วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

สรุปข่าวที่สำคัญวันที่ 30 ม.ค.56




ชาวโรฮิงญา ขึ้นฝั่งพังงาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเจ้าหน้าที่นำเข้าฝั่ง 110 คน มีทารกอายุ 8 วันด้วย1คน
http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adlog.php?bannerid=695&clientid=438&zoneid=119&source=&block=0&capping=0&cb=5f46bd7effa78990e86da783ee1e5ffdเมื่อ 30 ม.ค.56
นายมานิต เพียรทอง นายอำเภอคุระบุรี พร้อมด้วย ร.ต.ท.นิพนธ์ พลอยขาว ผู้บังคับหมวด กองร้อย ตชด.425 ตะกั่วป่า และเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำพังงา จำนวน 20 นาย เดินทางไปรับตัวชาวโรฮิงญาที่เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ที่หมู่เกาะสุรินทร์ มีจำนวน 110 คน เป็นผู้ชาย 69 คน หญิง 20 คนเด็กชาย 16 คน เด็กหญิง 5 คน พบหญิงมีครรภ์ 2 คน ผู้ป่วยจำนวน 11 คน
ทั้งหมดได้หลบหนีขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหมู่เกาะสุรินทร์ อ.คุระบุรี จากนั้นชาวโรฮิงญา ทั้งหมดได้หนีไปขึ้นบนเกาะสุรินทร์ โดยไม่มีเรือแม้แต่ลำเดียว ซึ่งสร้างความสงสัยให้แก่เจ้าหน้าที่ชุดที่มารับตัวไว้ คาดว่าอาจจะมีกลุ่มหวังผลประโยชน์ที่เป็นนายหน้าลักลอบนำชาวโรฮิงญาทั้งหมดมาปล่อยขึ้นฝั่งบนเกาะสุรินทร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใน อำเภอคุระบุรี เข้าไปรับตัวมาดูแลอย่างดีเหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา เมื่อเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาเทียบท่าเรือที่ทำการหมู่เกาะสุรินทร์ ชายฝั่งอำเภอคุระบุรี ได้มีประชาชนชาวมุสลิม จำนวนมากนำอาหารน้ำดื่ม มาแจกให้
ทั้งนี้ ได้พบเห็นภาพ ของ หญิงสาวชาวโรฮิงญา อายุ 25 ปี อุ้มทารกวัย 8 วัน อยู่ในอ้อมอกเดินขึ้นจากเรือโซชัด โซเซ เจ้าหน้าที่ช่วยประคองร่างขึ้นรถทันที โดยเพื่อนที่มาด้วยกันเปิดเผยผ่านล่ามว่า ผู้หญิงคนนี้ได้ออกเดินทางมากับเรือขณะท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที และเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา เธอได้ปวดท้อง เพื่อนๆช่วยกันทำคลอดบนเรือและได้ทำการรักษาตามประสาคน พเนจร จนลูกเริ่มป่วยเป็นแผลตามร่างกาย
จากนั้นแพทย์ รพ.คุระบุรีชัยพัฒน์ ตรวจเช็คร่างกายเบื้องต้น รีบนำตัวเข้ารักษาใน รพ.โดยด่วนทันที และจะได้นำตัวไปอาบน้ำจืด เนื่องจากที่ผ่านมาหลังคลอดไม่ได้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเลย จากนั้นเจ้าหน้าตำรวจสภ.คุระบุรี ก็รับตัวชาวโรฮิงญาทั้งหมดไปทำประวัติ พร้อมควบคุมตัวไว้และจะส่งตัวไปยัง ที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้(31 มกราคม 2555)
สุรพงษ์แจงกมธ.มั่นคงแห่งรัฐสู้เต็มที่คดีพระวิหาร
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 18:00:56 น.
เมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาศึกษากรณีศาลอาญาระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะมีการพิจารณาคำร้องของกัมพูชาเกี่ยวกับข้อพิพาทบริเวณปราสาทพระวิหารในเดือนเมษายน 2556 โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเอง
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ทีมกฎหมายของไทยได้เตรียมเนื้อหาในการสู้คดีไว้พร้อมแล้ว แต่บางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้เพราะอาจกระทบกับรูปคดี โดยทีมทนายความแบ่งออกเป็น 3 ทีม และมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปรึกษาด้านข้อกฎหมาย ทำหน้าที่กำกับดูแลอีกครั้ง นอกจากนี้ นายพงศ์เทพจะพาทีมกฎหมายและสื่อมวลชนเดินทางไปพูดคุยกับทีมกฎหมายต่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ส่วนรายละเอียดและขั้นตอนการต่อสู้ทางคดีนั้นต้องรอให้ศาลอนุญาตก่อนจึงจะสามารถนำมาเปิดเผยได้ กรณีที่ตนเคยออกมาระบุว่าประเทศไทยจะมีแต่เจ๊ากับเจ๊งนั้น ตนเป็นคนพูดตรงก็วิเคราะห์ไปตามข้อกฎหมายใน 4 แนวทางคือ 1.ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง 2.ศาลมีคำสั่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 3.ศาลตัดสินตามที่กัมพูชาร้องขอ และ 4.ประเทศไทยอาจสูญเสียดินแดนบางส่วนไป ส่วนตัวยอมรับว่าปากไวไปหน่อย แต่ยืนยันว่าประเทศไทยจะสู้อย่างเต็มที่เพราะรู้ดีว่าคนไทยรักและหวงแหนทรัพย์สมบัติที่เป็นของประเทศไทย


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยัน กระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วงกัมพูชา กรณีละเมิด MOU 43 แล้ว
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการประท้วงทางกัมพูชา ที่ละเมิด MOU 43 โดยมีการปล่อยให้สร้างกระท่อมในพื้นที่ข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหารแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำถ้อยแถลงของ สมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งโจมตีรัฐบาลชุดที่แล้วมาแถลงนั้น คงเป็นแค่การนำเสนอข้อเท็จจริง และเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาคดีดังกล่าว ที่อยู่ในการพิจารณาของศาลโลกแต่อย่างใด เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่อยากให้มองประเด็นดังกล่าวในแง่ร้ายมากเกินไป

ครูในพื้นที่เสี่ยงของ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขอย้ายออกจากพื้นที่แล้ว 8 ราย หลังสถานการณ์ใต้เกิดเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ (30 ม.ค 56) หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและไม่สงบอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเหตุรุนแรงที่ครูตกเป็นเป้าหมายของเหตุการณ์ความไม่สงบ ล่าสุด ในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า มีข้าราชการครูในพื้นที่เสี่ยง ได้แจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลาเขต 2 เพื่อขอย้ายออกจากพื้นที่แล้วจำนวน 8 ราย
นายพิศณุ ดิเรกกุล รองผู้อำนวยการรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลาเขต 2 ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา การดูแลรักษาความปลอดภัย ตามมาตการที่ได้กำหนดไว้กับฝ่ายกำลัง ถือว่าผลการปฏิบัติอยู่ในขั้นที่พึงพอใจในระดับหนึ่ง โดยมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องทางระบบการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเข้าใจในการปฏิบัติร่วมกัน และขณะนี้ต้องยอมรับว่า ขวัญกำลังใจของครูในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงนั้น ลดลงอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อระบบการเรียนการสอน อย่างไรก็ตามตนเองอยากจะวิงวอนให้ผู้ที่ก่อเหตุยุติการกระทำ เพราะความรุนแรงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ควรที่จะหันหน้ามาเจรจากันเพื่อยุติความรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้มีครูในพื้นที่เสี่ยงของ อ.บันนังสตา จ.ยะลา จำนวน 8 ราย ที่ได้แจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลาเขต 2 เพื่อขอย้ายออกจากพื้นที่ เนื่องจากความหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ โดยทางสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลาเขต 2 ได้พิจารณาครูในพื้นที่เสี่ยง ดำเนินการให้มีการโยกย้ายไปสอนที่โรงเรียน ที่มีความปลอดภัยแล้ว

คณะเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามประจำประเทศไทย กำหนดเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันที่ข่าว : 30 มกราคม 2556
คณะเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามประจำประเทศไทย กำหนดเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า ได้รับการประสานจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีกำหนดนำคณะเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามประจำประเทศไทย เดินทางเยี่ยมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ 31 มกราคม 2556 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อได้รับทราบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามประจำประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์เชิงรุกซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการดำเนินงานของรัฐบาล พร้อมยังเยี่ยมชมสถานีวิทยุมลายูท้องถิ่น เพื่อนำเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการด้านการพัฒนาซึ่งสอดคล้องกับอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของประชาชน
เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวอีกว่า ในโอกาสนี้ ศอ.บต.จะได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายด้านการพัฒนาที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยุทธศาสตร์การพัฒนา การเยี่ยวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบการสถานการณ์ความไม่สงบ การส่งเสริมการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สำหรับกำหนดการเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลามประจำประเทศไทย จะได้เดินทางไปเยี่ยมชมมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เพื่อพบปะอิหม่ามประจำมัสยิด และผู้นำศาสนาในพื้นที่ พร้อมเยี่ยมชมความสวยงามและวิถีของประชาชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จากนั้นเดินทางไปยังค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อพบปะหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะเน้นในเรื่องของความเข้าใจทางด้านภาษามลายู จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการเรียนการสอนของโรงเรียน โดยมุ่งเน้นภาษาอังกฤษ และเยี่ยมชมนิทรรศการของนักเรียน
ต่อจากนั้นจะเดินทางมายังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพูดคุยเรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนา การเยียวยาฟื้นฟู การส่งเสริมการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ภาษามลายู ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแนะแนวทางการทำงานของสื่อวิทยุภาษามลายู และยจะเดินทางไปยังอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK Park ยะลา โดยมีน้องๆยุวทูต TK Park นำคณะเยี่ยมชมภายในอุทยานการเรียนรู้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาอาหรับ จากนั้นเดินทางเยี่ยมชมความงามของมัสยิดกลางจังหวัดสงขลา และเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น