วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

พลัง 3 ฝ่าย โหมไฟการเมือง กระชับพื้นที่ ‘รัฐบาลปู’ เมื่อ 23 ม.ค.56



พลัง 3 ฝ่าย โหมไฟการเมือง กระชับพื้นที่รัฐบาลปู
          สถานการณ์การเมืองศักราชใหม่ ยังอยู่ที่การเคลื่อนไหวอันเข้มข้นโดยคณะบุคคล 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังดูไร้รูปมวยการเมืองชั้นเทพ เอาแต่ออกอาการ มวยวัดพยายามก่อกระแสป่วนรัฐบาลอยู่โดยตลอด เพราะมีความคิดอัน แปลกแยกกับรัฐบาล และค้านไปแทบทุกเรื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เหนืออื่นใดได้มีความพยายามยึดโยงความขัดแย้งไปเข้ากับศัตรูทางการเมือง โดยพยายามยกหาเหตุผลที่จะทำให้ฝ่ายตัวเองมีความชอบธรรมและทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ถูกมองว่าเลวร้าย
          ขณะที่อีกฝ่ายเป็นการเคลื่อนไหวในบริบทของ สนธิ ลิ้มทองกุลแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่พยายามก่อหวอด ชาตินิยมปลุกพลังทวงคืนสมบัติชาติ เพื่อหวังดึง กองทัพเข้าเป็นพวก และฝ่ายสุดท้ายเป็นจตุพร พรหมพันธ์แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เริ่มเคลื่อนไหวปลดปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก ด้วยการกดดันให้รัฐบาลออก กฎหมายนิรโทษกรรม
          พลังทั้ง 3 ฝ่ายนี้ ได้เคลื่อนไหวล้อมกรอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทยอย่างหนัก ดังนั้นรัฐบาลจึงได้แต่ประคองตัว รักษาอำนาจ การเมืองไว้ให้นานเท่าที่แรงอึดมีเพียงพอต่อการค้ำยัน แต่ก็นับเป็นโชคดีของรัฐบาลที่ พลังทั้ง 3 ฝ่ายล้วนมีความขัดแย้งทางการเมืองกันและกัน จึงไร้ซึ่งโอกาส สร้างแนวร่วม หรือรวมกันให้เป็นเอกภาพ ซึ่งแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะวิถีของ อภิสิทธิ์คือต้องการฟื้นศรัทธาทางการเมืองและรักษาสถานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ไว้ ไม่ให้ตัวเลือกอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น ดร.ซุป-ศุภชัย พานิชภักดิ์เลขาธิการ UNCTAD หรือแม้แต่ สุรินทร์ พิศสุวรรณที่ก้าวลงจากเก้าอี้เลขาธิการอาเซียนได้เบียดแทรกเข้ามายึดกุมอำนาจ ในพรรคประชาธิปัตย์ได้
          ขณะเดียวกัน สนธิก็ได้ตัดขาดการทำแนวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่มีเยื่อใยเหลืออีก แต่ก็ยังต้องการให้ ชนชั้นสูงและ กองทัพเห็นความสำคัญเพื่อเป็น ดุลอำนาจต่อรองข้อหาทางการเมืองที่เผชิญอยู่อย่างหนักหน่วง ส่วนประเด็นการเคลื่อนไหวของจตุพรยังอยู่ที่เรียกร้องกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งฝ่าย สนธิและอภิสิทธิ์”...ไม่เอาด้วย!!! ถึงกระนั้น พลังจาก 3 ฝ่ายต่างมีอารมณ์เดือดปุด ต่อการเปลี่ยนแปลง แนวทางของชนชั้นนำและกองทัพดุจเดียวกัน โดยเฉพาะอารมณ์ของ สนธิกับ จตุพรคล้ายคลึงกันอย่างมากในด้าน ความแค้นเป็นอารมณ์แค้นที่เดือดพล่านเมื่อถูกชนชั้นนำลอยแพ โดดเดี่ยวให้ผจญกับข้อหาทางการเมืองเพียงลำพัง แต่ชน ชั้นนำกลับพยายามสร้างมิตรภาพ กอดคอสงบศึกตามเสียงเตือนสติของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ต้องการให้สังคมไร้การแตก แยก แต่แตกต่างทางความคิดได้ รหัสการเตือนสติของ ป๋าเปรมถูกขานรับจากกองทัพ และในงาน วันกองทัพไทย” 21 มกราคมนี้ ภาพความสมานสามัคคีระดับสูงทางการเมืองกับชน ชั้นนำในสังคมไทยจึงได้เกิดขึ้น เสียดแทงใจกลุ่มพลัง 3 ใยให้เจ็บลึกเข้าไปอีก
          อย่างน้อย สนธิต้องเจ็บแค้น และ จตุพรย่อมเจ็บปวดไม่แตกต่างกันนัก ด้วยเหตุนี้ อารมณ์เดือดพล่านจึงถูกระบายออกไปตามปัจจัยการเมืองให้เคลื่อนไหว ราวกับอารมณ์ภายในก่อหวอด เจ็บแค้นจนสุดจะทนทาน สนธิใช้กรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารมาเคลื่อนไหว ทวงคืนสมบัติชาติและเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลยอมรับอำนาจของศาลโลกที่จะชี้ขาดการตีความ คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยอ้างถึงการที่ไทยไม่ได้เป็น ภาคีศาลโลกมานานกว่า 50 ปี จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่ง จตุพรเดินงานมวลชนอย่างหนักเพื่อต้องปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก การเคลื่อนไหวของสนธิ-จตุพรมีประเด็น ขัดแย้งกันในเนื้อหาและวิธีการ แต่ดำรงเป้าหมายเดียวกันอย่างน่าทึ่งเป็นเป้าหมายที่นายสนธิต้องการสะท้อนความไม่พอใจต่อกองทัพและชนชั้นสูง ส่วน จตุพรกลับก่อหวอดอารมณ์ไปเล่นงานรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในกรณีมวลชนเสื้อแดงติดคุกไร้อนาคตอิสรภาพ
          ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ สนธิและ จตุพรจะออกอาการโวยวายทาง การเมือง เพียงเพื่อเรียกร้องความสำคัญ และให้ชนชั้นนำได้เห็นใจ?!! หากไม่เป็นไปตามต้องการ พวกเขา จึงวิจารณ์เชิงทำลายให้หนัก สนธิวิจารณ์กองทัพกรณีแสดงท่าทียืนข้างรัฐบาลในกรณีเขาพระวิหาร เพราะกองทัพคือ อาวุธสำคัญของเขาใน การเผด็จศึกการเมือง และพลิกฟื้นพลังอำนาจมวลชนกลับมาอีกครั้ง
          เมื่อทหารยกกำลังตบเท้าไปข่มขู่นายสนธิถึงบ้านพระอาทิตย์สองวันติด จึงดำเนินไปเพื่อปกป้อง นายไม่ให้เสียหาย ขณะเดียวกัน สนธิย่อมไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับพอใจอยู่ลึกๆ ว่า เขาและกลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีความสำคัญอยู่ แม้เป็นความสำคัญในลักษณะสร้างอารมณ์เดือดให้กองทัพก็ตาม แต่การทหารตบเท้าเท่ากับทำให้สังคมการเมืองต้องกระเพื่อมไปด้วย ทำให้รู้ว่าอารมณ์ของทหารยัง ไม่ได้พัฒนา..ไปสู่ระดับทหารประชาธิปไตย แต่ยังเป็นทหารผู้ทรงอำนาจในสังคมแตะต้องไม่ได้ดุจ เดิม เพียงแค่นี้ สนธิคงแอบยิ้มอย่างเป็นสุขแล้ว เมื่อรู้ว่า คนเสียงดัง โวยวายเก่งยังมีความหมายในสังคมไทยอยู่
          ทางด้าน จตุพรเริ่มเตือนสติรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเอามวลชน เสื้อแดงมาต่อรอง เพราะรัฐบาลคืออำนาจในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ปลดปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก โดยชี้ว่าทุกคนคือ เหยื่อสถานการณ์ของภาคการเมือง ที่ไม่ได้มีส่วนได้-เสียกับความขัดแย้งของคนในระดับบน ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ก็ควรจะมีการปล่อยตัวออกมาสู่อิสรภาพกันเสียที
          “อีกไม่กี่เดือนจะครบรอบ 3 ปีของแนวร่วมที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งจะเป็น การคุมขังนักโทษการเมืองที่ยาวนานที่สุดของประเทศ การเสนอ พ.ร.ก. นิรโทษกรรม ไม่ใช่ทำเพื่อ นปช.เท่านั้น แต่ทำเพื่อประชาชน...
          สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว การตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเสียงโวยวาย จากกลุ่มพลัง 3 ฝ่ายย่อมเกิดอาการแตก ตื่น ตามประสานักธุรกิจเล่นการเมือง การมีพลังทางอำนาจบริหารและคุมสภาไว้ได้ ไม่เพียงพอต่อการประคองตัวรอด เมื่อมีแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต่อสายสร้างความสามัคคีในชาติ ดึง กองทัพและ ชนชั้นสูงมาเป็นพวกสนับสนุน เมื่อ จตุพรเริ่มไม่พอใจรัฐบาลและไม่เอาชนชั้นสูง เมื่อ สนธิไม่พอใจชนชั้นสูงและกองทัพ ด้วยเหตุนี้ช่องว่างทางอำนาจจึงเกิดขึ้น และทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์แทรกเข้าไปสร้างมิตรภาพเพื่อนำพาสังคมไม่ให้เกิดความแตกแยก จุดเริ่มจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในงานวันกองทัพไทย ภาพ ป๋าเปรมกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะก่อหวอดพลังแค้นเคืองต่อกลุ่มพลังทั้ง 3 หนักเข้าไปอีก!!
          ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อต้องการสังคมสงบสุข ความบาดหมางกับพรรคภูมิใจไทยคงต้องลดหายลงไป แล้วสร้างมิตรภาพขึ้นมาใหม่ และมีแนวโน้มว่าการเจรจาประสานพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในอนาคตอันใกล้ เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่คงไม่เห็นภาพ เนวิน ชิดชอบสวมกอดเป็นมิตรทาง การเมืองกับ ยิ่งลักษณ์เป็นแน่ แต่จะเป็นภาพใบหน้ายิ้มระรื่นของ เสี่ยหนูอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่เดินงานสร้างมิตรภาพเชื่อมต่อกัน จนเป็นรูปร่างความสุขทางการเมือง...!!! อย่าได้ตกใจอาการแปลกๆ ทางการ เมืองขณะนี้ เพราะสิ่งที่เห็นล้วนเป็นเพียงการ เรียกร้องความสนใจจากฝ่ายที่ แค้นเคืองเท่านั้น ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นช็อตที่ต่อเนื่องในทางการเมือง โดย พลังทั้ง 3 ฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหว แม้จะมี เนื้อ หาและ วิธีการที่แตกต่างกัน แต่ที่ สุดแล้ว ตำบลกระสุนตกย่อมเป็น รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้?!!--จบ--
          --สยามธุรกิจฉบับวันที่ 23 - 25 ม.ค. 2556--

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น