พลัง 3 ฝ่าย โหมไฟการเมือง กระชับพื้นที่ ‘รัฐบาลปู’
|
สถานการณ์การเมืองศักราชใหม่ ยังอยู่ที่การเคลื่อนไหวอันเข้มข้นโดยคณะบุคคล 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังดูไร้รูปมวยการเมืองชั้นเทพ เอาแต่ออกอาการ “มวยวัด” พยายามก่อกระแส “ป่วนรัฐบาล” อยู่โดยตลอด เพราะมีความคิดอัน “แปลกแยก” กับรัฐบาล และค้านไปแทบทุกเรื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เหนืออื่นใดได้มีความพยายามยึดโยง “ความขัดแย้ง” ไปเข้ากับศัตรูทางการเมือง โดยพยายามยกหาเหตุผลที่จะทำให้ฝ่ายตัวเอง “มีความชอบธรรม” และทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ถูกมองว่าเลวร้าย
ขณะที่อีกฝ่ายเป็นการเคลื่อนไหวในบริบทของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่พยายามก่อหวอด “ชาตินิยม” ปลุกพลังทวงคืนสมบัติชาติ เพื่อหวังดึง “กองทัพ” เข้าเป็นพวก และฝ่ายสุดท้ายเป็น “จตุพร พรหมพันธ์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เริ่มเคลื่อนไหวปลดปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก ด้วยการกดดันให้รัฐบาลออก กฎหมายนิรโทษกรรม พลังทั้ง 3 ฝ่ายนี้ ได้เคลื่อนไหวล้อมกรอบรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทยอย่างหนัก ดังนั้นรัฐบาลจึงได้แต่ประคองตัว รักษาอำนาจ การเมืองไว้ให้นานเท่าที่แรงอึดมีเพียงพอต่อการค้ำยัน แต่ก็นับเป็นโชคดีของรัฐบาลที่ “พลัง” ทั้ง 3 ฝ่ายล้วนมีความขัดแย้งทางการเมืองกันและกัน จึงไร้ซึ่งโอกาส สร้างแนวร่วม หรือรวมกันให้เป็นเอกภาพ ซึ่งแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะวิถีของ “อภิสิทธิ์” คือต้องการฟื้นศรัทธาทางการเมืองและรักษาสถานะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ไว้ ไม่ให้ตัวเลือกอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น “ดร.ซุป-ศุภชัย พานิชภักดิ์” เลขาธิการ UNCTAD หรือแม้แต่ “สุรินทร์ พิศสุวรรณ” ที่ก้าวลงจากเก้าอี้เลขาธิการอาเซียนได้เบียดแทรกเข้ามายึดกุมอำนาจ ในพรรคประชาธิปัตย์ได้ ขณะเดียวกัน “สนธิ” ก็ได้ตัดขาดการทำแนวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่มีเยื่อใยเหลืออีก แต่ก็ยังต้องการให้ “ชนชั้นสูง” และ “กองทัพ” เห็นความสำคัญเพื่อเป็น “ดุลอำนาจ” ต่อรองข้อหาทางการเมืองที่เผชิญอยู่อย่างหนักหน่วง ส่วนประเด็นการเคลื่อนไหวของ “จตุพร” ยังอยู่ที่เรียกร้องกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งฝ่าย “สนธิ” และ “อภิสิทธิ์”...ไม่เอาด้วย!!! ถึงกระนั้น พลังจาก 3 ฝ่ายต่างมีอารมณ์เดือดปุด ต่อการเปลี่ยนแปลง แนวทางของชนชั้นนำและกองทัพดุจเดียวกัน โดยเฉพาะอารมณ์ของ “สนธิ” กับ “จตุพร” คล้ายคลึงกันอย่างมากในด้าน “ความแค้น” เป็นอารมณ์แค้นที่เดือดพล่านเมื่อถูกชนชั้นนำลอยแพ โดดเดี่ยวให้ผจญกับข้อหาทางการเมืองเพียงลำพัง แต่ชน ชั้นนำกลับพยายามสร้างมิตรภาพ กอดคอสงบศึกตามเสียงเตือนสติของ “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ต้องการให้สังคมไร้การแตก แยก แต่แตกต่างทางความคิดได้ รหัสการเตือนสติของ “ป๋าเปรม” ถูกขานรับจากกองทัพ และในงาน “วันกองทัพไทย” 21 มกราคมนี้ ภาพความสมานสามัคคีระดับสูงทางการเมืองกับชน ชั้นนำในสังคมไทยจึงได้เกิดขึ้น เสียดแทงใจกลุ่มพลัง 3 ใยให้เจ็บลึกเข้าไปอีก อย่างน้อย “สนธิ” ต้องเจ็บแค้น และ “จตุพร” ย่อมเจ็บปวดไม่แตกต่างกันนัก ด้วยเหตุนี้ อารมณ์เดือดพล่านจึงถูกระบายออกไปตามปัจจัยการเมืองให้เคลื่อนไหว ราวกับอารมณ์ภายในก่อหวอด “เจ็บแค้น” จนสุดจะทนทาน “สนธิ” ใช้กรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารมาเคลื่อนไหว “ทวงคืนสมบัติชาติ” และเรียกร้องไม่ให้ “รัฐบาล” ยอมรับอำนาจของศาลโลกที่จะชี้ขาดการตีความ คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยอ้างถึงการที่ไทยไม่ได้เป็น “ภาคีศาลโลก” มานานกว่า 50 ปี จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่ง “จตุพร” เดินงานมวลชนอย่างหนักเพื่อต้องปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก การเคลื่อนไหวของ “สนธิ-จตุพร” มีประเด็น “ขัดแย้ง” กันในเนื้อหาและวิธีการ แต่ดำรงเป้าหมายเดียวกันอย่างน่าทึ่งเป็นเป้าหมายที่นายสนธิต้องการสะท้อนความไม่พอใจต่อกองทัพและชนชั้นสูง ส่วน “จตุพร” กลับก่อหวอดอารมณ์ไปเล่นงานรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในกรณีมวลชนเสื้อแดงติดคุกไร้อนาคตอิสรภาพ ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ “สนธิ” และ “จตุพร” จะออกอาการโวยวายทาง การเมือง เพียงเพื่อเรียกร้องความสำคัญ และให้ชนชั้นนำได้เห็นใจ?!! หากไม่เป็นไปตามต้องการ พวกเขา จึงวิจารณ์เชิงทำลายให้หนัก “สนธิ” วิจารณ์กองทัพกรณีแสดงท่าทียืนข้างรัฐบาลในกรณีเขาพระวิหาร เพราะกองทัพคือ อาวุธสำคัญของเขาใน การเผด็จศึกการเมือง และพลิกฟื้นพลังอำนาจมวลชนกลับมาอีกครั้ง เมื่อทหารยกกำลังตบเท้าไปข่มขู่นายสนธิถึงบ้านพระอาทิตย์สองวันติด จึงดำเนินไปเพื่อปกป้อง “นาย” ไม่ให้เสียหาย ขณะเดียวกัน “สนธิ” ย่อมไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับพอใจอยู่ลึกๆ ว่า เขาและกลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีความสำคัญอยู่ แม้เป็นความสำคัญในลักษณะสร้างอารมณ์เดือดให้กองทัพก็ตาม แต่การทหารตบเท้าเท่ากับทำให้สังคมการเมืองต้องกระเพื่อมไปด้วย ทำให้รู้ว่าอารมณ์ของทหารยัง “ไม่ได้พัฒนา..” ไปสู่ระดับทหารประชาธิปไตย แต่ยังเป็นทหารผู้ทรงอำนาจในสังคมแตะต้องไม่ได้ดุจ เดิม เพียงแค่นี้ “สนธิ” คงแอบยิ้มอย่างเป็นสุขแล้ว เมื่อรู้ว่า “คนเสียงดัง โวยวายเก่ง” ยังมีความหมายในสังคมไทยอยู่ ทางด้าน “จตุพร” เริ่มเตือนสติรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเอามวลชน เสื้อแดงมาต่อรอง เพราะรัฐบาลคืออำนาจในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ปลดปล่อยนักโทษการเมืองออกจากคุก โดยชี้ว่าทุกคนคือ “เหยื่อสถานการณ์” ของภาคการเมือง ที่ไม่ได้มีส่วนได้-เสียกับความขัดแย้งของคนในระดับบน ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ก็ควรจะมีการปล่อยตัวออกมาสู่อิสรภาพกันเสียที “อีกไม่กี่เดือนจะครบรอบ 3 ปีของแนวร่วมที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งจะเป็น การคุมขังนักโทษการเมืองที่ยาวนานที่สุดของประเทศ การเสนอ พ.ร.ก. นิรโทษกรรม ไม่ใช่ทำเพื่อ นปช.เท่านั้น แต่ทำเพื่อประชาชน...” สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว การตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเสียงโวยวาย จากกลุ่มพลัง 3 ฝ่ายย่อมเกิดอาการแตก ตื่น ตามประสานักธุรกิจเล่นการเมือง การมีพลังทางอำนาจบริหารและคุมสภาไว้ได้ ไม่เพียงพอต่อการประคองตัวรอด เมื่อมีแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จึงต่อสายสร้างความสามัคคีในชาติ ดึง “กองทัพ” และ “ชนชั้นสูง” มาเป็นพวกสนับสนุน เมื่อ “จตุพร” เริ่มไม่พอใจรัฐบาลและไม่เอาชนชั้นสูง เมื่อ “สนธิ” ไม่พอใจชนชั้นสูงและกองทัพ ด้วยเหตุนี้ช่องว่างทางอำนาจจึงเกิดขึ้น และทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” แทรกเข้าไปสร้างมิตรภาพเพื่อนำพาสังคมไม่ให้เกิดความแตกแยก จุดเริ่มจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในงานวันกองทัพไทย ภาพ “ป๋าเปรม” กับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะก่อหวอดพลังแค้นเคืองต่อกลุ่มพลังทั้ง 3 หนักเข้าไปอีก!! ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อต้องการสังคมสงบสุข ความบาดหมางกับพรรคภูมิใจไทยคงต้องลดหายลงไป แล้วสร้างมิตรภาพขึ้นมาใหม่ และมีแนวโน้มว่าการเจรจาประสานพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วม “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในอนาคตอันใกล้ เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่คงไม่เห็นภาพ “เนวิน ชิดชอบ” สวมกอดเป็นมิตรทาง การเมืองกับ “ยิ่งลักษณ์” เป็นแน่ แต่จะเป็นภาพใบหน้ายิ้มระรื่นของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่เดินงานสร้างมิตรภาพเชื่อมต่อกัน จนเป็นรูปร่างความสุขทางการเมือง...!!! อย่าได้ตกใจอาการแปลกๆ ทางการ เมืองขณะนี้ เพราะสิ่งที่เห็นล้วนเป็นเพียงการ “เรียกร้องความสนใจ” จากฝ่ายที่ “แค้นเคือง” เท่านั้น ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นช็อตที่ต่อเนื่องในทางการเมือง โดย “พลัง” ทั้ง 3 ฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหว แม้จะมี “เนื้อ หา” และ “วิธีการ” ที่แตกต่างกัน แต่ที่ สุดแล้ว “ตำบลกระสุนตก” ย่อมเป็น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” อย่างเลี่ยงไม่ได้?!!--จบ--
--สยามธุรกิจฉบับวันที่ 23 - 25 ม.ค. 2556--
|
วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556
พลัง 3 ฝ่าย โหมไฟการเมือง กระชับพื้นที่ ‘รัฐบาลปู’ เมื่อ 23 ม.ค.56
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น