุรกิจของตนเอง และสร้างความเดือดร้อนคนในประเทศ
ส่วนที่บอกว่า หากมีการเสนอกรอบการเจรจาเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาก่อนนั้น ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ เพราะมีการแบไต๋ในเรื่องที่เป็นความลับนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะกรอบที่เสนอมา ก็เสนออย่างกว้างๆ ถ้ากังวลในเรื่องความลับเช่นนั้นเรื่องเขตแดนน่าจะละเอียดอ่อนกว่า นอกจากนี้ในมาตรา 190 วรรค 5 รัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้มีการแก้ไขไปเรีบยบร้อยโดยระบุว่า “ให้มีกฎหมายว่า ด้วยกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างกว้างขวาง” ซึ่งรัฐบาลไม่ได้เสนอเรื่องนี้เข้ามา และเป็นข้ออ้างในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจฝ่ายบัญญัติ จึงไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 190 เพราะสามารถเสนอกฎหมายเข้ามาตามวรรค 5 อยู่แล้ว
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น