ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ อาชีพรับเหมาก่อสร้าง และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุม และการใช้เส้นทางคมนาคม, ร่วมกันมีวัตถุระเบิด, ร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคม, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง, ร่วมกันลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.53 จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปและมั่วสุมขณะที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจำเลยที่ 1 ขับรถกระบะโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ ทะเบียน ปว 2816 กรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 2 นั่งร่วมด้วยพร้อมวัตถุระเบิดและวิทยุคมนาคมไปตามเส้นทางที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และงัดประตูร้านสะดวกซื้อแล้วลักทรัพย์ 60 รายการ เป็นเงิน 38,251 บาท เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน, แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุกคนละ 5 ปี ฐานมีวัตถุระเบิด จำคุกคนละ 6 ปี ฐานมีวิทยุสื่อสารปรับ 6,000 บาท และพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ปรับ 100 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 6,100 บาท ริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าที่จำเลยอุทธรณ์ว่าทหารปะทะกับคนเสื้อแดงในการชุมนุมทำให้เป็นปฏิปักษ์กับจำเลยมานั้น ฝ่ายจำเลยไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่าทหารที่จับกุมเป็นผู้เข้าร่วมทำร้ายคนเสื้อแดง ส่วนวิทยุสื่อสารที่จำเลยอ้างว่าเป็นอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ก็ไม่นำสืบหักล้าง จึงฟังได้ว่าจำเลยพกพาวิทยุสื่อสารและร่วมกันพกพาอาวุธและวัตถุระเบิด
ส่วนข้อหาลักทรัพย์นั้นฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่า จากการจับกุมได้ตรวจค้นพบเครื่องอุปโภค บริโภคเช่น เหล้า บุหรี่ บัตรเติมเงิน ฯลฯ เห็นว่า ประเด็นนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเข้าไปลักทรัพย์ พยานหลักฐานจึงไม่เพียงพอที่จะลงโทษฐานลักทรัพย์แต่ฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยเหลือคนละ 9 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 6,100 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น