นำก่อแก้วขังเรือนจำหลักสี่-แกนนำให้กำลังใจ | |||
|
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นำก่อแก้วขังเรือนจำหลักสี่-แกนนำให้กำลังใจ เมื่อ 30 พ.ย.55
แจ้งจับเลขาสมาพันธ์เสื้อแดงหลอกเงิน1ล้าน เมื่อ 30 พ.ย.55
แจ้งจับเลขาสมาพันธ์เสื้อแดงหลอกเงิน1ล้าน | |||
|
"กกต."รับเรื่องแล้ว!! ปม"มาร์ค"ถูกปลดทหารใช้เอกสารเท็จ เมื่อ 29 พ.ย.55
"กกต."รับเรื่องแล้ว!! ปม"มาร์ค"ถูกปลดทหารใช้เอกสารเท็จ | |||
|
ศาลสั่งถอนประกัน "ก่อแก้ว พิกุลทอง" ส.ส.แกนนำนปช. นอนคุกซ้ำรอย "เจ๋ง ดอกจิก" เมื่อ 29 พ.ย.55
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นรข.จับพ่อค้าไทยลักลอบนำเข้าข้าวเปลือกจากลาวสวมสิทธิโครงการจำนำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่สถานีเรือเชียงคาน อำ
นรข.จับพ่อค้าไทยลักลอบนำเข้าข้าวเปลือกจากลาวสวมสิทธิโครงการจำนำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่สถานีเรือเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย น.อ.ดุสิต จันทราช ผบ.นรข.เขตหนองคาย และ น.ต. วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หน.สถานีเรือเชียงคาน นำของกลาง ข้าวเปลือก บรรจุถุง จำนวน 13 กระสอบ น้ำหนัก 650 กิโลกรัม รถยนต์กระบะโดโยตา ทะเบียน บท.6444 เลย พร้อมนายจิระพงศ์ จูมเกตุ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเล
ขที่ 6/5 ม.3 ตำบลเชียงคาน และนายอุทิตย์ ตรงดี อายุ 30 ปี บ้านเลขที่ 4
/1 ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย น่าจะเป็นพ่อค้าลักลอบนำข้าวเปลือกจาก สปป.ลาว เพื่อนำไปสวมสิทธิในการรับจำนำ แต่ผู้ต้องหาบอกว่าเป็นเพียงคานรับจ้างขนเท่านั้น ได้ค่าจ้างขนตันละ 1 พันบาท
โดย น.อ.ดุสิต แถลงว่า พล.ร.ต.รังสรรค์ โตอรุณ ผบ.รนข. ได้รับแจ้งว่า จะมีการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจาก สปป.ลาวเข้ามาในฝั่งไทย โดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร ตนจึงมอบให้ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หัวหน้าสถานีเรือเชียงคาน นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ไปดักซุ่มบริเวณบ้านหาดแห่ ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตามที่สายรายงาน อยู่ตรงข้ามบ้านผาลาด สปป.ลาว
โดยกำลังเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนและดักซุ่มหาข่าว ณ ท่าจอดเรือ บ้านหาดแห่ หมู่ที่ 5 เวลาประมาณ 19.30 น พบรถยนต์และบุคคลต้องสงสัย กำลังลำเลียงสิ่งของบางอย่างจากเรือขึ้นรถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน จึงประสานขอรับการสนับสนุนไปยังหน่วยเพื่อสกัดเส้นทางที่คาดว่ารถบรรสิ่งของจะวิ่งผ่าน พร้อมแสดงตัวเข้าตรวจค้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่พยายามหลบหนี กลุ่มที่อยู่ในเรือได้ผลักเรืออกจากฝั่งหนีไปยังฝั่ง สปป.ลาว และรถยนต์กระบะบรรทุก 1 ใน 2 คันขับหลบหนีไปก่อนที่ชุดสกัดมาถึง
ผลการตรวจค้นรถยนต์กระบะที่ไม่สามารถหนีได้ พบของกลางในกระบะ จำนวน 13 กระสอบปุ๋ย พร้อมกับชายสองคน ดังก่าวข้างต้น สอบสวนเบื้อต้น ชายทั้งสองคนให้การว่า รับจ้างขนไปส่งให้กับโรงสีข้าวบ้านธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอเชียงคานจังหวัดเลย โดยบอกว่าค่าจ้างเท่าไหร่ จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เชียงคาน และด่านศุลกากรเพื่อ ดำเนินคดีตามกฏหมาย
โดย น.อ.ดุสิต แถลงว่า พล.ร.ต.รังสรรค์ โตอรุณ ผบ.รนข. ได้รับแจ้งว่า จะมีการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจาก สปป.ลาวเข้ามาในฝั่งไทย โดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร ตนจึงมอบให้ น.ต.วิรพงค์ เจนจรัสชีวกุล หัวหน้าสถานีเรือเชียงคาน นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ไปดักซุ่มบริเวณบ้านหาดแห่ ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตามที่สายรายงาน อยู่ตรงข้ามบ้านผาลาด สปป.ลาว
โดยกำลังเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนและดักซุ่มหาข่าว ณ ท่าจอดเรือ บ้านหาดแห่ หมู่ที่ 5 เวลาประมาณ 19.30 น พบรถยนต์และบุคคลต้องสงสัย กำลังลำเลียงสิ่งของบางอย่างจากเรือขึ้นรถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน จึงประสานขอรับการสนับสนุนไปยังหน่วยเพื่อสกัดเส้นทางที่คาดว่ารถบรรสิ่งของจะวิ่งผ่าน พร้อมแสดงตัวเข้าตรวจค้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่พยายามหลบหนี กลุ่มที่อยู่ในเรือได้ผลักเรืออกจากฝั่งหนีไปยังฝั่ง สปป.ลาว และรถยนต์กระบะบรรทุก 1 ใน 2 คันขับหลบหนีไปก่อนที่ชุดสกัดมาถึง
ผลการตรวจค้นรถยนต์กระบะที่ไม่สามารถหนีได้ พบของกลางในกระบะ จำนวน 13 กระสอบปุ๋ย พร้อมกับชายสองคน ดังก่าวข้างต้น สอบสวนเบื้อต้น ชายทั้งสองคนให้การว่า รับจ้างขนไปส่งให้กับโรงสีข้าวบ้านธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอเชียงคานจังหวัดเลย โดยบอกว่าค่าจ้างเท่าไหร่ จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เชียงคาน และด่านศุลกากรเพื่อ ดำเนินคดีตามกฏหมาย
ขอเชิญ เยาวชน ทุกท่านร่วมกับเยาวชนทำดีเพื่อพ่อ ทำความสะอาด และ บริจาคเลือด ณ โรงพยาบาลศิริราช ใน 2 ธ.ค.55
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2555 เวลา 8.00 น.เป็นต้นไป ขอเชิญ
เยาวชน ทุกท่านร่วมกับเยาวชนทำดีเพ
บริจาคเลือด ณ โรงพยาบาลศิริราช และแจกข้าวสาร 5,000 ถุง เพื่อ
ถวายเป็นพระราชกุศลแด่
โอกาสมหามงคลเฉลิมพ
กำหนดการ
7.30 น. ลงทะเบียน
8.00 น.ร่วมร้องเพลงชาติ ประธานในพิธี ถวายแจกันดอกไม้หน้า
พระบรมฉ
8.30 น.ประธานในพิธีกล่าวเปิ
เพรียงกัน
16.00 น.ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ร่วมกันร้องเพลงสดุดีมหาราช
สรรเสริญพระบารมี
16.30 น.เริ่มแจกข้าวสารแก่ผ
อันเสร็จกิจกรรม
หนุ่มพิการสู้ชีวิตนอนถักพวงกุญแจให้แม่เร่ขาย เมื่อ 29 พ.ย.55
หนุ่มพิการสู้ชีวิตนอนถักพวงกุญแจให้แม่เร่ขาย หนุ่มใหญ่วัย ๔๕ ปี ประสบอุบัติเหตุต้องตัดขาทิ้งเดินไม่ได้กว่า ๓๐ ปี นอนถักพวงมาลัยจากสายน้ำเกลือ ฟิล์มเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลทิ้ง ให้แม่วัย ๖๗ ออกเดินเร่ขายในตัวเมืองอันละ ๑๐ บาท นำเงินมาเลี้ยงหลานอีก ๓ คน" สามารถติดต่อช่วยเหลือสั่งซื้อพวงกุญแจโดยตรง ที่ ๐๘๖-๐๓๕๙๒๑๑ ชื่อนางบุญธรรม สำราญอยู่ อยู่บ้านเลขที่ ๑๒๖/๑ ม.๑ ต.ชัยนาม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
เสธอ้าย"กลับลำ พร้อมนำอพส.ก่อม็อบต่อ "เฉลิม"ชี้แค่พักยก-เชื่อคดี99ศพตัวเร่ง วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 11:26:33 น. (ที่มา:หน้า1 มติชนรายวัน 28 พ.ย.2555)
"เต้น-เฉลิม"แฉขบวนการล้มรบ.ยังอยู่แค่พักยก ชี้คำสั่งศาลชันสูตรคดี 99 ศพตัวเร่ง เลขาฯสมช."ชี้ อพส.ฟังซักฟอกหาประเด็นโค่นรัฐบาล
"อ้าย"คุยพร้อมนำม็อบอีก
อดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 พร้อมภรรยากว่า 30 คน และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสี เข้าพบ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน เพื่อให้กำลังและมอบช่อดอกไม้ หลังจากที่ พล.อ.บุญเลิศประกาศยกเลิกการ ชุมนุมและประกาศยุติทุกบทบาทเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
จากนั้น พล.อ.บุญเลิศกล่าวถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของ อพส.ว่า ยังไม่มีกำหนดว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ต้องการประชุมกันอีกที หากมีการระดมมวลชนอีก เชื่อว่าจะมีผู้ชุมนุมเข้าร่วมจำนวนมาก "ทั้งนี้ ไม่ขอเป็นแกนนำแล้ว ส่วนใครจะขึ้นมาแทนนั้นยังไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกันภายใน อพส.ว่าใครจะเป็นแกนนำ ซึ่งอาจจะเป็น พล.อ. ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ หรือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็ได้ แต่หากประชาชนเรียกร้องให้ผมเป็นผู้นำในการชุมนุมครั้งต่อไปก็พร้อมรับหน้าที่ต่อ" พล.อ. บุญเลิศกล่าว
เผยได้เงินบริจาคไม่เกิน2ล.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ห่วงหรือไม่ที่ถูกสมาชิกพรรคเพื่อไทยแจ้งความดำเนินคดีข้อหากบฏและซ่องโจรระหว่างชุมนุม พล.อ.บุญเลิศกล่าวว่า ไม่ห่วง แต่จะแจ้งความกลับอีกด้วย ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประกาศยกเลิกการชุมนุมมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับคนในรัฐบาล รวมไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยืนยันว่าวันนี้กำลังใจยังดีอยู่ ไม่ได้รับงานเพื่อมาจุดประกายในเรื่องของการชุมนุม สำหรับการดูแลเยียวยา ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ทาง อพส.จะเป็นผู้ดูแลเอง โดยจะตั้งศูนย์ช่วยเหลือ แต่จะต้องดูอีกทีว่า ตอนนี้มีเงินสำหรับการเยียวยามากน้อยเพียงใด และจะพยายามดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
"จะดูว่าเงินที่ได้รับบริจาคเหลือเท่าไหร่ แล้วจะช่วยคนละเท่าไหร่ ตามกำลัง ตอนนี้มีการคุยเรื่องนี้แล้ว ที่เราไปตั้งรับบริจาคได้ 5 แสนกว่า มีคนโอนเข้าบัญชีผมบ้างคนอื่นบ้าง 1 ล้านบาท รวมทั้งหมดไม่เกิน 2 ล้าน ต้องรอดูค่าเครื่องเสียงก่อนว่าจะเหลือเท่าไหร่" พล.อ.บุญเลิศกล่าว
"ตุลย์"ลุยต่อต้นปีคุย"จัดใหญ่"
ด้าน นพ.ตุลย์กล่าวว่า การเดินการมาพบ พล.อ.บุญเลิศ เพื่อพูดคุยและให้กำลังใจ รวมไปถึงขอคำปรึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ เสื้อหลากสียินดีที่จะเข้าร่วมกับทุกกลุ่มที่ปกป้องประเทศชาติ และราชบัลลังก์ ส่วนการชุมนุมครั้งต่อไปต้องดูเงื่อนไขและความพร้อมของแนวร่วมด้วย ทั้งนี้ คิดว่าจะยังไม่มีการชุมนุมไปจนถึงสิ้นปี
"แต่ต้นปีหน้ามีโอกาสสูงที่จะชุมนุมอีกครั้ง และครั้งต่อไปจะเป็นการชุมนุมใหญ่ เพราะหากจัดการชุมนุมเล็กๆ ไม่มีประโยชน์" นพ.ตุลย์กล่าว และว่า การชุมนุมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความรุนแรง เพราะสิ่งที่จะล้มรัฐบาลได้คือผลงานของรัฐบาลเอง ส่วนการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เราแพ้ความไม่ถูกต้อง ประชาชนไม่ได้มาเพื่อตนและ พล.อ.บุญเลิศ แต่มาเพราะรักบ้านเมือง
ที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการประกาศยุติการชุมนุมของ พล.อ.บุญเลิศว่า เป็นการยุติการเคลื่อนไหวในระยะนี้เท่านั้น และขบวนการที่ต้องการปิดประเทศจากกระบวนการเดิมยังเดินหน้าอยู่ แต่จะออกมาในรูปแบบหรือองค์การใดยังต้องติดตามดู คิดว่ากระบวนการเหล่านี้ยังมีอยู่
"เฉลิม"ชี้คำตัดสินคดี99ศพตัวเร่ง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณี พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รายงานว่า ช่วงปีใหม่กลุ่ม อพส.อาจจะกลับมาชุมนุมอีกครั้งว่า "ยังไม่จบหรอก แค่มวยพักยก มีแน่ และมีหลายกลุ่ม เพราะว่าศาลสั่งคดี 99 ศพ อีกคดีแล้ว ซึ่งจะมีคนถูกจับ เรื่องฆ่าคนตาย ใครสั่งโดนแน่ ชัดเจนศาลสั่งอีกคดี ตรงนี้คือตัวเร่ง"
เยี่ยมตร.เจ็บ - พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.เยี่ยมอาการบาดเจ็บตำรวจสังกัด สภ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนหลังกลับจากการดูแลผู้ชุมนุมที่ กทม.ซึ่งมีตำรวจบาดเจ็บ 8 นาย ที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน |
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการชุมนุมต่อใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า แน่นอน เดินหน้าผ่าความจริงสำเร็จแล้ว ผู้ตาย ตายอย่างไร รับคำสั่งใคร และยืนยันว่าช่วงปีใหม่จะมีการชุมนุมอีกครั้งแน่นอน
คาดรอฟังซักฟอกหาช่องโค่นรบ.
พล.ท.ภราดรกล่าวว่า ที่ประกาศยกเลิกชุมนุมและยุติบทบาทของ พล.อ.บุญเลิศ ไม่ใช่เป็นการหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เป็นการชะลอเพื่อดูในเรื่องต่างๆ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า อพส.จะชุมนุมก่อนวันที่ 20 ธันวาคมนั้นคงไม่ใช่ เพราะเชื่อว่าจะเคลื่อนไหวอีกครั้งในต้นปีหน้า สำหรับการเคลื่อนไหวต่อไป เชื่อว่า อพส.จะทำในรูปแบบค่อยๆ เป็นค่อย ไปตามระดับ ขณะนี้กำลังหาผู้นำในการชุมนุมครั้งต่อไปอยู่
"การข่าวตอนนี้ยังไม่มีอะไรใหม่ อพส.กำลังรอสำหรับการออกมาชุมนุมอีก ขณะนี้เขากำลังติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจากฝ่ายค้าน เพื่อที่หาประเด็นในการโจมตีรัฐบาล เช่น เรื่องสภาอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเสธ.อ้ายไม่สามารถขึ้นเป็นแกนนำในการชุมนุม ได้แล้ว เพราะสร้างเงื่อนไขให้บีบรัดตัวเอง" พล.ท.ภราดรกล่าว
"บัวแก้ว"เชื่อทูตพอใจรบ.คุมม็อบ
เวลา 15.30 น. วันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ เชิญคณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศมารับฟังคำชี้แจง หลังรัฐบาลประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้บรรยายสรุปให้กับคณะทูตที่มาร่วมรับฟังกว่า 30 ประเทศ จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า แจ้งให้คณะทูตทราบถึงการดำเนินงานของรัฐบาลว่าสอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎบัตรระหว่างประเทศ ทั้งยังให้ความยุติธรรมกับกลุ่มผู้ประท้วง หลังฟังบรรยายสรุปไม่มีใครติดใจหรือมีคำถามใดๆ คิดว่าผู้แทนสถานทูตน่าจะพอใจกับคำอธิบายเพราะเหตุการณ์ผ่านไปอย่างสันติไม่มีการเสียเลือดเนื้อ และหวังว่าบางประเทศที่ออกประกาศเตือนการเดินทางไปในพื้นที่ ซึ่งมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯก่อนหน้านี้ก็จะยกเลิกคำประกาศในเร็วๆ นี้
ตร.เร่งดำเนินคดีฝ่าฝืนกม.มั่นคง
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ 10) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีที่กลุ่ม อพส. ปะทะกับตำรวจจากการชุมนุมและถูกจับกุม, ฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมร่วมกับพนักงานสอบสวนว่า ในส่วนของการดำเนินคดีผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งมี 2 จุดคือ ที่สะพานมัฆวานฯและแยกสวนมิสกวัน โดยได้ติดตามผล เนื่องจากมีการจับกุมผู้ต้องหาเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาส่วนนั้น ซึ่้งได้แบ่งงานและเร่งรีบในการทำ เพราะคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลแขวง มีอำนาจในการผัดฟ้องผู้ต้องหา ได้เต็มที่ 30 วัน จึงต้องรีบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรียกพยานหรือผู้ต้องหาสอบเพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์กล่าวว่า ไม่มี ในส่วนของผู้ต้องหา แต่มีในส่วนของพยานที่ต้องรีบสอบสวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงพยานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่วันนั้น เมื่อถามว่าคดีที่เกิดขึ้นที่มีการแจ้งความในพื้นที่ สน.ดุสิต และ สน.นางเลิ้ง จะนำมารวมกันด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์กล่าวว่า ของ สน.ดุสิต มี 10 คดี ผู้ต้องหา 10 คน ให้พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ดำเนินการไป เพราะเป็นความผิดเฉพาะบุคคล
เมื่อถามว่ากรณีที่ พล.อ.บุญเลิศจะถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏหรือไม่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์กล่าวว่า ยังไม่ไปถึงจุดนั้น
เผยผิดกม.มั่นคงมี127คน
พล.ต.อ.ชัชวาลย์กล่าวว่า ผู้ต้องหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯทั้งหมด มี 127 คน ค่อนข้างนิ่งและลงตัวหมดแล้ว ตอนนั้นอาจยังไม่ชัดเจน เพราะมีบางส่วนไปรักษาตัว จำนวนตัวเลขจึงอาจคลาดเคลื่อน โดย 10 คน ที่เป็นของ สน.ดุสิต จบไป ที่สะพานมัฆวานฯ มี 97 คน และแยกสวน มิสกวัน มีทั้งหมด 30 คน แบ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงเช้า 16 คน และช่วงบ่าย 14 คน รวม 30 คน บวก 97 คน รวมทั้งสิ้น 127 คน จากการสอบปากคำผู้ต้องหาส่วนใหญ่ให้การปฏิเสธ และไม่มีการพูดถึงแกนนำ ซึ่งในส่วนนี้อยู่ในสำนวนการสอบสวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ต้องหา 10 ราย ที่ถูกดำเนินคดีที่ สน.ดุสิต ถูกตำรวจที่ตั้งด่าน บริเวณแยกขัตติยานี จับแจ้งข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ 1 ราย ส่วนอีก 9 ราย ถูกแจ้งข้อกล่าวหาพกพาอาวุธมีดและพกพาวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณแยกวัดเบญจมบพิตรฯ อย่างไรก็ตาม บช.นตั้งศูนย์ปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจ นครบาล เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน สามารถมาแจ้งความร้องทุกข์ได้
ผบ.ตร.ชี้ต้องดำเนินคดีแกนนำ
เวลา 12.00 น. ที่โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช. สกพ.) เข้าเยี่ยมอาการบาดเจ็บและให้กำลังใจตำรวจ สภ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน ขณะเดินทางกลับจากการเข้าดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุม ซึ่งพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 8 นาย โดย 3 นาย ยังอยู่ในห้องไอซียู
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ตำรวจกำลังใจยังดีอยู่ สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมของกลุ่ม อพส.นั้น ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย และ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ไปดำเนินการต่อ ต้องดูหลักฐานอย่างละเอียด ทั้งการประกาศต่างๆ การปราศรัย อภิปรายต่างๆ ต้องนำมาประกอบทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งพยายามฝ่าแนวกั้น ทาง พล.อ.บุญเลิศต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วยหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ต้องนำมาประกอบด้วย เพราะพื้นที่ตอนนั้นประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และประกาศล่วงหน้า มีการเตือน มีการเปิดเส้นทางเข้าพื้นที่ชุมนุมอยู่แล้ว กรณีนี้แกนนำต้องมีส่วนรับผิดตามกฎหมายด้วย
"โฆษกตร."ยันเคารพสิทธิสื่อ
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีตำรวจควบคุมตัวช่างภาพสื่อมวลชนขณะเกิดเหตุกลุ่ม อพส.ฝ่าแนวกั้นของตำรวจบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า เหตุการณ์วันดังกล่าวไม่มีใครแสดงตัวเป็นสื่อมวลชนแม้แต่คนเดียว บางส่วนอยู่บนรถของผู้ชุมนุมที่ผลักดันเข้าไปพื้นที่หวงห้ามด้วยซ้ำ หลายคนแจ้งว่าเป็นสื่อมวลชน ขณะที่บางคนไม่มีบัตรประจำตัวสื่อมวลชน เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนทราบว่าเป็นสื่อมวลชนจริงจึงปล่อยตัวไป แต่บางคนอยู่ในข่ายเป็นผู้กระทำผิดจริงๆ เข้าไปเป็นตัวผลักดันฝ่าแนวกั้นจริง อันนี้ต้องดำเนินคดี ยืนยันว่าการปฏิบัติหน้าที่ทุกจุดเคารพสิทธิของสื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า กรณีที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตนแถลงสาเหตุที่ตำรวจควบคุมตัวช่างภาพสื่อมวลชนว่าถ่ายภาพขณะเกิดเหตุรุนแรง ถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนนั้น ยืนยันว่าไม่เคยให้สัมภาษณ์ตามเนื้อหาดังกล่าวแต่อย่างใด น่าจะเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน พร้อมทั้งแนบซีดีบันทึกคลิปเสียงและเหตุการณ์ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน
"เรื่องนี้มีความโปร่งใสตั้งแต่ต้น ยืนยันอีกครั้งว่าตำรวจเคารพสื่อมวลชนทุกคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีบางคนแอบแฝงเข้ามาเพื่อปฏิบัติการบางอย่าง ตรงนี้ตำรวจมีการจับกุมดำเนินคดี เป็นไปตามพยานหลักฐาน" โฆษก ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ปิยะได้นำซีดีบันทึกการแถลงข่าวทุกช่วงเวลา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ออกแจกจ่ายสื่อมวลชนด้วย
มท.1ขอบคุณผู้ว่าฯดูแลม็อบ
นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ โฆษกกระทรวงมหาดไทย แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ในส่วนกระทรวงมหาดไทย ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีคำสั่งกำชับไปยังผู้ว่าฯ นายอำเภอทั่วประเทศให้เฝ้าระวังจับตาการเคลื่อน ไหวของมวลชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะใน 16 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับรายงานความเคลื่อน ไหวของกลุ่มมวลชนตลอดเวลา ทำให้ง่ายต่อการวางแผนและการบริหารจัดการ และล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือขอบคุณไปยังผู้ว่าฯทุกจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือกับการป้องกันความวุ่นวายอันจะเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่ผ่านมา และทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งทีมงานเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของมวลชนบางกลุ่มอย่างใกล้ชิด
แดงอุตรดิตถ์ให้กำลังใจปู
ที่ จ.นครราชสีมา นายอนุวัฒน์ ทินราช ประธาน นปช.นครราชสีมา พร้อมนายวันชัย หรือตี๋น้อย สมานจารุวรรณ แกนนำเครือข่ายเรดโคราช และแนวร่วมภาคีเครือข่ายกลุ่มคนโคราชรักประชาธิปไตย ร่วมกันมอบช่อดอกไม้ให้ พล.ต.ท.เชิด ชูเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมของ อพส.
ที่บริเวณอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก หน้าศาลากลาง จ.อุตรดิตถ์ นายปัณณวัฒน์ นาคมูล ประธานกลุ่ม นปช. จ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยสมาชิก นปช.และคนเสื้อแดงอุตรดิตถ์ ร่วมกันปล่อยรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียงพร้อมติดป้ายข้างรถเขียนข้อความสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ออกรณรงค์รอบเมืองอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นการกำลังใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร และในวันที่ 28 พฤศจิกายน มีกำหนดนำสติ๊กเกอร์ 10,000 แผ่น ออกไปแจกตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อร่วมกันส่งกำลังใจให้นายกรัฐมนตรี และมีกำลังใจบริหารบ้านเมืองให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ
3ช่างภาพแจ้งเอาผิดตร.กักขัง
ที่ สน.นางเลิ้ง เวลา 13.00 น. นายสันติ เต๊ะเปีย ช่างภาพหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการ นายทศฤทธิ์ วัฒนราษฎร์ ช่างภาพสำนักข่าวทีนิวส์ เเละนายพัฒนศักดิ์ วรเดช อายุ 33 ปี ช่างภาพสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมนายชาญวิทย์ กรอบเพชร และนายศักดิ์ณรงค์ พวงศิริ ทนายความอาสา จากสภาทนายความ เข้าพบ ร.ต.ต.ภูวิศ ศรีอ่อน พนักงานสอบสวน สน. นางเลิ้ง เพื่อเเจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายร่างกาย ขณะปฏิบัติหน้าที่บันทึกภาพระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม อพส. และมีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวาน รังสรรค์เเละแยกสวนมิสกวัน
นายสันติกล่าวว่า วันเกิดเหตุหลังจากตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุมเกิดปะทะกันขึ้นในช่วงเช้า จากนั้นตำรวจจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งมารวมไว้ใกล้กับที่ตนนั่งพักอยู่กับเพื่อนช่างภาพอีก 2 คน ทำให้ปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุม ก็เห็นตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาเตะเสยปลายคางผู้ชุมนุมคนหนึ่ง แล้วหันมาเห็นกลุ่มพวกตน จึงไม่แน่ใจว่าเกิดความกลัวว่าพวกตนได้บันทึกภาพไว้ หรืออารมณ์เหนื่อย เดินมาจับตนล็อกคอแล้วกดหัวลงทั้งๆ พยายามแสดงบัตรสื่อมวลชน และปลอกแขนสีเหลืองแล้วก็ตาม แต่ตำรวจนายนั้นไม่สนใจ จับตนกับเพื่อนช่างภาพรวม 3 คน ขึ้นไปขังไว้บนรถตากแดดกว่า 1 ชั่วโมง ตนได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายเป็นรอยช้ำเขียวจากการป้องกันตัวที่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจล็อกคอลากไปกักขัง
นายสันติกล่าวอีกว่า ไม่ได้เรียกร้องให้มาขอโทษ เพียงแต่อยากให้เป็นคดีตัวอย่างในการทำงานของสื่อรุ่นน้องๆ ต่อไป เพื่อให้ระวังตัวในการทำงาน เป็นบรรทัดฐานในการทำงานของสื่อ ได้ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาทำร้ายร่างกายเเละกักขังหน่วงเหนี่ยว เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกายเเละควบคุมไว้ในรถผู้ต้องขัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและสอบ สวนตามกระบวนการ
ปีหน้าสุกงอม !! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤศจิกายน 2555 04:03 น
เกาะกระแส
00 การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แม้จะผ่านพ้นยุติลงไปแล้วอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ทั้งฝ่ายที่ให้กำลังใจหรือแม้แต่ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร เริ่มจากคำถามจากแรกก่อนว่าทำไมถึงเลิกเร็วนักทั้งที่จะว่าไปแล้วจำนวนมวลชนที่เข้าร่วมในวันนั้นก็ไม่ใช่น้อยโหรงเหรงเกินไปนัก เพราะในตอนเย็นวันนั้นยังมีคนทยอยเข้าร่วมเรื่อยๆ แต่เอาเถอะในเมื่อบอกว่ายุติก็ยุติ อาจมีเหตุผลในเรื่องความปลอดภัย ไม่อยากให้สูญเสียก็ว่ากันไป แต่อีกด้านหนึ่งก็คงประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกันนั่นคือฝั่งรัฐบาล เพราะเมื่อพิจารณาตามรูปการแล้วตั้งใจ“ทุบ” เต็มที่ สังเกตได้จากการเตรียมกำลังตำรวจเต็มพิกัด อีกทั้งยังมี “หน่วยซุ่ม” อยู่ตามอาคารสูงที่เห็นเงาวูบวาบมันก็ส่อเจตนาชัดว่า “เอาแน่”
00 งานนี้เป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่า “ตำรวจเป็นของทักษิณ” แทบเต็มร้อย และออกมาแบบเต็มใจที่จะปกป้องรัฐบาลปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยเห็นหรือไม่แม้แต่เสื้อยืดสีขาวของตำรวจในชุดลำลองครึ่งท่อนช่วงพักผ่อน บางคนยังสกรีนข้างหลังว่า “ตำรวจไพร่” เลย ก็ถือว่าชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมเป็นมือไม้ยอมพลีกายถวายชีวิต “เลือกข้าง” เหมือนกับที่เฉลิม อยู่บำรุง ได้เคยกล่าวเอาไว้จริงๆ
00 หลายคนเริ่มอ่านสถานการณ์ว่าแนวโน้มจะ “สุกงอม” ในปีหน้า และแน่นอนคนที่จุดชนวนก็ต้องมาจาก “เหลี่ยมจัด” ทักษิณ ชินวัตร คนเดิม เพราะนาทีนี้ยังไม่ได้ถึงเป้าหมายที่ต้องการเต็มร้อยนั่นคือการกลับมามีอำนาจอย่างเปิดเผย แม้ปัจจุบันจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่นั่นแหละสันดานแม้วที่ขี้คุย ชอบโชว์ก็ยังถือว่าไม่สำเร็จ แต่จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต้อง “ล้างผิด” เท่านั้น ซึ่งในสมัยประชุมหน้าในปีหน้าเป็น “นิติบัญญัติ” ก็ต้องรอจังหวะเสนอเข้ามาจนได้ โดยเฉพาะทั้งเรื่องแก้ รธน.และ พ.ร.บ.ปรองดองที่จ่อรอเอาไว้อยู่แล้ว และถ้าเป็นแบบนี้จริงถือว่าสุกงอมหรือเปล่าละ พี่น้อง !!
00 วกมาที่สถานการณ์ไฟใต้กันบ้างหลังจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยให้ความสำคัญไม่สนใจใยดี ทางหนึ่งเป็นเพราะไม่ใช่ฐานเสียงตัวเอง สองการแก้ปัญหามันสุดหิน ต้องใช้ความทุ่มเทจริงจังและจริงใจ ที่สำคัญไม่อาจ “แอ็กอาร์ต” โชว์พาวก็ไม่ได้ ไม่เชื่อก็ลองไปถาม “เหลิม บางบอน” ก็ได้เพราะจนบัดนี้ยัง “หัวหด” ไม่กล้าลงไปเหยียบพื้นที่แม้แต่นาทีเดียว เพราะของแบบนี้ไม่เหมือนกับการจับยาบ้าโชว์ อีกทั้งในแถบนั้นเป็น “เขตทหาร” ห้ามเข้าเขาจองสัมปทานกันแบบผูกขาด แต่ที่ได้ยินจนรำคาญก็คือการแก้ปัญหามาถูกทาง แต่ต้องขอเวลาอีกระยะ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกกี่ชาติ หรือต้องรอจนกว่ามีการ “ลงประชามติ” แยกตัวออกไปนั่นแหละถึงต้องยอมรับว่าหมดท่าแล้ว
00 มาวันนี้ที่บอกว่ามาถูกทางนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ผู้อำนวยการโรงเรียนท่ากำซำ อ.หนองจิกปัตตานีถูกโจรใต้สอยดับไปอีกหนึ่งราย เป็นรายที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้จำไม่ได้และขี้เกียจจำแล้ว แต่เศร้าแปล๊บไปถึงขั้วหัวใจ จนสมาพันธ์ครูชายแดนใต้ต้องมีมติให้โรงเรียนในจังหวัดดังกล่าวทั้งหมดหยุดสอนอย่างไม่มีกำหนด เพื่อกดดันให้ฝ่ายความมั่นคงทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย และวันที่ 7 ธ.ค.จะรวมตัวทั้งชายแดนใต้กดดันให้ รมว.ศึกษาฯ พงษ์เทพ เทพกาญจนา เยื้องย่างลงมาปรากฏตัวในพื้นที่ให้พวกคุณครูได้เห็น “เป็นบุญตา”สักทีเถอะ แต่นาทีนี้ได้แต่เจ็บใจที่เรามีรัฐบาลไม่เอาไหน ไม่เคยสนใจ ไม่ได้รักประชาชนให้เท่าเทียมกัน ตรงกันข้ามมีแต่แบ่งแยก สิ่งที่ทำได้ก็คงได้แต่ภาวนานั่งปลงไปวันๆ เวรกรรมจริงๆ
00 การซักฟอกรัฐบาลหุ่นเชิดผ่านไปสองวันแล้ว วันนี้(28 พ.ย.)ตามกำหนดการก็จะมีการลงมติตามพิธีกรรม และแน่นอนว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เพราะต่อให้ฝ่ายค้านมีหลักฐานเด็ดดวงกว่านี้อีกร้อยเท่าก็ไม่อาจล้ม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรรวมไปถึง รมต.ซังกะบ๊วยที่ว่านั้นลงได้หรอก เสียเวลาเปล่า สภาไม่ใช่ระบบการตรวจสอบ แต่คนพวกนั้นเป็น “ลูกน้อง”รัฐบาล และถ้าให้ตรงจุดก็ต้องบอกว่ามันเป็นลูกน้องโจรที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น ทุด !!
00 ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในสภาอุสาหกรรมฯ(ส.อ.ท.)นี่สิ เพราะถึงขั้นโหวตไล่ประธานคนเก่าคือ พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ออกจากตำแหน่งแล้วดัน สันติ วิลาศศักดานนท์ อดีตประธานคนก่อนกลับมาอีกครั้งถือว่าไม่ธรรมดา และจะว่าไปแล้วสาเหตุการ “ยึดอำนาจ” ดังกล่าวก็มาจากเรื่องนโยบายค่าแรง 300 บาทของรัฐบาลนั่นแหละ โดยวงในได้เห็นพฤติกรรมของ พยุงศักดิ์ มานานแล้วว่าไม่ต่างจาก “ลิ่วล้อ” เครือข่ายทักษิณ ดูแลแต่พวกอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่พอเอาตัวรอดได้ แต่ระดับกลางถึงเล็กอ่วมแน่หากบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.ปีหน้าพร้อมกันทั่วประเทศ ก็จะไม่ให้อ่วมได้อย่างไร เพราะคนที่ได้หน้าคือรัฐบาลแต่คนที่ต้องจ่ายเงินกลับเป็นเอกชน มันยุ่งตรงนี้แหละ !!
เสธ.อ้าย'ซัดรบ.ใช้พรบ.มั่นคงขัดรธน. เมื่อ 29 พ.ย.55
'เสธ.อ้าย'ซัดรบ.ใช้พรบ.มั่นคงขัดรธน.
'เสธ.อ้าย' ซัดรัฐบาลใช้พรบ.มั่นคงขัดรัฐธรรมนูญ เตรียมยื่น 'ผู้ตรวจการแผ่นดิน - ปปช.' 30 พ.ย.นี้
29 พ.ย.55 พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) พร้อมด้วยทีมทนายความเปิดเผยว่า ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ตนพร้อมด้วยทีมทนายความขององค์การพิทักษ์สยาม จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าการออกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ของรัฐบาลในควบคุมการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่ผ่านมานั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) สามารถชุมนุมได้
พม่าใช้'ระเบิดเพลิง'สลายม็อบต้านเหมืองจีน เมื่อ 29 พ.ย.55
พม่าใช้'ระเบิดเพลิง'สลายม็อบต้านเหมืองจีน
ตำรวจพม่าใช้กำลังและแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมกลุ่มพระสงฆ์และประชาชนที่ต่อต้านการทำเหมืองทองแดงในเขตสะกาย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพฤหัส (29 พ.ย.) ว่าตำรวจพม่าได้ใช้กำลังระดมฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และระเบิดเพลิงเข้าสลายการชุมนุมของชาวบ้าน พระสงฆ์และนักศึกษาหลายร้อยคนที่ชุมนุมปิดทางเข้าออกเหมืองทองแดง เล็ทปาดอง ใกล้เมืองโมนยะวา ในเขตสะกาย เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี หลังจากผู้ชุมนุมตั้งเต็นท์ปักหลักประท้วงที่เหมืองตั้งแต่ 18 พฤศจิกายน เพื่อขอให้หยุดดำเนินการขยายเหมืองแห่งนี้ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทจีนและบริษัทที่ควบคุมโดยกองทัพพม่าจนกว่าจะมีการเปิดเผยผลการศึกษาเรื่องผลกระทบของเหมืองต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ผู้ประท้วงเล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. เช้าวันพฤหัสบดี ตามเวลาท้องถิ่น ตำรวจได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากเหมืองภายในเวลา 5 นาที แต่หลังจากนั้นตำรวจก็ฉีดน้ำใส่ผู้ประท้วงก่อนจะขว้างระเบิดเพลิงเข้าใส่เกือบ 6 ครั้ง ทำให้ผู้คนวิ่งแตกกระเจิง และทำให้ผู้ประท้วงรายนี้รวมทั้งผู้ประท้วงอีกหลายคนมีบาดแผลจากไฟไหม้ตามร่างกาย
ขณะที่มีรายงานมีชาวบ้านและพระสงฆ์ราว 30 คนได้รับบาดเจ็บจากการใช้กำลังของตำรวจ และมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งถูกจับกุมตัวด้วย และผู้ประท้วงบางส่วนได้หลบหนีเข้าไปในวัดที่อยู่ใกล้เคียง
การสลายผู้ประท้วงมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่นางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านมีกำหนดจะไปเยี่ยมผู้ประท้วงที่เหมืองแห่งนี้
ทางการตัดสินใจใช้กำลังสลายผู้ประท้วง หลังจากสถานีโทรทัศน์ของทางการประกาศตั้งแต่คืนวันอังคาร (27 พ.ย.) ให้ผู้ประท้วงหยุดบุกรุกเหมืองและถอนตัวออกไปภายในเที่ยงคืนวันอังคาร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และได้กำหนดเส้นตายอีกรอบเป็น 03.15 น.เช้าวันพฤหัสบดี ขณะที่รัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการอิสระเมื่อวานเพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องเหมืองสร้างมลพิษให้แก่ชุมชน
ทั้งนี้ สาเหตุการประท้วงเกิดจากนักเคลื่อนไหวกล่าวหาว่าทางการเข้ายึดที่ดินจากเกษตรกรรวมกว่า 20,000 ไร่โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และบางรายก็ไม่มีการจ่ายเงินชดเชย และเป็นอีกการทดสอบขอบเขตเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นนับจากกระบวนการถ่ายโอนอำนาจจากระบอบเผด็จการสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลพลเรือนชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ก่อนหน้านี้การประท้วงต่อต้านโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในรัฐคะฉิ่นที่เป็นการร่วมทุนกับจีน สามารถทำให้ทางการพม่าตัดสินใจระงับโครงการดังกล่าวเมื่อปีที่แล้ว
อีกหนึ่งสัปดาห์ชี้ชะตาพุทธสถานเมืองเมส อาแน็ค
ขณะเดียวกันเหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นที่รัฐบาลอัฟกานิสถานกำหนดให้ขนย้ายพุทธสถานเมืองเมส อาแน็ค (Mes Aynak)อายุกว่า 2,000 ปี ออกจากพื้นที่เนื่องจากได้อนุญาตให้บริษัทจีนเข้ามาทำเหมืองแร่ทองแดง แม้นว่าล่าสุดจะมีกระแสออมาว่าจะกันพื้นที่พุทธสถานไว้ก็ตาม ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยไม่ได้นิ่งนอนใจยังคงดำเนินการรวบรวมรายชื่อคัดค้านยื่นต่อรัฐบาลอัฟกานิสถานและสหประชาชาติ
"ขั้นต้นนางสาวนาเดีย ทาร์ซี ได้ตั้งเป้าการลงชื่อคัดค้านทั้ง 2 เว็บไซต์ที่ 100,000 รายชื่อ แต่จำนวนการลงชื่อคัดค้านเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้ขยายเป็น 200,000 รายชื่อภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 โดยเว็บไซต์แรกสามารถลงชื่อคัดค้านได้ที่ http://chn.ge/TstjEm เพื่อเสนอต่อองค์การยูเนสโก ให้คุ้มครองโบราณสถาน “เมส อาแน็ค” ส่วนเว็บไซต์ที่ 2 สามารถลงชื่อคัดค้านได้ที่ http://chn.ge/Pux8Nr เพื่อเสนอต่อประธานาธิบดีของประเทศอัฟกานิสถาน ให้ชะลอแผนการทำเหมืองทองแดง" นายแพทย์พรชัย พิญญพงษ์ ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก กล่าว
'ไทย-มะกัน'แชมป์ศก.พังจากภัยพิบัติ สถาบันวิจัยเยอรมันว็อทช์ จัดอันดับไทย-สหรัฐ เป็นดินแดนสูญเสียเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติมากที่สุดในโลกปี 2554 จากเหตุน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อ 29 พ.ย.55
'ไทย-มะกัน'แชมป์ศก.พังจากภัยพิบัติ
สถาบันวิจัยเยอรมันว็อทช์ จัดอันดับไทย-สหรัฐ เป็นดินแดนสูญเสียเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติมากที่สุดในโลกปี 2554 จากเหตุน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์
29 พ.ย. 55 สถาบันวิจัยเยอรมันว็อทช์ ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จัดอันดับให้ไทย และสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่เผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพราะภัยธรรมชาติสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกประจำปี 2554 โดยคิดรวมเป็นความสูญเสียราว 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท) เนื่องจากดินแดนทั้งสองได้เผชิญกับภัยธรรมชาติทั้งมหาวาตภัย น้ำท่วม ดินถล่ม และไฟป่าในปีที่แล้ว โดยนับเป็นประเทศที่ได้รับความสูญเสียมากที่สุดอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก
รองลงมา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เผชิญกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจเนื่องจากภัยธรรมชาติประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.9 แสนล้านบาท) ปากีสถาน 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.74 แสนล้านบาท) และบราซิล 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.41 แสนล้านบาท) โดยจัดอยู่ในอันดับ 3-5 ตามลำดับ
เยอรมันว็อทช์ได้จัดทำรายงานดัชนีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ที่ระบุเนื้อหาดังกล่าวออกนำเสนอในที่ประชุมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่จัดขึ้น ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อวันอังคาร (27 พ.ย.) ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเปรียบเทียบขนาดเศรษฐกิจและจำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติจะพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา หลังพื้นที่ 65 จาก 77 จังหวัดของไทยต้องเผชิญกับเหตุน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 900 ราย และอีกกว่า 13.6 ล้านคนได้รับผลกระทบ รวมถึงพื้นที่ทำการเกษตรอีกกว่า 2 หมื่นตารางกิโลเมตรได้รับความเสียหาย รองลงมา คือ ประเทศกัมพูชา ปากีสถาน เอลซัลวาดอร์ ฟิลิปปินส์ บราซิล และสหรัฐ ตามลำดับ
นายสเวน ฮาร์เมลลิง หัวหน้าคณะทำงานกำหนดนโยบายด้านภูมิอากาศระหว่างประเทศของเยอรมันว็อทช์ กล่าวว่า การสูญเสียและความเสียหายจากภัยธรรมชาติร้ายแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา และรายงานดัชนีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง ขณะที่ผลวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ออกเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ก็แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นปัจจัยเบื้องหลังความเสียหายต่อเศรษฐกิจและการสูญเสียชีวิตครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ
เยอรมันว็อทช์ต้องการใช้การประชุมที่กรุงโดฮาเป็นเวทีการเจรจาหารือถึงการสร้างแนวทางร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการยกระดับการใช้มาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนากลไกระหว่างประเทศในการลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและจำนวนผู้เสียชีวิต
นายฮาร์เมลลิง ยังหวังด้วยว่า พิบัติภัยในประเทศไทยจะเป็นบทเรียนที่ดีให้ประเทศต่างๆ หันมาให้ความใส่ใจต่อผลกระทบจากสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมากยิ่งขึ้น โดยระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังไม่ได้ให้การรับรองพันธกรณีระหว่างประเทศว่าจะจำกัดปริมาณการปล่อยมลภาวะออกสู่สิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ข้อมูลของสถาบันวิจัยดังกล่าว ยังระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีประชากรโลกต้องเสียชีวิตไปแล้วกว่า 5.3 แสนคน จากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้วที่เกิดขึ้นเกือบ 1.5 หมื่นครั้งทั่วโลก คิดเป็นความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 76.7 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายต่อหลายแห่ง เช่น พม่า และนิการากัว เคยถูกจัดอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2545-2554 แต่ในปี 2554 นี้บังกลาเทศไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความสูญเสียจากภัยธรรมชาติมากที่สุด 3 อันดับแรกอีกต่อไป โดยถูกจัดอยู่ในอันดับ 4 เนื่องจากบังกลาเทศมีการพัฒนากระบวนการรับมือกับภัยธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากต่างประเทศ หลังจากเผชิญกับมหาวาตภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2544 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศมากกว่า 1.4 แสนราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากรัฐบาลรับมือภัยธรรมชาติอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกแล้วจะสามารถลดความสูญเสียได้จริง
ส่วนสถานการณ์ของไทยยังได้รับผลบกระทบจากพายุฝน กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน ว่า บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย และทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคเหนือมีฝนกระจาย เนื่องจากมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนผ่านเข้ามาปกคลุมทางตอนบนของภาคเหนือ อนึ่ง คลื่นกระแสลมตะวันออกได้เคลื่อนผ่านอ่าวไทยและภาคใต้แล้ว แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักบางพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดระนองว่า ได้รับอิทธิพลของคลื่นกระแสลมตะวันออก ส่งผลให้เกิดฝนตกอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเวลา 13.00 น.ทั้งยังเกิดฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง นอกจากนี้ทะเลแปรปรวนมีคลื่นสูงและลมกระโชกแรงเป็นบางช่วง ทำให้กลุ่มเรือประมงพื้นบ้านไม่กล้านำเรือออกหาปลา
ส่วนจ.สุราษฎร์ธานี สภาพอากาศในช่วงบ่ายมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ หลังจากที่ในช่วงเช้าสภาพอากาศปลอดโปร่ง โดยทางจังหวัดได้ย้ำเตือนพื้นที่เสี่ยงให้เฝ้าระมัดระวังรวมทั้งการเดินเรือในช่วงนี้ด้วย
ขณะที่ จ.ชุมพร นายชนากานต์ ทิพย์ประเสริฐสุข หัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า คลื่นกระแสลมตะวันออก เคลื่อนเข้ามาปกคลุมอ่าวไทยตั้งแต่วันที่ 24-28 พฤศจิกายน ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ จึงทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
ล่าสุดได้สรุปความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่จ.ชุมพร มีพื้นที่เกิดอุทกภัย 1 อำเภอ 6 ตำบล 49 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,788 คน 872 ครัวเรือน ได้แก่ อ.ปะทิว ประกอบด้วย ต.ชุมโค ต.ปากคลอง ต.ดอนยาง ต.สะพลี ต.เขาไชยราช ต.ทะเลทรัพย์ มีบ้านพักอาศัยเสียหายบางส่วน 2 หลัง ถนนชำรุด 85 สาย คอสะพาน 2 แห่ง ฝายคันดิน 2 ท่อระบายน้ำขาด 23 แห่ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 4,435,000 บาท
ด้านกองบังคับการตำรวจจราจร รายงานสภาพการจราจรใน กทม.ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีฝนตกลงมาอย่างหนักในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่อเนื่องหลายชั่วโมง ส่งผลให้การจราจรบนถนนสายหลักมุ่งหน้าเข้า กทม.ชั้นใน ทั้งฝั่งเหนือ ใต้ ธนบุรีติดขัดหนาแน่น มีปริมาณรถสะสมจำนวนมาก เพราะน้ำท่วมขังพื้นผิวถนนหลายจุด และเกิดอุบัติเหตุรถชนกันหลายแห่งเนื่องจากถนนลื่น จากการตรวจสอบพบเส้นทางต่างๆ มีปัญหาการจราจรเกือบทั้งหมด กระทั่งเวลา 10.00 น.ภาพรวมการจราจรที่วิกฤติใน กทม.จึงคลี่คลายลง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)