วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สงครามการค้าก่อนสงครามเลือด ท่านขุนน้อย 29 October 2555 - 00:00



เมื่อไม่นานมานี้...มีข่าวต่างประเทศชิ้นเล็กๆ แต่น่าคิด น่าสนใจ อยู่ข่าวหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่กระทรวงต่างประเทศของคุณพี่จีน ท่านได้ประกาศจัดตั้งหน่วยงานระดับกรมกรมหนึ่งขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า กรมกิจการเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือ Department of International Economic Affairs อันถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศของจีนในโลกยุคใหม่ ทวีความแข็งแกร่ง และแหลมคม ยิ่งขึ้นไปอีก...
                                                         -------------------------------------------------
    ตามคำแถลงของกระทรวงต่างประเทศจีน ได้สรุปถึงที่มา-ที่ไป หรือเหตุผลในการจัดตั้งหน่วยงานที่ว่านี้เอาไว้สั้นๆ แต่เพียงว่า เพื่อให้จีนสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอย่างถูกต้องและเหมาะสม แก่บรรดาประเทศที่กำลังพัฒนา หรือแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วแต่ยังคงมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในแต่ละช่วง แต่ละระยะ เช่นบรรดาประเทศในสหภาพยุโรป เป็นต้น และด้วยเครื่องมือชนิดนี้...เชื่อว่าจะทำให้จีนสามารถสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น...
                                                        -------------------------------------------------
    แน่ล่ะว่า...สำหรับประเทศที่มีทุนสำรองระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับ 7-8 เปอร์เซนต์ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกทั้งโลกกำลังเดี้ยงไปเป็นแถบๆ การนำเอาเรื่อง เศรษฐกิจ มาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศ หรือนำมาใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง ในเวทีระดับโลกนั้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องร้ายกาจและแยบยลเอามากๆ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากเปรียบเทียบกับ คุณพ่ออเมริกา แล้ว ขณะที่ การทหาร ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของคุณพ่ออเมริกาในการดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศในเวทีโลก ชนิดที่อีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า ยังไงๆ คุณพี่จีนก็ยังอาจตามไม่ได้ ไล่ไม่ทันอยู่ดี แต่ถ้าหากเป็นเรื่อง การเศรษฐกิจ แล้ว อีกแค่ไม่กี่ปีข้างหน้า โอกาสที่ขนาดทางเศรษฐกิจของจีน จะมาแรงแซงโค้ง เบียดคุณพ่ออเมริกาให้ต้องชิดซ้าย ตกคู ตกคลอง ย่อมเป็นที่เห็นๆ กันอยู่...
                                                          ------------------------------------------------
    การนำเอาเรื่องเศรษฐกิจมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินวิเทโศบายทางการเมืองของจีน จึงไม่ต่างอะไรไปจากการนำเอา จุดแข็ง มาใช้ลดทอน จุดอ่อน ในขณะที่การแย่งชิงตำแหน่ง ทีแอ๋เอ้ยติด หรือการแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจสูงสุดในวงการบู๊ลิ้มกำลังเข้มข้น เคี่ยวคลั่ก ยิ่งขึ้นทุกที ว่ากันว่า...ถ้าหากจะดูอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนที่มีต่อเวทีโลกทั้งโลกนั้น ไม่ต้องไปดูที่ไหนอื่น แค่มองจากปริมาณการปล่อยกู้ หรือการให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาประเทศยากจนในโลกนี้ ที่ในช่วงระยะหลังๆปริมาณการปล่อยกู้ หรือปริมาณการให้ความช่วยเหลือของจีน ต่อบรรดาประเทศเหล่านี้ สูงกว่าธนาคารโลกไปแล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ก็พอจะสรุปได้ไม่ยาก...
                                                      --------------------------------------------------
    และไม่เพียงแต่การปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยถูกๆ รวมทั้งความช่วยเหลือในแบบเงินให้เปล่าฟรีๆเท่านั้น การอาศัยมาตรการทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันให้กับผู้ที่คิดจะหือรือกับจีน  ยังถือเป็นกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่ง ที่จีนอาจนำมาใช้ตอบโต้ เล่นงาน ใครต่อใครก็ย่อมได้ ดังเช่นที่หนังสือพิมพ์ เหรินหมินรึเป้า กระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อไม่นานมานี้ ได้พยายามชี้ให้เห็นเอาไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าหากเมื่อไหร่ก็ตามที่ความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในกรณีพิพาทหมู่เกาะเซ็นกากุหรือเตียวหยู พุ่งขึ้นไปถึงจุดที่จีนจำเป็นจะต้องตัดสินใจ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ต่อญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ ความฉิบหายวายวอดที่จะเกิดกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้น...ยังไงๆ ก็น่าจะหนักหนาสาหัสกว่าความสูญเสียของจีนอยู่แล้วแน่ๆ...
                                                      ----------------------------------------------------
    เรียกว่า...ขนาดยังไม่ทันคิดจะคว่ำบาตร เศรษฐกิจ ธุรกิจญี่ปุ่นในจีนต่างก็เดี้ยงกันไปเป็นแถบๆ ยอดขายรถโตโยต้าในจีนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ร่วงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เที่ยวบินโดยสารระหว่างจีน-ญี่ปุ่นถูกยกเลิกการจองนับเป็นหมื่นๆ ที่ ถึงขั้นบางเส้นทางต้องระงับการบินไปเลยก็มี บริษัทญี่ปุ่นหลายสิบแห่งถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาในงานนิทรรศการแสดงสินค้าระหว่างประเทศที่จัดขึ้นในภาคตะวันตกของจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละสำหรับญี่ปุ่นแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นประเทศกระจอกๆ หรือเป็นตะเกียงที่ไร้น้ำมันก็หาไม่ ก่อนหน้าที่จีนจะรวยไม่เสร็จ รวยไม่รู้เรื่อง อยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าในระดับเอเชีย หรือระดับโลก ล้วนแต่ต้องยอมศิโรราบให้กับอำนาจเศรษฐกิจของนักดาบซามูไรมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น...
                                                --------------------------------------------------
    ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...เศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะมาเดี้ยงเพราะไปมีเรื่องทะเลาะ เบาะแว้งกับคุณพี่จีนในกรณีหมู่เกาะเตียวหยู หรือเพิ่งจะมาเดี้ยงเอาในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่เดี้ยงแบบต่อเนื่อง ยาวนาน มานับเป็นทศวรรษๆ แล้วเห็นจะได้ และด้วยเหตุแห่งความเดี้ยงแบบซึมยาว ซึมนานเช่นนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยากที่จะสรุปได้ จึงทำให้การเบี่ยงเบน หันเห ความสนใจของชาวญี่ปุ่น จากภาวะความล้มเหลวทางเศรษฐกิจไปสู่การปลุกพลังความเป็นซามูไร หรือความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่นให้หวนคืนกลับมา มันจึงเป็นอะไรที่มาแรงเอามากๆ ส่งผลให้นักการเมืองสายอนุรักษ์แต่ละราย ไม่ว่านาย ชินโซ อาเบะ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือนาย ชินทาโร อิชิฮาระ ผู้ว่าฯ นครโตเกียว ที่เคยประกาศจะหาเงินบริจาคมาซื้อเกาะเซ็นกากุให้หมดเรื่อง หมดราว ไปซะที กลับได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...
                                                       ---------------------------------------------------
    ด้วยเหตุนี้...การนำเอา เศรษฐกิจ มาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินวิเทโศบายต่างประเทศ หรือเครื่องมือทางการเมืองของจีน จึงใช่ว่าจะให้ผลบวกเสมอไป คือถ้าเป็นประเทศเล็กๆ มันอาจพอได้ผลอยู่บ้าง เหมือนอย่างการทำเงินช่วยเหลือประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ตกใส่ประเทศเขมร จนทำให้การผลักดันการแก้ปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ตามแบบฉบับฟิลิปปินส์ต้องถูกเลื่อน ถูกดอง มาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่สำหรับประเทศใหญ่อย่างอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นนั้น ไปๆ มาๆ แรงกดดันทางเศรษฐกิจ มันอาจก่อให้เกิดการลุกลามบานปลายกลายเป็นแรงกดดันทางการเมือง หรือทำให้ สงครามทางเศรษฐกิจ ถูกแปรสภาพไปเป็น สงครามเลือด ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตาม...สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั้น ท่ามกลางสภาพเช่นนี้ ถ้ายังหนักไปทางหยาบๆ ง่ายๆ ประเภทคิดจะเอาสนามบินอู่ตะเภาไปแลกกับวีซ่าของคนคนเดียว หรือคิดจะเอาข้าวไปแลกกับเขื่อนอะไรประมาณนั้น สุดท้าย...ไม่ว่าใครใหญ่ ใครอยู่ ใครแพ้ ใครชนะ ประเทศไทยและปวงชนชาวไทยทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นต้องโดน แ..ก ลูกเดียว หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีไปอีกตราบนานเท่านาน...
                                                ----------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Eugene Victor Debs (อีกครั้ง)... "Sooner or later every war of trade becomes a war of blood. - ไม่เร็วก็ช้า...ที่สงครามการค้าในทุกๆ ครั้ง จะกลายเป็นสงครามเลือด..."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น