|
|
รายงานการเมือง
ป้ายปลุกระดมที่ผุดขึ้นทั่วประเทศในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรม “ความยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด” หรือ “ไม่เอารัฐประหารโดย ตลก.” เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าขบวนการใต้ดินเล่นนอกกฎหมายออกลายข่มขู่ทั้งศาลองค์กรอิสระ และคนไทยทั่วประเทศ ว่า
หาก “ความยุติธรรมไม่สามารถยุติทีความพึงพอใจของระบอบทักษิณได้บ้านเมืองนี้ก็อย่าหวังว่าจะยุติความวุ่นวายได้เลย”
สิ่งสำคัญที่จะประคับประคองเพื่อเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ระบอบทักษิณกำลังจะล่มสลายลงให้เกิดความเสียหายต่อชาติน้อยที่สุด ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องช่วยกันคิด
ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 ก.ค.2533 ความว่า
“ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางที่จะแก้ไขได้ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้หลายๆ คน หลายๆทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกันปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจักได้ไม่กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางและบั่นทอนทำลายความเจริญและความสำเร็จของการงาน”
จะเห็นได้ว่าการเมืองล้มเหลวที่กำลังจะนำบ้านเมืองไปสู่ความล้มละลายมีส่วนสำคัญมาจากการไร้สำนึกความรับผิดชอบขาดธรรมาภิบาลของผู้มีอำนาจในขณะที่สังคมส่วนใหญ่นิ่งดูดายปล่อยให้คนชั่วส่งเสียงส่วนคนดีเงียบเฉย เพราะเกรงว่าภัยจะมาถึงตัวแม้จะมีประชาชนจำนวนมากที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อขจัดความชั่วร้ายออกจากสังคมไทยแต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากเช่นกันที่เห็นว่า ธุระไม่ใช่พอใจกับการดำรงชีวิตตามปกติของตัวเองไปวันๆ โดยลืมคิดไปว่า “หากชาติไม่มีอนาคตแล้ว คนไทยจะมีอนาคตได้อย่างไร”
ขณะเดียวกัน ทุกภาคส่วนที่ล้วนแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศก็ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเต็มความสามารถ เพื่อให้เครื่องยนต์ที่ชื่อประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การโยนความรับผิดชอบกันไปมาระหว่าง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านคำให้การของ พงศ์เทพ เทพกาญจนา รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.จากการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะหรือไม่ และการโจมตีตอบโต้กันหลังศาลฯสั่งเลือกตั้งเป็นโมฆะเป็นอีกบทสะท้อนที่แสดงให้เห็นว่า
บุคลากรที่ทำหน้าที่สำคัญในบ้านเมืองยังหมกมุ่นอยู่กับการปกป้องตัวเองมากกว่าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยพยายามที่จะกันตัวเองออกจากความผิดมากกว่าการหาทางออกให้กับบ้านเมือง
สถานการณ์ต่อจากนี้จะยิ่งทวีความแหลมคมมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีใครรู้ว่า “คม” นั้นจะบาดชาติจนร้าวลึกอีกมากขนาดไหนเพราะ “ใบสั่ง” จากนักโทษชัดเจนแล้วว่า “ลั่นกลองรบ” ประกาศทำศึกสงครามกับ คนไทย และระบบตรวจสอบ
ไม่เว้นแม้กระทั่งอำนาจของฝ่ายตุลาการที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในยามนี้ทุกภาคส่วนที่อยู่ในกลไกขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องย้อนกลับมาพิจารณาการทำหน้าที่ของตัวเองว่าได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถแล้วหรือยัง เพราะหากทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองโดยสุจริตก็จะช่วยนำพาชาติบ้านเมืองออกจาก “หลุมดำ” ที่ระบอบทักษิณขุดเป็นกับดักประเทศได้
ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่สำคัญในการวินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญจากพฤติกรรมบริหารประเทศและการใช้อำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในหลายกรณี ต่อจากประเด็นร้อนที่สุดในขณะนี้คือ คำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา
ส่วน ป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเรื่องโกงจำนำข้าวและอีกหลายคดีที่รอต่อคิวยาวเป็นหางว่าว
ขณะที่ กกต.ก็ต้องพิจารณาถึงการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในหลายประเด็นทั้งพฤติกรรมการใช้อำนาจของตัว ยิ่งลักษณ์ การใช้สื่อรัฐของคนในพรรคเพื่อไทยซึีงจะเป็นบรรทัดฐานสำคัญให้เกิดแนวปฏิบัติที่ถูกต้องของผู้มีอำนาจในระหว่างที่มีประกาศ พ.ร.ฎ.ยุบสภา
และที่สำคัญไม่แพ้กันคือการทำหน้าที่ของศาลสถิตยุติธรรมซึ่งเป็นผู้ตัดสินเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับบ้านเมืองภายใต้ข้อเท็จจริงและกรอบของกฎหมายเพราะในขณะที่ยิ่งลักษณ์ ปกครองประเทศด้วย “รัฐตำรวจ” องค์กรสีกากีกลายเป็นเครื่องมือของระบอบทักษิณในการใช้กฎหมายทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้ามปกป้องพรรคพวกตัวเองใช้ดีเอสไอเป็นกองกำลังพิเศษจัดการศัตรูทางการเมืองไม่เว้นแม้แต่ประชาชนโดยปล่อยปละละเลยให้นักเลงออกมาอาละวาดได้ตามใจชอบย่อมเป็นความท้าทายไปถึงศาลสถิตยุติธรรมว่าจะยุติกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นที่กำลังล้มเหลวอยู่ในขณะนี้ได้ อย่างไรตามกรอบภาระหน้าที่ที่พึงมีและพึงกระทำ
การเปลี่ยนแปลงตัวประธาน นปช.จาก ธิดา ถาวรเศรษฐ มาเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมกับบทบาทหัวหมู่ทะลวงฟันที่จตุพรถูกวางตัวให้เดินหน้าท้าชนองค์กรอิสระ ศาล และสังคมไทยอยู่ในขณะนี้นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของศาลอาญาที่จะต้องพิจารณาว่า พฤติกรรมของจตุพรรวมถึงแกนนำเสื้อแดงคนอื่นเข้าข่ายขัดเงื่อนไขการประกันตัวและต้องมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวหรือไม่
หากยังจำกันได้ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เคยยื่นคำร้องขอให้มีการถอนประกันตัว ก่อแก้ว พิกุลทอง สำเร็จมาแล้ว โดยศาลอาญามีคำสั่งเมื่อวันทีื่ 30 พ.ย.56 ว่าก่อแก้วซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมีพฤติกรรมปราศรัยข่มขู่กดดันการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจงใจยั่วยุ ปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย จนต้องเดินคอตกเข้าซังเตมาแล้ว
แต่น่าประหลาดใจที่ศาลอาญากลับยกคำร้องของ สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยื่นคำร้องให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจตุพร และณัฐวุฒิ โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ว่าศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้อง (สาธิต) ไม่ได้เป็นคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีแต่อย่างใดจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จึงให้ยกคำร้อง
แต่กรณีดังกล่าวถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ให้ข้อมูลกล่าวอ้างแก่ศาลว่าบุคคลทั้งสองกระทำการอันเข้าข่ายฝ่าฝืนต่อเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวของศาลจึงเห็นควรไต่สวนพยานหลักฐานให้ได้ความเป็นที่กระจ่างชัดว่าเป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขของศาลหรือไม่ โดยให้นัดไต่สวนในวันที่ 18 เม.ย.นี้ เวลา 09.30 น.
ทำให้มีคำถามว่า ทำไม นิพิฏฐ์ ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อแก้วเช่นเดียวกับที่สาธิต ไม่ได้เป็นคู่กรณีของจตุพร และณัฐวุฒิ แต่ศาลกลับรับคำร้องไว้พิจารณาจนกระทั่งสุดท้ายมีคำสั่งให้เพิกถอนการประกันตัวของก่อแก้วตามมา
ส่วนกรณี จตุพร และณัฐวุฒิ ศาลกลับยกคำร้อง แต่ยังนัดที่จะไต่สวนคำร้องนี้โดยทอดเวลาออกไปนานกว่า 1 เดือนซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติอย่างมีนัยยะสำคัญ
คนไทยเรามีสุภาษิตเป็นเครื่องเตือนใจมากมาย อาทิ ตัดไฟแต่ต้นลม แต่น่าเสียดายที่เรามักปล่อยให้ไฟโหมกระพือลามไปทั่วจนดับไม่ได้แล้วค่อยตาลีตาเหลือกวิ่งหาน้ำมาดับไฟ จึงหวังว่าในสถานการณ์คับขันของชาติทุกฝ่ายจะทำหน้าที่ตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่ไฟจะเผาผลาญชาติจนวายวอดกันไปทั้งประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น