วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

สรุปข่าววันที่ 28 ม.ค.56 น่าสนใจ




สรุปข่าววันที่ 28 ม.ค.56-1
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนใต้อีกครั้งหลังคนร้ายจ่อยิงครูที่จ.นราธิวาส เสียชีวิต สัปดาห์ก่อน ให้สัมภาษณ์ว่า จะไม่ปรับแผลรปภ.ครูใต้ และพร้อมจะดูแลชาวโรฮิงญาระยะหนึ่ง ยืนยันด้วยว่าทหารพร้อมปกป้องอธิปไตยหากโดนรุกล้ำต้องใช้กำลัง แต่อย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีการเจรจา
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่เกี่ยว หลังที่ผู้สื่อข่าวถามว่ามีทหารนอกแถวร่วมขบวนการยิงรถข่าวเอเอสทีวี และว่า เรื่องนี้ต้องไปถามตำรวจ ส่วนตัวไม่นิยมใช้ความรุนแรง
จากกรณีคนร้าย 4 คน ขี่ จยย.2 คัน เข้าไปในโรงเรียนบ้านตันหยง อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียน แล้วชักอาวุธปืนยิงใส่ นายชลธี เจริญชล อายุ 51 ปี ครูโรงเรียนบ้านตันหยง จนเสียชีวิต และคนร้ายยังได้นำรถยนต์นายชลธี หลบหนีไป เหตุเกิดเมื่อเวลา 12.30 น.ของวันที่ 23 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ โรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษาประถมศึกษานราธิวาสเขต 1 ได้ประกาศปิดการเรียนการสอนทุกโรงเรียนกว่า300แห่งตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดในส่วนของ จ.ยะลา เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556 เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนบ้านพงยือไร หมู่ 1 ต.บันนังสาเร็ง อ.เมือง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ทหารชุด ร้อย ทพ.3310 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 นำโดย จ.ส.อ.เดช พงษ์ประพันธ์ หัวหน้าชุด นำกำลังทหารพราน 33 จำนวน 4 นาย เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยครูภายในโรงเรียนบ้านพงยือไร เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคณะครูในการรักษาความปลอดภัย
จ.ส.อ.เดช พงษ์ประพันธ์ หัวหน้าชุด ร้อย ทพ 3310 ฉก.ยะลา 11 กล่าวว่า สำหรับภารกิจของทหารพราน 33 ได้มาสนับสนุนภารกิจของหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 ในการดูแลรักษาความปลอดภัยครู นักเรียน และโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ ต.บันนังสาเร็ง อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งในแต่ละโรงเรียน ก็ได้มีการจัดกำลังทั้งในส่วนของกรมทหารพรานที่ 33 และจากหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 กระจายกำลังเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยครู นักเรียน และโรงเรียน ตามโรงเรียนที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้มาตรการในการรักษาความปลอดภัยนั้น ก็จะมีกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดทั้งวัน ตรวจสอบบุคคล ที่จะผ่านเข้าออกโรงเรียนในระหว่างการเรียนการสอน รวมทั้งตรวจสอบรถยนต์ รถจักรยานยนต์ บุคคลเป้าหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยให้คณะครูและนักเรียน
พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ได้รับรายงานว่า ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะนำยางรถจักรยานยนต์ราดน้ำมันเบนซินจุดไฟเผา และนำไปแขวนตามเสาไฟฟ้าที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดทำให้กล้องวงจรปิดเสียหายจำนวนหลายตัวและถูกขโมยอีก7ตัว
สำหรับกล้องวงจรปิดที่ถูกเผาเสียหาย ประกอบด้วย เขต อ.มายอ จ.ปัตตานี 3 จุด 10 ตัว คือ บริเวณถนนสาย 42 ปัตตานี นราธิวาส ม.5 ต.ลางา อ.มายอ 1 จุด 4 ตัว ,และบริเวณถนนมายอ --ปาลัส ม.1 ต.ถนน อ.มายอ 1 จุด 3 ตัว, และ สามแบก ม.2 ต.เกาะจัน อ.มายอ 1 จุด3 ตัว , และ อ.ปะนาเระ 1 จุด 2 ตัว คือ ริมถนนสาย 42 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ 1 จุด 2 ตัว และ ที่อ.ทุ่งยางแดง จำนวน ท5 จุด 5 ตัว บริเวณ สี่แยก ม.5 บ้านปากู ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง 4 จุด 4 ตัว และ ม.2 บ้านน้ำดำ 1 จุด 1 ตัว นอกจากนั้นคนร้ายยังได้ขโมยกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งอยู่บนเสาไฟฟ้า หลายเสา หน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลตะโละแมะนา อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานีจำนวน 7 ตัว ไปด้วย รวมกล้องถูกเผา 15 ตัว และถูกขโมย 7 ตัว อยู่ระหว่างการสอบสวนว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ กรือเป็นการกระทำของกลุ่มคนร้ายในพื้นที่ เจ้าหนย้าที่ ได้เก็บหลักฐานลายนิ้วมือ และอื่นๆเพื่อพิสูจน์ต่อไป
พ.ต.อ.โกวิทย์ รัตนโชติ ผกก.สภ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณถนนชนบท ทางเข้าหมู่บ้านใกล้สะพานบ้านบราแง ม.2 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย ผบก.ภ.จว.ปัตตานี และชุดตำรวจเก็บกู้วัตถุระเบิด และตำรวจพิสูจน์หลักฐานปัตตานี พร้อมกำลังตำรวจ ทหาร ปรากฏว่าพบสะเก็ด ชิ้นส่วนระเบิด เศษถังดับเพลิง และกิ่งไม้กระจัดกระจายเต็มพื้นถนน ตรวจสอบพบหลุมระเบิดขนาดใหญ่กว้าง 3 เมตร ลึก 1 เมตร ภายในหลุมพบชิ้นส่วนถังดับเพลิง และพบว่ามีสายไฟลากยาวเข้าป่ายางพาราข้างทางยาวประมาณ200เมตรจุดชนวนระเบิดด้วยแบตเตอร์รี่ 
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำระเบิดชนิดแสวงเครื่อง บรรจุถังดับเพลิงน้ำหนัก 15 กก. ฝั่งไว้ใต้ท้องถนนและลากสายไฟยาวประมาณ 200 เมตร และเตรียมจุดชนวนด้วยแบตเตอร์รี่ จากนั้นคนร้ายได้ลอบเผากล้องวงจรปิด 1จุด ในหมู่บ้านบราแง ม.2 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง เพื่อเป็นการลวงให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ เมื่อผ่านจุดที่วางระเบิดก็กดชนวนระเบิดเพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เข้าไปตรวจสอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบริเวณที่มีเหตุเผากล้องวงจรปิดริมถนนสายระหว่างอำเภอก่อน ทำให้กลุ่มคนร้ายที่ดักซุ่มรอกดชนวนระเบิดเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ รอไม่ไหว จึงกดระเบิดทิ้ง และหลบหนีไป เชื่อว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมอาร์เคเคในพื้นที่เพื่อหวังทำร้ายเจ้าหน้าที่
พ.อ.อุทิศ อนันตนานนท์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารประจำจุดตรวจเกาะสรณีย์ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง ได้ลงเรือเร็วเพื่อติดตามและจับกุมขบวนการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าว ชาวพม่าขณะลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่าโดยเรือหางยาว เข้ามาในราชอาณาจักรไทย ภายหลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าว มีใช้เรือหางยาวต้องสงสัย ลอยลำ อยู่บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล ด้านทิศตะวันตกของ เกาะจาก ใกล้กับบ้านเกาะหาดทรายดำ ตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง จึงได้สั่งการให้จุดตรวจที่เกาะสะระณีย์ ส่งชุดปฎิบัติการฉลาม ฉก.ร.25 พร้อมเรือเร็ว จำนวน 2 ลำ เข้าสมทบ กระทั่ง พบเรือหางยาวต้องสงสัย กำลังแล่นเรือหนี เรือเร็วของ ชุดปฎิบัติการฉลาม ฉก.ร.25 จึงไล่ติดตามและกวดจับ โดยหลบหนีหนีเข้าไปในป่าโกงกาง บริเวณคลอง ท่าต้นสน เขตป่าชายเลนพื้นที่สงวนชีวมณฑลโลก ตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง สุดท้ายสามารถควบคุมตัว นายท้ายและคนขับเรือชาวไทยไว้ได้ จำนวน 2 คน คือ นายสุรชา กล้าศึก อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านสำนัก ม.3 ต.ม่วงกลวง อ.กะเปอร์ จ.ระนอง และ นาย อดุลย์ ช่วยชาติ อยู่ ม. 7 บ้านช้างแหก ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง จ.ระนอง ซึ่งทั้งสองให้การยอมรับสารภาพว่า รับจ้างในการนำพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองต่อหัวรายละ500บาท 
ตรวจสอบในเรือ พบบุคคลต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 27 ราย แยกเป็นชาย 16 คน และหญิงอีก 11คน โดยทุกคนจะเดินทางไป อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีการเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งค่าเรือและค่ารถ จำนวน 6,000 บาทต่อคน จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวบางคน พบแรงงานส่วนใหญ่ ถือหนังสือ แทมเพอรารี่ พาสปอร์ต หรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราวเข้ามาเมืองไทยถูกต้อง ผ่านทางจังหวัดเกาะสอง และด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง ก่อนถูกนำตัวไปพักในแหล่งหลบซ่อนแห่งหนึ่ง ใน ต.ปากน้ำ ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ม.ค.56 ก่อนที่ขบวนการนำพา จะมารับตัวในช่วงเช้าที่ผ่านมาโดยลงเรือหางยาว เพื่อจะเดินทางเลียบชายฝั่งทะเล และไปขึ้นฝั่งที่แถว อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง จากนั้นจะมีรถยนต์มารับเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง 
การจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น ช่วงเดือน ม.ค.นี้ กองกำลังเทพสตรี ส่วนใหญ่จับกุมได้เส้นทางบก บริเวณอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง โดยสามารถยึดรถยนต์กระบะ นำพาได้ จำนวน 9 คัน ผู้ต้องหาจำนวนกว่าสองร้อยคน ส่วนเส้นทางชายฝั่งทะเล จะมีเจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการฉลาม เฝ้าคอยลาดตระเวนและจับกุมอยู่ตลอดเวลา สถิติการจับกุมจึงน้อยลง แต่ครั้งนี้ตรวจพบว่ามีการเดินทางเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่อาศัยขบวนการนำพาไปยังพื้นที่จังหวัดชั้นใน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจตามเส้นทางถนนสายหลักต่างๆ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดได้มีการนำตัว ส่งไปดำเนินคดีที่ สภ.ราชกรูด อำเภอเมืองระนอง โดย ชาวไทย 2 คน ถูกนำเนินคดีในข้อหานำพาและให้การช่วยเหลือ บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย และชาวพม่าอีก 27 คน ในข้อหาหลบหนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย
ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 28ม.ค.2556 เมื่อเวลา 13.50น. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) เดินทางเข้ามายังตึกบัญชาการ1 ทำเนีบบรัฐบาล และใช้เวลาอยู่บนตึกนานเกือบ1ชั่วโมง โดยเปิดเผยเพียงสั้นๆว่า ตนมาพบพล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และไม่ได้มาคุยเรื่องเตรียมการรับมือการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม 29 มกราคม ที่นัดชุมนุมใหญ่และจะเดินทางต่อมายังทำเนียบรัฐบาลในวันที่29ม.ค.เวลา 09.30น. เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้งของนิติราษฎร์ โดยผบช.น. กล่าวเพียงว่ายังไม่ทราบเรื่องเลย 
ทั้งนี้กิจกรรมของกลุ่มแนวร่วม29มกราคม นั้นมีกำหนดการที่จะนัดชุมนุมในเวลา 08.00 น. ที่หมุดคณะราษฎร โดยจะมีการวางมาลัยดอกไม้เคารพคณะผู้อภิวัฒน์สยาม 2475 และวีรชนประชาธิปไตย และเวลา 09.30น. จะเคลื่อนขบวนมาตั้งเวทีชุมนุมที่ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้งของคณะนิติราษฎร์ ต่อรัฐบาล และจะอ่านแถลงการณ์แนวร่วม 29 มกราคม ปลดปล่อยนักโทษการเมือง โดยกำหนดเลิกการชุมนุมประมาณ 22.00น.
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 28 ม.ค. 56 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ พ.ต.อ.อนุชน ชามาตย์ รอง ผบก.สส.ภ.8 พ.ต.อ.ธีระพล ทิพย์เจริญ รอง ผบก.สส.ภ.8 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนภาค 8 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองขนาน แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา พร้อมอาวุธปืนสงครามจำนวนมาก โดยผู้ต้องหามี 3 คน คือนายอนันต์ สันหาด อายุ 55 ปี กำนันตำบลคลองขนาน อยู่ต.คลองขนาน อ.เหนือคอลง จ.กระบี่ พร้อมด้วยนายสัญญา ไชยพิมพ์ อายุ 38 ปี บ้านอยู่จังหวัดศีรษะเกต และนายวีระศักดิ์ ส่งแสง อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นคนงานบ่อเลี้ยงกุ้ง
พร้อมด้วยของกลางอาวุธปืนลูกซองยาว 6 กระบอก อาวุธปืนสงครามอูซี่, ทอมสัน อย่างละ 1 กระบอก อาวุธปืนสั้น ขนาน 9 มม. ขนาด .357 และขนาด 11 มม. รวม 4 กระบอก เสื้อเกราะกันกระสุน 2 ตัว กระสุนปืนชนิดต่างๆ รวม 681 นัด อุปกรณ์การเสพยาเสพติด ยาไฮซ์ น้ำหนัก 2 กรัม หลังนำหมายศาลจังหวัดกระบี่ เลขที่ 13/2556 และหมายศาลเลขที่ 14/2556 ลงวันที่ 27 มกราคม 2556 เข้าตรวจค้นบ้านพักคนงานภายในบ่อเลี้ยงกุ้ง หมู่ที่ 6 ต.คลองขนานและบ้านของนายอนันต์
การตรวจค้นครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่รวมกว่า 50 นาย เข้าทำการตรวจค้น 2 จุด โดยจุดแรกที่บ้านของนายอนันต์ สันหาด กำนันตำบลคลองขนาน ที่หมู่ 3 เจ้าหน้าที่ค้นพบปืนอูซี่ 1 กระบอก ปืน 9 มม. ปืน .357 และยาไอซ์ 2 กรัม ขณะที่อีกชุดเข้าตรวจค้นบ้านพักคนงานบ่อเลี้ยงกุ้งของนางสุพัตรา กิตติธรกุล พื้นที่หมู่ 6ตำบลคลองขนานจำนวน2หลัง 
เนื้อที่กว่า 500 ไร่ พบของกลางที่เหลือ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ (อาวุธสงคราม) มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ยาเสพติดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 
พ.ต.อ.อนุชน ชามาตย์ รอง ผบก.สส.ภ.8 กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า นายอนันต์ สันหาด กำนันตำบลคลองขนาน อำเภอเหนือคลอง มีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล มีส่วนพัวพันกับ ยาเสพติด และคดียิงผู้ใหญ่บ้าน บ้านคลองหวายเล็ก แกนนำม็อบยึดสวนปาล์ม ยิงสมาชิกกลุ่มคลองขนานสามัคคีเสียชีวิต ยิงถล่มถล่มรถยนต์ และเป็นแกนนำชาวบ้านบุกเผาทำลายบ้านพัก ทรัพย์สินของผู้ชุมนุม สมาชิกกลุ่มสิทธิชุมชนไร้ที่ดินทำกิน ที่ยึดสวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงขอหมายศาลเข้าตรวจค้น ยึดของกลางเป็นอาวุธปืน ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะได้นำไปตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่หรือไม่
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ร.ต.ท.วรกร พูลทอง ร้อยเวร พนักงานสอบสวน สภ.เมืองระนอง เปิดเผยว่า รับแจ้งเหตุพบกะโหลกศีรษะ และโครงกระดูกมนุษย์ ห่อผ้าห่มทิ้ง บริเวณหนองน้ำ หลังตลาดล่าง ซอยภักดี ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยอาสาสมัครกู้ภัย มูลนิธิระนองสงเคราะห์ 
ในที่เกิดเหตุ เป็นริมหนองน้ำ ที่มีกอวัชพืช และผักบุ้งธรรมชาติ ขึ้นปกคลุม อาสาสมัครกู้ภัยได้ใช้มีดงอ เกลี่ยหญ้าและวัชพืชออก พบชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะ ซี่โครง และกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆถูกห่อด้วยผ้าห่ม และถูกมัดด้วยสายเอ็นขนาดใหญ่ ที่บริเวณข้อเท้า เข่า และลำคอ 3 จุด และมีเชือกไนล่อนสีเขียว มัดบริเวณลำตัวอีก 1 จุด ถูกนำมาทิ้งในลักษณะห่อศพผู้เสียชีวิตจากที่อื่นแล้วนำมาโยนลงหนองน้ำ 
จากการตรวจสอบเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโครงกระดูกผู้หญิง ชาวพม่า เพราะมีเศษเสื้อชั้นใน ผู้หญิง ห่อหุ้มอยู่ ส่วนบริเวณกระดูกสะโพก มีผ้าแพมเพิสห่อ คาดว่าอาจผู้ตายอาจเป็นหญิง ที่มีอาการป่วยมาก่อนหน้า และเมื่อเสียชีวิต คงถูกนำร่างมาโยนลงทิ้งลงหนองน้ำ โดยไม่นำไปฌาปนกิจศพ ซึ่งบริเวณรอบหนองน้ำ มีทั้งห้องเช่าและบ้านเช่า ชาวพม่า หลายสิบครัวเรือนรายล้อม และหนองน้ำเชื่อมสามารถเชื่อมกับคลองซอยคอกควายที่มีระดับน้ำทะเลหนุนขึ้นลงตลอดเวลา 
ส่วนสภาพศพเหลือแต่โครงกระดูกกับเศษผ้า คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน จากการตรวจสอบบุคคลชาวไทยสูญหาย ในห้วง 6 เดือนที่ผ่านมาของ สภ.เมืองระนอง ไม่ปรากฏว่ามีญาติ หรือใคร มาแจ้งบุคคลหาย 

ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้นำชิ้นส่วนกระดูกทั้งหมดส่ง พิสูจน์ที่ ร.พ.ระนอง อีกครั้งหนึ่ง หากผู้ใดสงสัยว่าจะเป็นญาติที่สูญหายไป สามารถติดต่อได้ที่ สภ.เมืองระนอง
วันที่ 28 ม.ค. 2556 นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ กล่าวถึงกรณี ที่มีข่าวว่า นปช. เตรียมเดินทางไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับกลุ่มแนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง เพื่อยื่นหนังสือและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอนิรโทษกรรมว่า ตนไม่เห็นด้วยและไม่ขอสนับสนุนเนื่องจากเป็นการกดดันรัฐบาล ทุกวันนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล หากเราเดินทางไปกดดันภาพจะออกมาไม่เหมาะสม หากไปแค่ 1-2 คนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ตนไม่ว่าอะไร แต่หากไปบีบรัฐบาลกันเป็นหลายพันคน แกนนำกลุ่มเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอิสานไม่เห็นด้วย หากไปในนามส่วนตัวถือว่าเป็นสิทธิ แต่เราจะไม่ทำในนามองค์กรอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ตนแจ้งความประสงค์กับแกนนำ นปช. ให้รับทราบแล้ว และ ทางแกนนำก็ไม่ได้มาเคลียร์แต่อย่างใด
ด้านนางธิดา กล่าวว่า กิจกรรมข้างต้นไม่ได้เป็นการทำในนาม นปช. ส่วนกลาง แต่เป็นการนำของนางสุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการนำข้อเสนอนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์มาเสนอรัฐบาล ไม่ได้นำข้อเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมของ นปช. มายื่นใหรัฐบาล งานนี้เปรียบเสมือนกฐินคนละกอง เราเสวนอ พ.ร.ก.ทุกกลุ่มทุกสี แต่เขาเสนอในลักษณะให้แก้รัฐธรรมนูญจึงไม่เหมือนกัน เราจะเอากฐินของเขาแล้วทิ้งของเรามันไม่ได้ และข้อเสนอของ นปช. ไม่ได้ออกมาในลักษณะกดดันรัฐบาล
โรฮิงญาอย่าทำเป็นเล่น : มองมุมยุทธศาสตร์ โดยเรือรบ เมืองมั่น Facebook : ruarob.muangman
               ปัญหาชาวโรฮิงญา กลายเป็นประเด็นระดับสากลที่ได้รับการไฮไลท์ไปแล้ว แต่ถูกขับเน้นในแนวเดียวคือ ห่วงใยความร้าวรานของคนสายพันธุ์นี้ ที่ต้องลอยเรือไปตกระกำลำบากในประเทศต่างๆ กระแสความเรียกร้องในเชิงมนุษยธรรมจึงสูงมาก จนถึงกับมีบางกลุ่มคิดอย่างสุดโต่งถึงการช่วยเหลือพวกเขาให้เต็มที่ แต่เมื่อพิจารณาถึงมุมของความมั่นคงและมุมของการแบ่งปันความรับผิดชอบแล้ว ประเทศที่สามอย่างไทย ไม่ควรต้องรับภาระนี้ให้มากเกินกำลัง
               ชาวโรฮิงญานั้นน่าสงสารจริง เพราะใครๆ ก็ไม่นับว่าเป็นพวก พม่าเจ้าของที่รังเกียจขนาดไม่ให้ใช้แซ่ร่วม แม้ว่าพม่าจะเป็นดินแดนหลายเผ่าพันธุ์ หลายกลุ่มฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ทุกฝ่ายกลับประสานเสียงกันไม่เอาโรฮิงญา ทั้งชาวบ้าน พระสงฆ์และรัฐ หรือแม้แต่ฝ่ายค้าน บังกลาเทศที่ว่าเชื้อสายใกล้เคียงที่สุดก็ทำได้ดีสุดแค่ตั้งค่ายอพยพไว้ชายแดน ส่วนมาเลเซีย เป้าหมายในฝันของเหล่ามนุษย์น้ำ ก็พยายามผลักดันออก ไม่ให้สัญชาติเช่นกัน ในสภาพปกติชาวโรฮิงญาก็อดอยากจนต้องลอยเรือออกนอกประเทศอยู่แล้ว สถานการณ์รุนแรงที่ยะไข่เมื่อปีกลาย ยิ่งทำให้พวกเขาแห่กันออกมามากเข้าไปใหญ่ ไทยซึ่งเป็นรัฐชายฝั่งรัฐแรกที่มีเพียงทะเลกั้นพวกเขาไว้จึงต้องเจอปัญหานี้เข้าไปเต็มๆ
               แน่นอนว่า การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในขั้นต้นเป็นสิ่งประเสริฐ แต่จะมากไปกว่านี้นั้น ไม่ควร เพราะนี่คือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ประการหนึ่ง ในหลายปีที่ปัญหาไม่ได้รับการจับตามองเท่านี้ คนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่เมืองไทยเป็นจำนวนหลายพันแล้ว หลายคนถูกนำไปใช้เป็นแรงงานทาสอย่างน่าสงสาร แต่หลายคนก็พัฒนาตนเองเป็นคนขายโรตี หรือยิ่งไปกว่านั้น เช่น รับเดินโพยฟุตบอล อาชีพทั้งผิดและถูกกฎหมายเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะการฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่บางพวกกับนายทุนหน้าเลือด โดยที่คนไทยผู้ได้รับผลกระทบเองนิ่งเฉย คนชั้นล่างใกล้ชิดกลุ่มนี้อยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน คนชั้นกลางไม่รู้ปัญหาและไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า โรฮิงญาในไทยมีมากแค่ไหน กระทบต่อปัญหาสังคม เช่น การจ้างงานอาชญากรรมหรือโรคภัยอย่างไรส่วนคนที่น่าจะสั่งการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็ยังงงว่าจะจัดการอย่างไรดี
               หากช่วยเหลือดีเกินไป ให้สิทธิต่างๆ คนพลัดถิ่นเหล่านี้จะยิ่งมายังเมืองไทยและไม่ยอมออก หลายปีผ่านไปทำให้พวกเขาตั้งหลักได้และจะเรียกร้องสิทธิทั้งบนดินใต้ดินยิ่งกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ทางการไทยปวดหัวแน่นอน ทางที่ดีที่สุดยังคงเป็นหาทางผลักดันออกไป ถึงจะยากลำบาก เพราะพม่าก็ยืนหยัดแนวทางเดิมโดยไม่สนใจเสียงโวยขององค์กรระหว่างประเทศ ส่วนมาเลเซียก็สกัดกั้นเต็มที่ เพราะมีคนที่หน้าตาคล้ายแรงงานบังกลาเทศแต่ไม่ใช่บังกลาเทศนี้อยู่ถึง 5 หมื่น ปลอมตัวเป็นชาวบังกลาเทศลักลอบทำงานอยู่เต็มไปหมดอยู่แล้ว ดังนั้นในห้วงเวลาที่ทางการไทยกำลังหวานอมขมกลืนก็อย่าเพิ่งกดดันเอาแต่มนุษยธรรมเป็นหลักจนลืมมองมุมด้านความมั่นคงเสียเลย

ตร.นัด'ASTV'สอบคลี่ปมยิงรถข่าว

พนง.สอบสวน สน.ชนะสงคราม นัดหมาย 'ผู้บริหารเอเอสทีวี' ให้ปากคำ คลี่ปมยิงรถข่าว ขณะที่ 'คำรณวิทย์' กำชับเร่งคลี่คลาย

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 56 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นัดหมายผู้บริหารบริษัทเอเอสทีวี ผู้จัดการ ในช่วงบ่าย เพื่อให้ปากคำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสอบสวนประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ว่ามีปัญหากับใครหรือไม่ ทั้งเรื่องธุรกิจ การเมือง และประเด็นเรื่องส่วนตัว โดยจะสอบสวนในทุกเรื่องทุกประเด็น ส่วนจะมีใครเข้ามาให้ปากคำนั้น ต้องรอดูก่อนว่า จะมีผู้บริหารท่านใดมาพบหรือไม่
             พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ชนะสงคราม กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคลี่คลายคดี คนร้ายลอบยิงรถข่าวเอเอสทีวีและอาคารที่ทำการบ้านเจ้าพระยา ได้รับความเสียหายว่า สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด โดยไม่ได้ให้น้ำหนักไปทางด้านใดเป็นพิเศษจะต้องรอพยานหลักฐานทั้งหมดประกอบกับคำให้การของทางผู้บริหารบริษัทเอเอสทีวี ผู้จัดการ เสียก่อนว่ามีความขัดแย้งกลุ่มใด และสงสัยใครบ้าง ก่อนจะรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาทราบตามขั้นตอน
               ขณะนี้ฝ่ายสืบสวน บก.สส.บช.น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน บก.น.1 และฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม กำลังสืบสวนสอบสวนอยู่โดย พ.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กำชับให้คลี่คลายให้ได้ โดยชุดสืบสวนนำภาพวงจรปิดที่ได้ทั้งหมด นอกเหนือจากที่ได้จากบ้านเจ้าพระยาของบริษัทเอเอสทีวี ผู้จัดการ จำกัด มาประมวลภาพวิเคราะห์ถึงรูปพรรณสัณฐานคนร้าย และจำลองเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ กระจายกำลังลงพื้นที่หาข่าวบริเวณรอบและใกล้เคียง รวมถึงซอยที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี เร่งหาพยานแวดล้อมใช้เป็นเบาะแสสำคัญในการติดตามตัวคนร้าย
               พ.ต.อ.จักรภพ กล่าวอีกว่า ความคืบหน้าขณะนี้ถือว่ายังไม่มากนัก ต้องเร่งหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม และภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงที่อาจเห็นเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี รวมถึงการสอบปากคำพยานแวดล้อม ซึ่งวานนี้สอบไปแล้ว 2 ปาก และในวันนี้จะทำการสอบเพิ่มอีกจำนวน 3 ปาก

'ประยุทธ์'ลงใต้-ปัดเอี่ยวรถASTVถูกยิง

'ประยุทธ์' ลงใต้ ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรถข่าว ASTV ถูกยิง ชี้ข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ยึดตามกระบวนการ ด้าน'คำรณวิทย์'สั่งไล่ล่ามือยิง

               28 ม.ค.56 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งพบปะผู้นำศาสนาว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีโอกาสหารือถึงปัญหาทุกเรื่องร่วมกับ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องโรฮิงญาเท่านั้น อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาความมั่นคงเรามีแผนในการดำเนินการ
                ผบ.ทบ.กล่าวว่า สำหรับปัญหาเรื่องโรฮิงญาก็ต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของทหารก็มีหน้าที่สนับสนุน เฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้เรามีการดำเนินการทุกปี เพราะในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูมรสุมก็จะมีการลักลอบอพยพเข้ามาตามฝั่งทะเลชายฝั่งอันดามันเราก็มีการจับกุมและส่งกลับ โดยเป็นไปตามข้อตกลงกฎหมายทุกประการ แต่ครั้งนี้มีการลักลอบมารวมกลุ่มกันเพื่อไปทำความผิดอย่างอื่น ซึ่งเป็นประเด็นที่พบใหม่คือ มีการลักลอบเข้ามาทางบกมากพอสมควร ต้องสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความเป็นมาและแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด และรัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่าจะให้การสนับสนุนตามหลักมนุษยธรรมไปสักระยะหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะระดับอาเซียน หรือประชาคมอื่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคนไทยโดยรวม
                พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า แผนและคำสั่งนั้นได้เขียนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่การนำไปปฏิบัติคือเจ้าหน้าที่ ส่วนผู้ที่ได้รับการปฏิบัติคือครู ทั้งสองส่วนต้องบูรณาการร่วมกันว่าจะทำอย่างไร ต่อให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ดำเนินการเต็มรูปแบบย่างไร แต่ถ้าฝ่ายรับปฏิบัติคือครูไม่ร่วมมือ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ยากที่จะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์
                “ผมไม่อยากโทษใคร แต่ต้องไปดูแลแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางพื้นที่ต้องการ 3 ส่วนคือ โรงเรียน เส้นทาง และบ้าน ผมก็ได้สั่งการลงไปแล้วและไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ในบางพื้นที่ขอแค่ให้ดูแลเฉพาะตอนไปส่งโรงเรียน และบางส่วนขอให้ดูแลภายนอกโรงเรียน ซึ่งแต่ละพื้นที่มีกติกาและข้อตกลงคนละแบบ โดยเป็นไปตามความสมัครใจของครู ในส่วนของทหารเองก็ไม่สามารถที่จะจัดส่งคนทั้งหมดไปดูแลครูเพียงอย่างเดียวได้ แต่เราก็ได้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบว่าช่วงไหนควรเป็นทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน อาสาสมัครดูแลความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือลูกจ้าง ซึ่งต้องไปดูว่าทำครบหรือไม่ ถ้าครบก็ไม่มีเรื่อง ส่วนครูก็ต้องไม่ออกนอกพื้นที่ตามเวลาหรือเส้นทางที่กำหนด แต่ยอมรับว่าครูก็ต้องอึดอัดเป็นธรรมดา แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นเป้าหมายก็ต้องระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าแผนการดูแลความปลอดภัยครูนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องปรับ แต่ต้องไปหากันให้เจอว่าจะเอากันอย่างไร เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่มุสลิม คนที่เข้ามายิงก็เป็นคนมุสลิม ต้องไปสอบหาสาเหตุว่าเกิดจากและทางโรงเรียนก็ไม่ได้โทษเจ้าหน้าที่ผบ.ทบ. กล่าว 
เสียงแข็งไม่มีทหารนอกแถวเกี่ยวข้องคดียิงรถข่าวASTVย้ำไม่นิยมใช้ความรุนแรง 
               พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคนร้ายบุกยิงรถข่าวเอเอสทีวีเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเเละขณะนี้มีการพุ่งเป้าว่ามาที่กองทัพว่า คงต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กองทัพไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ตนบอกแล้วว่า ต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย คงต้องไปสอบหาผู้ก่อเหตุ อีกทั้งตนก็ไม่ได้สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว
               เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจหรือไม่ว่าไม่มีกำลังพลนอกแถวไปก่อเหตุ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่ว่า ไม่เกี่ยวข้อง จะมาถามอะไรบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง หากสอบแล้วพบว่า ใครผิดก็ให้ไปจับมา 
ลั่นป้องเขตแดนไทย"ไม่ให้ใครบุกรุก" ระบุตอบทุกอย่างตามข้อเท็จจริง ไม่เข้าทางใคร
                พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลชายแดนเขาพระวิหารว่า  ทหารก็ดำเนินการดูแลมาโดยตลอด แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา สำหรับเส้นเขตแดนที่ชัดเจนนั้นไม่สามารถบุกรุกได้อยู่แล้ว หากมีการบุกรุกก็ต้องพูดคุยหรือต้องมีการปะทะกัน ส่วนบางพื้นที่ซึ่งยังเป็นข้อพิพาทก็ต้องไปว่ากันตามกระบวนการว่าจะไปฟ้องศาลโลกหรือประท้วงก็ว่ากันไป ทหารเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็รอรับฟังคำสั่งการปฏิบัติอยู่ ทหารในฐานะที่เป็นกองกำลังดูแลชายแดน เราจะตอบไปตามข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติ คงไม่ต้องเรื่องที่ไปเข้าทางใคร อย่างไรก็ตามปัญหาต่างๆต่อให้มีการบุกรุกหรือปะทะกันอย่างไรสุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่การพูดคุยเจรจาไม่ว่าจะระดับทวิภาคี พหุภาคี หรือสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ตามใจ

              
"คำรณวิทย์"สั่งไล่ล่ามือยิง"รถข่าวASTV" พร้อมเร่งสอบ"ผู้บริหาร"ปมขัดแย้ง
               พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนคลี่คลายคดียิงรถข่าว ASTV ผู้จัดการ เมื่อกลางดึกของวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ชุดสืบสวนสอบสวนกำลังตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดมาประกอบหลักฐานทางคดี พร้อมลงพื้นที่หาข่าวแกะรอยคนร้ายอย่างใกล้ชิด แล้วน่าจะเป็นการข่มขู่มากกว่าประสงค์ต่อชีวิตต้องสอบสวนพูดคุยรายละเอียดกับผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อนว่า ขณะที่ ผู้เสียหายสงสัยใครหรือกลุ่มใดเป็นพิเศษ หรือไม่นั้น ได้สั่งกำชับให้ฝ่ายสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ และสั่งการให้ตำรวจท้องที่ สน.ชนะสงคราม ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบให้เข้มงวดกว่าปกติ

ร.11รอ.เร่งสร้าง'กองร้อยรบ3มิติ'

ร.11รอ.มุ่งรับใช้ประชาชน เร่งสร้าง'กองร้อยรบ3มิติ' : ตะลุยกองทัพ โดยทีมข่าวความมั่นคง

              กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เป็นอีกหน่วยหนึ่งที่มีการฝึกกองร้อยรบ 3 มิติ ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่คาดหวังให้การปฏิบัติภารกิจของกองทัพบกมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งภารกิจการรักษาอธิปไตยของประเทศที่ถือเป็นงานหลัก และรวมไปถึงภารกิจการช่วยเหลือประชาชนในยามที่ประสบภัยในเหตุการณ์ต่างๆ
              การจัดตั้ง "กองร้อยรบ 3 มิติ" จะบูรณาการปรับภารกิจเข้าด้วยกันจาก 3 ภารกิจ คือ 1.ภารกิจการป้องกันชายแดนภารกิจการรักษาความสงบ 2.ภารกิจการช่วยเหลือประชาชน และ 3.ภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ โดยโครงสร้างการจัดกำลังกองร้อยรบ 3 มิติ จะมีความแตกต่างกันไป ทั้งส่วนการบังคับบัญชา ส่วนการสนับสนุนและส่วนการดำเนินการยุทธ์
              ทั้งนี้ แต่ละส่วนจะมีหน้าที่การปฏิบัติที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในส่วนของหมวดอาวุธ หรือหมวดสนับสนุน ที่เมื่อแปรสภาพในแต่ละภารกิจ กำลังส่วนดังกล่าวจะต้องสามารถปฏิบัติภารกิจเฉพาะพิเศษได้ในทุกด้าน เช่น เมื่อได้รับมอบภารกิจเป็นกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย กำลังส่วนดังกล่าวจะต้องสามารถปฏิบัติภารกิจในการเป็นชุดระวังป้องกันและชุคควบคุมผู้ก่อความไม่สงบ
              รวมทั้งในบางกรณีอาจจะต้องเป็นชุดต่อต้านการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ และเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจกองร้อยช่วยเหลือประชาชนส่วนดังกล่าวจะต้องสามารถปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าเป็นภัยที่เกิดจากอัคคีภัยอุทกภัยวาตภัยหรืออุบัติภัยอื่นๆเป็นต้น
              สำหรับการฝึก "กองร้อยรักษาความสงบ" หน่วยได้มีการทบทวนในเรื่องรูปขบวนทางยุทธวิธี การปฏิบัติการยุทธ์ของหมวดสนับสนุน การฝึกทบทวน รวมถึงการฝึกใช้เครื่อง LRAD เป็นต้น ส่วนการฝึกกองร้อยช่วยเหลือประชาชน หน่วยได้ประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่มีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสถานีดับเพลิงมูลนิธิกู้ภัยต่างๆโดยได้ทำการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง
              พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า  เป็นหน้าที่ของกองทัพในการเตรียมความพร้อมการปฏิบัติภารกิจเพื่อประเทศชาติ และประชาชน โดยหน่วยทหารทุกกรมจะมีทหารราบอยู่ประมาณ 250 กว่ากองพัน แต่ละกองพันประกอบด้วย 3 กองร้อย ซึ่ง 1 กองร้อยปฏิบัติภารกิจในสนาม และอีก 1 กองร้อยปฏิบัติภารกิจชายแดนส่วนอีก1กองร้อยจะดูแลหน่วยที่ตั้ง
              ทั้งนี้ เมื่อรวมกันแล้วจะเหลืออยู่กำลังในที่ตั้งประมาณ 180 กว่ากองร้อย ดังนั้นต้องทำให้กำลังเหล่านี้มีความพร้อม ซึ่งกำลัง 1 กองร้อย จะมีกำลังกองร้อยละ 150 คน ในการเตรียมพร้อมรักษาสถานการณ์ ถ้าวันนี้มีเหตุการณ์ในพื้นที่ตามแนวชายแดนจะต้องมีทหารเหล่านี้ไปเสริมการปฏิบัติงาน หรือเป็นกองหนุน ก็จะต้องขึ้นไปปฏิบัติงานทันที
              “ในระหว่างที่ยังไม่ได้ไปรบ และเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม กำลังพล 150 คน ก็จะต้องไปช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมก่อน และใน 3 ภารกิจจะต้องมีความพร้อมตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพราะเราเป็นทหารของประชาชนก็ต้องช่วยประชาชนและทำเพื่อประชาชน"พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำ
              พ.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) กล่าวว่า กองร้อยรบ 3 มิติ จะสามารถทำงานได้ใน 3 ลักษณะ คือ 1.กองร้อยป้องกันชายแดน (ร้อย.ปชด.) โดยจะปฏิบัติภารกิจกับทหารด้วยกันเอง 2.กองร้อยรักษาความสงบ (ร้อย.รส.) จะทำงานร่วมกับตำรวจ ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน 3.กองร้อยช่วยเหลือประชาชน(ร้อย.ชป.)จะทำงานกับพลเรือน
              พ.อ.ทรงวิทย์ ระบุว่า ทั้ง 3 ส่วน จะมีการจัดกำลังเหมือนกัน คือ กำลัง 150 คน และจะฝึกให้มีความพร้อมสำหรับภารกิจทั้ง 3 อย่าง โดย ร้อย.ปชด. จะปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการรบ การช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดนในเรื่องการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด
              ส่วนการฝึก ร้อย.รส. จะยึดถือจากตำราในอดีต และบทเรียนที่ผ่านมาเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ และอาคารบ้านเรือน สำหรับกองร้อยช่วยเหลือประชาชนจะมีภารกิจหลากหลายมิติมาก เช่น น้ำท่วม อัคคีภัย และภัยพิบัติในด้านต่างๆ โดย ร.11 รอ.ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 5 เขต คือ หลักสี่ บางเขนจตุจักรลาดพร้าวและดินแดงซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้หน่วย
              "เรื่องนี้กองทัพที่ได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว แต่ปี 2556 จะเป็นปีที่มีการบริหารจัดการที่ชัดเจนมากขึ้น และเป็นที่สิ่งที่ท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้กำลังพลมีทักษะทั้ง 3 เรื่องนี้อยู่ด้วยกัน เพื่อให้ภารกิจของหน่วยเกิดคุณค่าต่อสังคม เพราะเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพอยู่ที่ว่าจะทำประโยชน์ให้ประชาชนได้มากแค่ไหน" พ.อ.ทรงวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

'ธิดา-ขวัญชัย'ไม่ร่วม'แนวร่วม29มกราฯ'

'ธิดา-ขวัญชัย' ประสานเสียงไม่ร่วมชุมนุมกับกลุ่ม'แนวร่วม 29 มกราฯ'ชี้เหมือนกฐินคนละกอง ด้าน 'วรชัย'หนุน'โอ๊ค'ไม่นิรโทษกรรม'ทักษิณ'

                28 ม.ค.56 นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ กล่าวถึงกรณี ที่มีข่าวว่า นปช. เตรียมเดินทางไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับกลุ่มแนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง เพื่อยื่นหนังสือและเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอนิรโทษกรรมว่า ตนไม่เห็นด้วยและไม่ขอสนับสนุนเนื่องจากเป็นการกดดันรัฐบาล ทุกวันนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล หากเราเดินทางไปกดดันภาพจะออกมาไม่เหมาะสม หากไปแค่ 1-2 คนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ตนไม่ว่าอะไร  แต่หากไปบีบรัฐบาลกันเป็นหลายพันคน  แกนนำกลุ่มเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอิสานไม่เห็นด้วย  หากไปในนามส่วนตัวถือว่าเป็นสิทธิ แต่เราจะไม่ทำในนามองค์กรอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ตนแจ้งความประสงค์กับแกนนำ นปช. ให้รับทราบแล้ว และ ทางแกนนำก็ไม่ได้มาเคลียร์แต่อย่างใด
                ด้านนางธิดา กล่าวว่า  กิจกรรมข้างต้นไม่ได้เป็นการทำในนาม นปช. ส่วนกลาง แต่เป็นการนำของนางสุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในการนำข้อเสนอนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์มาเสนอรัฐบาล ไม่ได้นำข้อเสนอ พรก.นิรโทษกรรมของ นปช. มายื่นใหรัฐบาล งานนี้เปรียบเสมือนกฐินคนละกอง เราเสนอ พรก.ทุกกลุ่มทุกสี แต่เขาเสนอในลักษณะให้แก้รัฐธรรมนูญจึงไม่เหมือนกัน เราจะเอากฐินของเขาแล้วทิ้งของเรามันไม่ได้ และข้อเสนอของ นปช. ไม่ได้ออกมาในลักษณะกดดันรัฐบาล 
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่รัฐสภา นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า กรณีแกนนำ นปช.จะยื่น ร่างพ.ร.ก.นิรโทษกรรมต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีใน 29 ม.ค.  นั้นเรื่องการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม นายกรัฐมนตรีต้องให้ความเห็นชอบ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องประกาศจุดยืนและท่าทีที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรกับเรื่องนี้ ไมเช่นนั้นจะมีคำถามว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา184 ที่บัญญัติว่าการออกพ.ร.ก.จะต้องจำเป็น เร่งด่วนและฉุกเฉินหรือไม่
หากพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวผ่านไปได้แล้วก็จะถือเป็นการชิมลางหรือเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำการทุจริตในโอกาสต่อไปหรือไม่  ซึ่งหากแกนนำ นปช.นำเรื่องนี้ไปหารือกับนายกรัฐมนตรีจริง ก็ต้องมีคำตอบให้เจนซึ่งฝ่ายค้านนั้น เห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ส่วนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้นยังไม่จำเป็นต้องตอบคำตอบในตอนนี้ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าว.
"ใครผิดก็ไปจับมา" "ผบ.ทบ." ลั่นทหารไม่เกี่ยวยิงรถข่าวเอเอสทีวี-ผู้จัดการ ยันไม่ปรับแผน รปภ.ครูใต้วอนขอความร่วมมือกับทหาร... 

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 28 ม.ค. ที่กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีคนร้ายใช้อาวุธปืนบุกยิงรถข่าวของสำนักข่าวเอเอส ทีวี-ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า เรื่องดังกล่าวนั้นทางกองทัพไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งต่างคนต่างต้องเคารพซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้สนับสนุนเรื่องการใช้ความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวเพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย 
เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าไม่มีกำลังพลนอกแถวเข้าไปเกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า"ไม่เกี่ยวข้องขอให้ไปสอบสวนกันใครผิดก็ไปจับมา"
พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวก่อนเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า จะหารือร่วมกับ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งปัญหาเรื่องโรฮิงญา ต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของทหารเองก็มีหน้าที่สนับสนุน เฝ้าระวังซึ่งเราดำเนินการทุกปี แต่ครั้งนี้มีการลักลอบมารวมกลุ่มกันเพื่อไปทำความผิด มีการลักลอบเข้ามาทางบกมากพอสมควร และรัฐบาลก็ประกาศว่า จะให้การสนับสนุนตามหลักมนุษยธรรมสักระยะก่อน จากนั้นจะดำเนินการแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะระดับอาเซียน หรือประชาคมอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคนไทย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่ภาคใต้ว่า แผนและคำสั่งนั้นได้เขียนไว้ชัดเจนอยู่ที่การนำไปปฏิบัติ ทั้งเจ้าหน้าที่และครูต้องบูรณาการร่วมกันว่าจะทำอย่างไร ต่อให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ดำเนินการเต็มรูปแบบถ้าครูไม่ร่วมมือด้วยก็ยากที่จะปลอดภัย100% 
"ผมไม่อยากโทษใครเพราะแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน บางพื้นที่สั่งการลงไปและไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่บางพื้นที่มีข้อตกลงกัน คนละแบบ โดยเป็นไปตามความสมัครใจของครู ทางทหารก็ไม่สามารถส่งคนไปดูแลครูเพียงอย่างเดียวได้ ส่วนครูก็ต้องไม่ออกนอกพื้นที่ตามเวลาหรือเส้นทางที่กำหนด แต่ยอมรับว่าครูก็คงอึดอัดในฐานะที่เป็นเป้าหมายก็ต้องระมัดระวัง อย่างไรก็ตามแผนการดูแลความปลอดภัยครู ไม่มีความจำเป็นต้องปรับ แต่ต้องไปหาทางจะเอากันอย่างไร เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่มุสลิม คนร้ายที่ยิงก็เป็นคนมุสลิม ต้องไปสอบหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร"ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการดูแลชายแดนเขาพระวิหารว่า ทหารดำเนินการดูแลมาโดยตลอดทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา สำหรับเส้นเขตแดนที่ชัดเจนนั้นไม่สามารถบุกรุกได้อยู่แล้ว หากมีการบุกรุกก็ต้องพูดคุยหรือต้องมีการปะทะกัน ส่วนบางพื้นที่ที่ยังเป็นข้อพิพาทก็ต้องไปว่ากันตามกระบวนการว่า จะไปฟ้องศาลโลกหรือประท้วงก็ว่ากันไป ทางทหารเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็รอรับฟังคำสั่งการปฏิบัติอยู่ ทหารในฐานะที่เป็นกองกำลังดูแลชายแดนเราจะตอบไปตามข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติคงไม่เป็นเรื่องที่ไปเข้าทางใคร 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ ต่อให้มีการบุกรุกหรือปะทะกันอย่างไรสุดท้ายก็ต้อง กลับมาสู่การพูดคุยเจรจาไม่ว่าจะระดับทวิภาคี พหุภาคี หรือสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ตามใจ.
คนร้ายแอบนำยางรถ จยย. มาพาดกับกล้องวงจรปิดของ อบต.แป้น ก่อนจุดไฟเผาเสียหายจำนวน 3 ตัว ตำรวจปัตตานีคาด คนร้ายน่าจะก่อเหตุช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เพื่อต้องการไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์...
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ม.ค. พ.ต.อ.จีรเศรษฐ ดาวเงินตระกูล ผกก.สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ อบต.แป้น ว่ามีกล้องวงจรปิดถูกเผาเสียชีวิต จำนวน 3 ตัว เหตุเกิดที่ ม.1 ต.แป้น จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบกล้องวงจรปิดถูกคนร้ายนำยางรถ จยย.มาพาดไว้กับกล้องวงจรปิด แล้วจุดไฟเผาจนเสียหายจำนวน3ตัวในที่เกิดเหตุยังพบเศษยางรถจยย.และคราบน้ำมันตกที่พื้นถนน
สอบสวนทราบว่า กล่องวงจรปิดทั้ง 3 ตัวเป็นของ อบต.แป้น ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้าริมถนน คนร้ายน่าจะก่อเหตุช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เพื่อต้องการไม่ให้เจ้าหน้าที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่เพื่อสร้างสถานการณ์.
กองทัพจีนประสบความสำเร็จทดสอบการบิน เครื่องบินลำเลียงพลเสริมแผนยุทธศาสตร์ รุ่นวาย-20 ขณะที่เกาหลีเหนือประกาศเดินหน้าโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่...
เมื่อ 26 ม.ค. หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ สื่อรัฐบาลจีน รายงานข่าวกองทัพจีนประสบความสำเร็จในการทดสอบการบินของเครื่องบินลำเลียงพลรุ่นวาย-20 บริเวณน่านฟ้าในภาคตะวันออกของจีนเมื่อวันที่ 25 ม.ค. และผู้เชี่ยวชาญด้านการบินประจำกองทัพจีนระบุว่า  เครื่องบินวาย-20 ช่วยส่งเสริมแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพในการปฏิบัติการระดับภาคพื้นทวีป เพราะวาย-20 เป็นเครื่องบินบรรทุกยานพาหนะลำใหญ่ที่สุดที่จีนประกอบขึ้นเอง ทั้งยังสามารถรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง66ตันทั้งยังช่วยให้การบรรทุกรถถังและลำเลียงกองทัพจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยืนยันว่าการพัฒนาเครื่องบินบรรทุกรถถังของกองทัพจีนไม่มีเป้าหมายเพื่อมุ่งโจมตีประเทศใด พร้อมระบุว่า โครงการทดลองต่างๆ ของกองทัพจีนใช้เงินงบประมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และน้อยกว่างบประมาณกองทัพของประเทศอื่นๆแถบเอเชีย
ขณะที่สถานีโทรทัศน์แห่งชาติเกาหลีเหนือ รายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ แถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการกลาโหมแห่งชาติเมื่อ 26 ม.ค. ระบุว่า เกาหลีเหนือกำลังเผชิญภัยคุกคามจากต่างชาติ กองทัพเกาหลีเหนือจึงต้องผลักดันมาตรการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้และรัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่าเป็นการประกาศเดินหน้าโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่ของเกาหลีเหนือ.
เครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบัน นัดรวมตัวที่สำนักงานคณะผู้แทนอียูประจำประเทศไทย 31 ม.ค.นี้ ชี้การออกแถลงการณ์ปกป้อง สมยศบก.วอยซ์ออฟทักษิณ หมิ่นเบื้องสูง ถือล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย จี้ กต.อยู่เฉยไม่ได้       
       วันนี้ (28 ม.ค.) นายธนบดี วรุณศรี ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบัน กล่าวว่า ในวันที่ 31 ม.ค. เวลา 09.00 น. ทางเครือข่ายฯ ได้นัดหมายไปยังสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) อาคารเคี่ยนหงวน 2 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย กรณีที่ก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และคณะเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย มีมติร่วมกันออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงต่อคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินจำคุกนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ เป็นเวลา 10 ปี โดยมีความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112มีผลต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น       
       นายธนบดีกล่าวว่า เราต้องดำเนินการเพื่อสอนให้เขารู้ว่าการแสดงออกของอียูต่อกรณีศาลตัดสินจำคุกนายสมยศ คือการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของชาติไทย ไม่ใช่แค่เรื่องไร้มารยาท หรือแทรกแซงกิจการภายในเท่านั้น เนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์การพิพากษาคดีในครั้งนี้ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 233 ที่บัญญัติว่า การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ เพราะเหตุว่าอำนาจตุลาการ คือ 1 ใน 3 เสาหลักของอำนาจอธิปไตย จึงถือว่าเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย ที่ต้องได้รับการสั่งสอน และกระทรวงการต่างประเทศจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ แต่ต้องสั่งสอน และทำความเข้าใจต่อประเทศในสหภาพยุโรปทั้งหมด
นางสาวสุดา รังกุพันธุ์ ผู้ประสานงานแนวร่วม 29 มกราฯ ปลดปล่อยนักโทษการเมือง กล่าวถึง การเดินทางไปชุมนุมและยื่นข้อเรียกร้องต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่  29 มกราคม 2556 ว่า จะไปยื่นร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ตามแนวทางของ "กลุ่มนิติราษฎร์" ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ที่แกนนำ นปช. จะยื่นต่อรัฐบาล โดยทราบจากสื่อมวลชนว่ามีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่ในการดำเนินการแยกต่างหากจากกัน 
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า แกนนำ นปช. บางคนสะกัดมวลชนที่จะมาเข้าร่วมชุมนุมกับ แนวร่วม  29 มกราฯ นางสาวสุดา กล่าวว่า มีพี่น้องแจ้งเข้ามาว่า ในพื้นที่ มีการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและขัดแย้งกับเป้าหมายของกลุ่ม 29 มกราฯ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีแกนนำ นปช.คนใดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ขณะที่เป้าหมายของแนวร่วม 29 มกราฯ ต้องการให้ปลดปล่อยนักโทษการเมืองต้องการเห็นการนิรโทษกรรม 
สำหรับวัตถุประสงค์ในการยื่นข้อเรียกร้องพรุ่งนี้(29 ม.ค.) เพื่อต้องการให้รัฐบาลนำร่างรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาให้พิจารณา 2 สภาในคราวเดียว เป็นร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ตามแนวทางนิติราษฎร์ เป็นโอกาสที่จะหาทางออกให้วิกฤตการเมืองไทย ซึ่งมีประชาชนได้รับผลกระทบตั้งแต่ปี 2553 
สำหรับสาเหตุที่ใช้วิธีรวมตัวชุมนุม ไม่ใช้วิธีการเข้าชื่อประชาชน 50,000 รายชื่อ เพราะวิธีการเข้าชื่อ ไม่ได้ทำให้เกิดผลที่แท้จริง แม้จะเป็นสิทธิ์ของประชาชน เช่น กรณีรณรงค์เข้าชื่อให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถูกจำหน่ายทิ้งโดยประธานรัฐสภา แสดงให้เห็นว่า ลายเซนต์ ของประชาชน ไม่ได้รับการให้คุณค่าโดยรัฐสภา 
นางสาวสุดา กล่าวด้วยว่า การชุมนุมพรุ่งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมในหลักหมื่นคน โดยเป็นกลุ่มอิสระที่รวมตัวเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมอย่างแท้จริงให้นิรโทษกรรมผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่การชุมนุมปี 2553 หวังว่ารัฐบาลจะรับฟัง การปรากฎตัวของประชาชน เป็นไปเพื่อให้รัฐบาลเห็นความจำเป็นที่ต้องผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ในสมัยนิติบัญญัตินี้ ซึ่งจะปิดในเดือนเมษายน 
เมื่อถามว่า การชุมนุมจะทำให้เกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและคนเสื้อแดงหรือไม่ นางสาวสุดา กล่าวว่า นี่คือการชุมนุมของประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล อยากเห็นภาพมิติใหม่ของการเรียกร้องโดยสงบไม่ใช่การต่อต้านอำนาจรัฐ ในขณะที่สังคมไทย มักมองภาพการชุมนุมในแง่ลบอยู่เสมอ ทั้งที่การใช้สิทธิการชุมนุมของประชาชนเป็นโอกาสที่ประชาชนจะสื่อสารทางตรงถึงรัฐบาล เป็นการชุมนุมที่มีเหตุผล มีข้อเสนอชัดเจนปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่การกดดันรัฐบาล เพราะไม่ได้เรียกร้องให้มีการออกกฎหมาย แต่เป็นการเรียกร้องให้ผลักดันกฎหมายเข้าสู่รัฐสภา และ อยากให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมารับเรื่องด้วยตัวเอง เพราะเป็นผู้นำสูงสุด มีอำนาจตัดสินใจดูแลความเดือดร้อนของประชาชน และ นายกฯ มีความเห็นใจประชาชน เป็นนายกฯ ที่คนเสื้อแดงรัก น่าจะออกมาพบปะพูดคุยกับประชาชนที่สนับสนุนท่าน   

สำหรับประเด็นที่ช่วงเวลาเดียวกันนี้ พรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. หากมีการชุมนุมจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย หรือไม่นั้น นางสาวสุดา กล่าวว่า การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง จะเป็นการให้ภาพที่ดีต่อรัฐบาล ไม่ใช่การนิ่งเฉย และการเคลื่อนไหวให้แก้ปัญหาเป็นสิ่งปกติ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ศักยภาพในการจัดการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ดังนั้น เชื่อว่าความจริงใจของรัฐบาล จะเป็นผลดีต่อรัฐบาล
คนร้ายลอบวางเพลิงเผากล้องวงจรปิดในพื้นที่อำเภอมายอ และปานาเระ เสียหาย 13 ตัว ขณะที่เกิดเหตุระเบิดบนถนนสายชนบท ม.5 อำเภอทุ่งยางแดง ไร้คนเจ็บ ขณะที่คดียิงครูชลธี เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน
เมื่อเวลา 08.30 น. วันนี้ (23 ม.ค.)พ.ต.อ.กองอรรถ สุวรรณขำ ผกก.สภ.มายอ จ.ปัตตานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดวิทยาการและชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงเผากล้องทีวีวงจรปิดในพื้นที่อำเภอมายอจำนวน 3 จุด โดยจุดแรกบริเวณสามแยกบ้านตลาดปาลัส  มีกล้องวงจรปิดถูกเผาได้รับความเสียหาย 4 ตัว และพื้นที่ ม.2 ตำบลเกาะจัน จำนวน 3 ตัว ม.3 ตำบลถนน จำนวน 3 ตัว รวม 10 ตัว ขณะที่บริเวณตลาดเทศบาลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ มีกล้องวงจรปิดถูกเผาเสียหาย จำนวน 3 ตัว 
จากการสอบสวนทราบ พบว่าคนร้ายปิดบังใบหน้าเข้ามาก่อเหตุในช่วงเวลา 04.00 น. โดยนำยางรถ จยย.มาพาดไว้บนตัวกล้องแล้วจุดไฟเผา เชื่อคนร้ายเป็นกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ที่ได้รับคำสั่งจากแกนนำเพื่อทำลายกล้องวงจรปิดทุกตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหว และการใช้เส้นทางเพื่อหลบหนีหลังการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ซึ่ง พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิวัฒนชัย ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัว ชื่อน่าจะเห็นตัวคนร้าย และน่าจะเป็นแนวร่วมชุดเดิมที่เคยก่อเหตุ
ขณะเดียวกันเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณถนนสายชนบท ม.5 ตำบลปากู  พ.ต.อ.โกวิทย์ รัตนโชติ ผกก.สภ.ทุ่งยางแดง นำกำลังพร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ โดยกั้นบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อป้องกันเหตุซ้ำซ้อน จากการตรวจสอบไม่มีใครได้รับอันตราย พบเพียงหลุมระเบิด และชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นตลาดนัดเก่า และเส้นทางดังกล่าวส่วนใหญ่จะไม่มีใครใช้เนื่องจากเป็นป่าพรุ อีกทั้งช่วงเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยใดผ่านเส้นทางดังกล่าว จึงเชื่อว่าคนร้ายวางระเบิดไว้ล่วงน่า หวังลวงเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหมายสังหารแต่ระเบิดทำงานเองเสียก่อน
ที่จังหวัดนราธิวาส
 วันนี้โรงเรียนในเขตสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาทั้ง 3 เขต ได้เปิดเรียนตามปกติแล้ว โดยเฉพาะโรงเรียนบ้านตันหยง หมู่ 4 ตำบลบาเร๊ะใต้ อำเภอบาเจาะ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่คนร้ายยิงครูชลธี เจริญชน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา บรรยากาศยังไม่คึกคักจากจำนวนนักเรียน 292 คน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เดินทางมาเรียน 70 คนเท่านั้น ขณะที่ครูจาก 14 คน มา 7 คน ทำให้บรรยากาศช่วงเข้าแถวก่อนเข้าเรียนเป็นไปด้วยความเงียบเหงา และโศกเศร้า โดยเฉพาะเมื่อนางไยนง โต๊ะเละ ครูผู้สอนชั้นอนุบาล ได้กล่าวกับนักเรียนระหว่างเข้าแถว ว่าแม้จะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น แต่ขอให้นักเรียนทั้งหมดมีความเข้มแข็ง และมาเรียนตามปกติทุกวัน รวมถึงคุณครูทุกคนพร้อมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำให้อารมณ์ในขณะนั้นทั้งครู และนักเรียนถึงกับร้องไห้ด้วยความระลึกถึงครูชลธี
ส่วนทางคดียิงครูชลธี ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 2 คน และได้ใช้กฎอัยการศึกในการควบคุมตัวนำไปสอบสวน มีรายงานว่า เป็นเพียงคนดูเส้นทางในวันเกิดเหตุเท่านั้น ทำให้วันนี้กำลังตำรวจ, ทหาร, และฝ่ายปกครอง ของสถานีตำรวจภูธรบาเจาะ ได้ระดมกำลังตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายบริเวณหมู่บ้านตันหยง หมู่ 4 ตำบลบาเร๊ะใต้เพิ่มเติม และเพื่อเป็นการกดดัน เพราะเชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุยิงครูชลธีน่าจะยังอยู่ในพื้นที่
ด้านผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 22 ได้ตรวจความพร้อมกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยครู พร้อมกับให้กำลังใจครูในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดปัตตานี หรือบางจุดถูกเรียกว่าพื้นที่สีแดง บางคนถึงกับร้องไห้ แม้จะมีความหวาดกลัว แต่ยังยืนยันไม่ขอย้ายออกจากพื้นที่ เพียงขอให้รัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือครู 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น