วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปชป.เชื่อปรับ ครม.ทำเพื่อไทยระส่ำ เย้ยเป็น รมต.ต้องไปฮ่องกง ซัดแดงจนมุมถึงรับมีชายชุดดำ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2555 13:14 น.



“เทพไท” จวก รบ.ไม่กลัวซักฟอกแต่ปรับ ครม.หนี ย้ำหลบไม่พ้นต้องรับผิดชอบ ดักทีมงาน “ปู” อย่าหัวใส เตรียมแผนไปนอกเลี่ยงศึกอภิปราย จวกความคิดนายกฯ ให้ รมต.หาประสบการณ์ อัดไม่ใช่ตำแหน่งฝึกงาน ซัดเปลี่ยนหัวบ่อยทำ ก.ศึกษาฯ เหลว เย้ย “ปู” หลอกตัวเองจัด ครม. ประชดเซ็น รมต.ที่ฮ่องกงได้คงทำไปแล้ว เชื่อคนใน พท.เคือง “แม้ว” ปรับ ครม. ไม่ทำตามสัญญาแก๊งแดง ตั้งเด็กเก่า ปชป.ข้ามหัว ส.ส.อีสาน กลุ่ม “เสนาะ” ถูกฉีกหน้า ซัดแดงเสียงอ่อนรับชายชุดดำมีจริง แต่ยังมีขบวนการบิดเบือน ชี้ดีเอสไอดิ้นใช้ “น้องเกด” เป็นเครื่องมือ
       
       วันนี้ (26 ต.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าไม่ใช่ขบวนการล้มรัฐบาล แต่เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ การที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยท้าทายให้ยื่นอภิปรายหลายครั้ง โดยพยายามสบประมาทการทำหน้าที่ของฝายค้านนั้น ขอบอกว่าเราไม่คุยโม้โอ้อวด แต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขณะที่รัฐบาลปากกล้าขาสั่นเพราะมีกระบวนการหลบเลี่ยงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วางเกมขัดขวางการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน เช่น การแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ซึ่งฝ่ายค้านต้องการให้แถลงก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อจะได้ตรวจสอบการทำงานในรอบ 1 ปีก่อนยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่รัฐบาลเล่นเกมยื้อเวลาเหมือนจะแถลงช่วงปลายสมัยประชุม เพื่อไม่ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ถ้าอ้างว่าไม่ใช่เกมก็แสดงว่าไม่มีผลงานจะแถลงต่อสภา
       
       นายเทพไทยังเชื่อด้วยว่า นายกรัฐมนตรีปรับ ครม.หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเดิมนายกฯ เคยพูดว่าไม่รีบปรับ ครม. แต่เมื่อผู้นำฝ่ายค้านฯ ประกาศจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสิ้นเดือนนี้ นายกฯ ก็ปรับ ครม.แบบสายฟ้าแลบเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่แม้จะปรับ รมต.ที่อยู่ในข่ายการอภิปรายออกไปก็ไม่เป็นอุปสรรคเพราะเนื้อหาอยู่ที่ความผิดพลาดของมติ ครม. และนโยบาย ซึ่งนายกฯ และครม.ทั้งคณะต้องรับผิดชอบ ส่วนการทุจริตคอร์รัปชันหากเกี่ยวกับรัฐมนตรีที่ถูกปรับออก แต่เป็นความรับผิดชอบของ ครม.พรรคจะใช้สิทธิอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยเช่นเดียวกันแม้จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งก็ตาม
       
       ส.ส.นครศรีธรรมราช ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวาระงานของนายกรัฐมนตรีช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทีมงานวางแผนกำหนดวาระงานให้นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศทั้งเดือน เพื่ออ้างภารกิจล่วงหน้า จะได้ไม่อยู่ร่วมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าหากจริงก็ผิดมารยาททางการเมืองอย่างมาก เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการตรวจสอบสูงสุด ก่อนหน้านี้นายกฯ ไม่เข้าสภาหนีกระทู้ก็ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าประชาชนคงรับไม่ได้หากมีการหนีอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก
       
       “สำหรับกำหนดวาระงานนายกรัฐมนตรีช่วงเดือนพฤศจิกายนมีดังนี้ วันที่ 5-6 ประชุมกลุ่มประเทศเอเชีย-ยุโรปที่เวียงจันทน์ วันที่ 8-9 ประชุมเชิงประชาธิปไตยที่บาหลี วันที่ 12-14 ร่วมประชุมอาเซียนซัมมิตที่กัมพูชา วันที่ 17-20 ไปเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ ขณะที่วันที่ 28-30 พ.ย.ก็ปิดสมัยประชุม ดังนั้น หากพิจารณาตามกรอบเวลาวาระงานของนายกฯ จะทำให้อภิปรายได้เฉพาะวันที่ 21-22 พ.ย.เท่านั้น ถ้าทีมงานนายกฯ เจ้าเล่ห์นัดวาระงานอีก เดือน พ.ย.อาจเป็นปัญหาสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรียกร้องนายกฯ ละเว้นไปร่วมประชุมในครั้งใดครั้งหนึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดของประธานสภาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะบางวาระงานนายกมอบหมายรองนายกฯ หรือ รมว.ต่างประเทศไปทำหน้าที่แทนก็ได้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยมอบนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ไปทำหน้าที่แทนมาแล้ว จึงอยากให้สังคมจับตามองการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าพรรคเพื่อไทยจะหลบเลี่ยงหรือขัดขวางการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านอย่างไรบ้าง” นายเทพไทกล่าว
       
       สำหรับการปรับ ครม.ที่นายกฯ อ้างว่าให้ รมต.ทำงานในตำแหน่งใหม่ เหมือนเป็นการหาประสบการณ์ให้รัฐมนตรีบางคนนั้น นายเทพไทระบุว่า เป็นทัศนคติที่น่ากลัว เพราะรมต.ไม่ใช่ตำแหน่งฝึกงานต้องใช้มืออาชีพมารับใช้ประเทศชาติ ที่น่าเป็นห่วงคือ การเปลี่ยนรัฐมนตรีในกระทรวงหลักและเป็นหัวใจสำคัญของประเทศคือกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซ้ำรอยเดิมรัฐบาลทักษิณที่บริหาร 5 ปีมี รมว.ศึกษาธิการ 6 คน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำงาน 1 ปี มี รมว.ศึกษาธิการ 3 คน ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนี้ต้องใช้มืออาชีพไม่ควรเอาเหตุผลทางการเมืองมาเป็นสาเหตุในการปรับเปลี่ยน ส่วนที่่นายกฯ ยืนยันว่าเป็นผู้ปรับ ครม.เองนั้น เชื่อว่าหลอกได้แต่ตัวเองเท่านั้น หลอกสังคมไม่ได้ เพราะสิ่งที่เห็นว่าคนที่จะเป็น รมต.ต้องไปกรอกประวัติที่ตึกไทยคู่ฟ้า ก็เพราะไม่สามารถไปกรอกที่ดูไบและฮ่องกงได้ โดยโผที่ออกมาก็รู้ล่วงหน้าจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บอกกับ ส.ส.ที่เดินทางไปพบที่ฮ่องกงว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ จะได้ตำแหน่งใหญ่ขึ้นเพราะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางได้ทั่วโลกยกเว้นประเทศไทย ส่วนกรณีของนายยุทธพงศ์​จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกกับคนใกล้ชิดว่าจะปูนบำเหน็จให้ทั้งที่เป็นนักการเมืองที่เพิ่งจะออกจากประชาธิปัตย์ไป ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นเหตุผลทางการเมืองโดยต้องการเยาะเย้ยว่าคนที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐมนตรี
       
       นายเทพไทกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม.ครั้งนี้เชื่อว่าจะมีแรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทย 3 ส่วน คือ กลุ่มคนเสื้อแดง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเคยประกาศที่โบนันซ่าว่าจะปูนบำเหน็จให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่กลับไม่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี ในขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังเหนียวแน่นกับการเป็น รมต.ทั้งที่ทำงานดูแลยางพาราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซึ่งแกนนำแดงหลายคนก็แสดงความไม่พอใจ ซึ่งอาจเป็นการคิดบัญชีกันเองหรืออาจมีการทดแทนภายใน แต่กรณีที่บางคนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าเป็นเพราะข้างบนขัดขวางกีดกั้นนายจตุพรนั้น ถ้าหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ถ้าหมายถึงกลุ่มอำมาตย์ถือเป็นการโยนบาปโดยไม่มีข้อเท็จจริง
       
       ในส่วนที่ 2 ที่จะเกิดแรงกระเพื่อม คือ ส.ส.อีสานที่มีจำนวนมากที่สุดในพรรคเพื่อไทยและมีอาวุโสหลายคน แต่ก็เสียโอกาสเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเลือกนายยุทธพงศ์ ข้ามหัว นายไพจิต ศรีวรขาน นายขจิต ชัยนิคม นายไชยา พรหมมา นายพงษ์พันธุ์ สุนทรชัย นายเวียง วรเชษฐ และนายพีรพันธุ์ พาลุสุข พลาดหวังกันมาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่หากเปรียบกับนายยุทธพงศ์จะเห็นว่าเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น นอกจากนี้จะมีแรงกระเพื่อมจากคนที่ถูกปรับออก เช่น กลุ่มนายเสนาะ เทียนทอง ถ้า รมต.ในกลุ่มถูกปรับออกจริงก็เหมือนเป็นการฉีกหน้า หักหลัง จึงเชื่อว่าจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นแน่นอน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการปรับ ครม.แต่ละครั้งเป็นการนับถอยหลังอายุรัฐบาลหรือไม่
       
       สำหรับการตรวจสอบชายชุดดำที่แกนนำเสื้อแดงพยายามทำนั้น นายเทพไทกล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าแกนนำเสื้อแดงเอาสีข้างเข้าถู พยายามตะแบงจากไม่มีชายชุดดำ พอจนด้วยหลักฐานก็บอกว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงเป็นฝ่ายทหารจัดตั้งขึ้นมาโดยอ้างว่ามีรถตู้ออกมาจากราบ 11 อย่างไรก็ตาม เห็นว่ายิ่งดิ้นเชือกยิ่งมัดคอตัวเองเท่านั้น ทั้งนี้ยังมีขบวนการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม บิดเบือนหลายประเด็น ทั้งตำรวจ ดีเอสไอ และอัยการ โดยเฉพาะการเสียชีวิตของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ระบุแล้วว่าวิถีกระสุนไม่ได้ยิงจากรางรถไฟฟ้า แต่ดีเอสไอกลับไม่รวมไว้ในสำนวนเหมือนจงใจกล่าวหาว่า น.ส.กมนเกดเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของ นพ.เหวง โตจิราการ ที่เรียกร้องให้เปิดเผยผลการศึกษาคลิปเสียงตัดต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การตายของพลทหาร และกรณี 2 ศพลอยน้ำในปี 2552 นั้นเป็นความพยายามบิดเบือนของคนเสื้อแดง เพราะเรื่องทั้งหมดมีข้อสรุปชัดแล้วว่าในปี 2552 ไม่มีคนเสียชีวิตจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากชาวบ้านตลาดนางเลิ้ง จึงเห็นว่าเป็นความพยายามที่จะดิ้นเพราะจนตรอก และเชื่อว่าความจริงจะปรากฏเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบทำสำนวนสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาแล้วจะพบความจริงว่าใครคือฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการตาย 91 ศพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น