วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

พท.ดิ้นหานายกฯสำรอง 26 March, 2014

พท.ดิ้นหานายกฯสำรอง26 March, 2014 


 รัฐบาลโยนกลอง กกต.กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ อึ้ง! ปึ้งศักดิ์ทำหนังสือร่อนทั่วโลกด่าศาลรัฐธรรมนูญละเมิดสิทธิ เหตุทำ 2 ก.พ.โมฆะ เตรียมนัด 53 พรรคการเมืองถกท่าที 28 มี.ค. ยิ่งลักษณ์จ้อเป็นนกแก้วไม่ยึดติด แต่ต้องยึดเก้าอี้ไว้ เพ้อเดินเส้นทางประชาธิปไตยอาจเปล่าเปลี่ยว แต่สุดท้ายจะมีคนร่วมเดิน “เต้น” ย้ำมีข้อมูลนายกฯ คนกลาง เล็งเปิดชื่อรัฐมนตรีอีก “ประยุทธ์” อัดให้ไปแก้ปัญหาตัวเองก่อนออกมาพล่าม ชี้ต้องยึดคำตัดสินศาลไม่งั้นล้าหลัง “วิสุทธิ์” ดุขู่สงครามกลางเมืองแน่หากดึงดันผู้นำมาตรา 7
    เมื่อวันอังคารยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลางของกลุ่มคนเสื้อแดง  
    โดยนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ได้รับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าดูจากแนวทางการเลือกตั้งปี 2549 ก็จะเกิดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในวันใดวันหนึ่ง ส่วนการกำหนดเวลานั้นก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 
นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมศาลวินิจฉัยออกมาเร็ว แต่ทำเหตุผลออกมาช้า ซึ่งคงให้ไปมีเรื่องกับศาลไม่ได้ สุดท้ายถ้าที่พึ่งของประชาชนไม่มีแล้วก็คงต้องพึ่งศาลหลักเมือง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 มี.ค. ได้ออกแถลงการณ์ให้ทุกประเทศทั่วโลกรับทราบถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ มีประชาชนกว่า 20 ล้านเสียงถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงอยากให้สังคมโลกเฝ้าจับตามองไทย โดยการออกแถลงการณ์ไม่ได้นำต่างประเทศเข้ามาแทรกแซง แต่เป็นการนำข้อเท็จจริงให้สังคมโลกได้เข้าใจ 
ขณะที่ช่วงเช้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังคงนั่งรถวีลแชร์มาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมสามัญประจำปี 2557 ของพรรคเพื่อไทยในช่วงบ่าย ซึ่งบรรดาสมาชิก พท.ต่างแต่งกายในชุดสีดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย 
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวช่วงหนึ่งในการประชุมของพรรคเพื่อไทยว่า แม้ตอนนี้ขายังเจ็บอยู่ แต่ก็ใจสู้ เมื่อตัดสินใจยุบสภา อยากเห็นความขัดแย้งต่างๆ ลดลงไป ตามกติกาสากล ที่ยุบสภาต้องเลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสินใจ แต่กลับมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคนที่อดทนมาโดยตลอด สิ่งที่อยากเห็นคือ ทุกคนยึดมั่นกติกาความสมดุลของ 3 เสาหลัก ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายกระบวนการยุติธรรม 
“ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ต่างๆ ให้เกิดความเท่าเทียมกัน จะลดความขัดแย้งลงไป จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในหัวใจของทุกคน และเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนในการประคองสถานการณ์ต่างๆ ให้เกิดความเสมอภาค ลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อให้ประเทศเข้าสู่กลไกของระบอบประชาธิปไตย”
        น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ผู้นำรัฐบาลภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้มีการว่างเว้น หากมีการว่างเว้นจะเกิดความเสียหาย ทำให้ต้องรักษาการจนกว่ามีรัฐบาลใหม่ แต่อุปสรรคต่างๆ มีมากมาย เชื่อว่าด้วยอุดมการณ์ของพรรคที่มุ่งมั่นรักษากรอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด ทำให้เราได้ใช้หลักตรงนี้เดินในวิธีทางของประชาธิปไตย การเดินในความเห็นที่ต่างไม่ได้หมายความว่าเราจะมองเห็นในสิ่งที่ขัดแย้ง หรือเราจะไม่เคารพกติกาใดๆ แต่สิ่งที่เราต้องแสดงออกนั้นเพื่อให้วิธีทางต่างๆ ดำเนินการไปตามขั้นตอนทำนองคลองธรรมของประชาธิปไตยและภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ
ปูเพ้อเดินไม่เปล่าเปลี่ยว
        “ดิฉันไม่ยึดติด พร้อมที่จะส่งมอบหน้าที่นี้กับผู้จะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ สุดท้ายนี้หวังว่าถนนหนทางที่เราต้องเดินข้างหน้าไปสู่เส้นทางประชาธิปไตย แม้มีทางแยกมากมายที่จะทำให้เราต้องเดินไปคนละทางสองทาง แต่ถ้าเราเดินด้วยความสุขุม เดินด้วยเป้าหมายของประชาธิปไตยด้วยกัน แม้ตอนแรกอาจรู้สึกเปล่าเปลี่ยว แต่สักพักเราจะมีคนร่วมเดินไปกับเราด้วยกัน” นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าว
    เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า นายกฯ จะลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือจะเหนื่อยใจแล้วกับการเมืองไทย นายกฯ กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องอนาคต สิ่งที่ถามอาจเป็นสเต็ปที่ยังอีกไกล โดยสเต็ปแรกคงต้องบอกว่า เมื่อไรที่ทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคใหญ่พร้อมใจลงเลือกตั้ง 
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานการประชุม ระบุว่า  หากมีคำวินิจฉัยกลางออกมา 53 พรรคการเมืองที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งจะหารือร่วมกับ กกต.ตั้งเพื่อร่วมกำหนดความเป็นไปได้ในการจัดการเลือกตั้งใหม่ และจะมีการฟ้องทั้งทางแพ่ง-อาญาต่อพรรคประชาธิปัตย์ , กปปส., กกต., ผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ที่ไปเลือกตั้ง 20 ล้านเสียง
นายอดิศร เพียงเกษ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ และหนึ่งในแกนนำ นปช. เสนอว่า พรรคควรจัดชุมนุมคนที่เสียสิทธิ์ในทุกจังหวัดโดยเร็วที่สุด เชื่อว่าถ้าทำ จ.ขอนแก่น จ.เชียงราย จะมีคนมาร่วมชุมนุมเป็นแสน
ต่อมานายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. แถลงว่า ประธานที่ประชุมได้แจ้งให้ทราบถึงการหารือร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล และการเชิญพรรคการเมือง 53 มาหารือร่วมกันที่โรงเรียนนายร้อยสามพราน ในวันที่ 28 มี.ค. เวลา 10.00 น. กรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าแต่ละพรรคเห็นอย่างไร และขอเชิญพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมหารือเพื่อเสนอทางออกร่วมกัน หากไม่มาถือว่าไม่จริงใจต่อประชาชนและระบอบประชาธิปไตย
มีรายงานอีกว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคเพื่อไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.), พรรคชาติพัฒนา และพรรคพลังชล ได้หารือถึงคำวินิจฉัยของศาล โดยพรรคร่วมต่างเห็นตรงกันว่าจะลงเลือกตั้งอีกครั้งหากมีการเลือกตั้งใหม่ และจะสอบถามพรรคการเมืองอื่นๆ ในวันที่ 28 มี.ค.ว่าเห็นอย่างไร รวมทั้งสอบถามว่าจะทำอย่างไรกับการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ
กั๊กส่งปูลงเบอร์หนึ่ง
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า แกนนำพรรคได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง เห็นว่าการเลือกตั้งใหม่จะเกิดการขัดขวางอีก และสุดท้ายจะโมฆะอีก จึงต้องพยายามเรียกร้องและกำชับ กกต.ให้จัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงเรียบร้อย ซึ่งการเลือกตั้งใหม่ที่อาจมีขึ้นนั้น พรรคต้องพิจารณาดูผู้สมัครที่อาจมีปัญหาเรื่องคดีความที่อยู่ในชั้น ป.ป.ช. เช่น กลุ่ม 308 ส.ส.-ส.ว. ซึ่งเป็นไปได้ที่อาจเปลี่ยนตัวผู้สมัคร หรือดันบางคนขึ้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ แต่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 นั้น เชื่อว่ายังเสนอ น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่
     แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยเผยว่า ช่วงที่ผ่านมามีการหารือกันในพรรคถึงการปรับเปลี่ยนคนที่จะสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 อาจไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากมีคดีรอการตัดสินอยู่ และลดกระแสต้านตระกูลชินวัตร แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงสูตรไม่เปลี่ยนตัวผู้สมัคร เพื่อรักษาฐานเสียง แต่เมื่อถึงเวลาที่ถูกตัดสินในคดีต่างๆ ก็เพียงนายกฯ ที่หลุดจากตำแหน่ง แล้วก็ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นนายกฯ สำรองต่อ
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวในการประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน  วุฒิสภา ที่ถูกเชิญไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองว่า กระบวนการทางการเมืองหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องเชิญรัฐบาลและพรรคการเมืองมาหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ โดยต้องมีเป้าหมายคือการเลือกตั้งที่เรียบร้อยและได้รับการยอมรับ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพรรค แต่อยู่ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างไรในการเลือกตั้งหรือไม่
    นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวสนับสนุนให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เจรจาเพื่อหาทางร่วมกันผ่านการถ่ายทอดสด เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้น และได้เห็นถึงเนื้อหาสาระการเจรจาว่าฝ่ายใดคิดอย่างไร 
นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษก ปชป. กล่าวว่า ขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หยุดผลักภาระให้ กกต.ฝ่ายเดียว รัฐบาลต้องร่วมรับผิดชอบด้วย และหากรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาเลือกตั้งจริง ต้องร่วมเจรจากับคู่ขัดแย้งดังกล่าว ที่สำคัญอย่างโทษ ปชป.ที่บอยคอต เพราะ ปชป.บอยคอตก่อน กกต.ให้ยกเลิกการเลือกตั้ง
        วันเดียวกัน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) กลุ่มประชาชนปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจขององค์กรอำมาตย์ตามรัฐธรรมนูญ (ปปมอ.) นำโดยนายสุดชาย บุญไชย เเกนนำ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 คน และผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน จากกรณีมีมติ 6 ต่อ 3 ให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.เป็นโมฆะ และจะร้องทุกข์ต่อกองปราบปรามในความผิดฐานกบฏต่อเเผ่นดินด้วย
    ยังมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเปิดเผยรายชื่อนายกฯ คนกลาง โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการ นปช. ที่จุดประเด็นดังกล่าวตอกย้ำว่า รายชื่อที่เปิดเผยไปมีกลุ่มของสุเทพและเครือข่ายได้เจรจาทาบทามบ้างแล้ว แม้ไม่มีท่าทีขานรับออกมาทางสาธารณะ ซึ่งการเปิดเผยชื่อไม่มีเจตนาไปรุกล้ำหรือทำลาย สร้างความเป็นปฏิปักษ์ใดๆ ต่อตัวบุคคลเหล่านั้น หากท่านเห็นว่าไม่สบายใจและไม่ได้เกี่ยวข้อง ก็ยินดีที่จะรับฟัง และพร้อมรับผิดชอบ
“มาจากข้อมูลข่าวสารที่ผมได้รับมา หลายรายมีคนเจรจาทาบทามแล้ว บางรายอยู่ในรายชื่อที่คิดอ่านกันอยู่ จึงนำมาเปิดเผยและจัดลำดับว่าใครเป็นตัวเต็ง หรือเป็นตัวสอดแทรก ส่วนนายอภิสิทธิ์ออกมาปฏิเสธนั้น ต้องเข้าใจว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีชื่อ แต่นายอภิสิทธิ์อยู่ในกลุ่มกระเสือกกระสนอยากจะเป็นนายกฯ” นายณัฐวุฒิกล่าวตอบข้อถามว่ารายชื่อที่เผยออกมีพยานหลักฐานและสมมติฐานยืนยันหรือไม่ 
เล็งปูดชื่อ ครม.คนกลาง
       นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ในเดือน เม.ย.นี้ จะมีการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยให้นายกฯ และ ครม.พ้นไปทั้งคณะ และตั้งนายกฯ รวมไปถึงรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ซึ่งในวันที่ 26 มี.ค. จะรวบรวมรายชื่อบุคคลที่สนับสนุน กปปส. รวมทั้งจะเปิดโผกลุ่มคนที่มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีและสมาชิกสภาประชาชนด้วย 
    น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวเรื่องนี้ว่า คงไม่อยู่ในข่ายวิพากษ์วิจารณ์ คงต้องไปถามหลายๆ ท่าน ที่มีความเห็นเรื่องนี้ ซึ่งถ้าจะมีนายกฯ คนกลาง หรืออะไรต่างๆ ก็ควรมีแนวทางบอกให้ประชาชนรู้ว่าการมีนายกฯ คนกลางนั้น จะมาด้วยวิธีไหน และจะทำอย่างไรเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทราบเช่นกัน ดังนั้นไม่ขอพูดในประเด็นนั้น ต้องขอไปถามคนที่พูดดีกว่า ซึ่งมีหลายท่าน หลายวิธีการ 
         “ผู้ที่เสนอก็ต้องมีแนวทางที่จะคิดว่า ทำอย่างไรถ้าประชาชนไม่ยอมรับ จึงได้บอกว่าการจะทำอะไรก็ตามต้องให้มีการยอมรับ และประชาชนคงต้องมีส่วนร่วมตัดสินใจด้วย เพราะอำนาจสิทธิประชาชนหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง มีสิทธิเท่ากัน ควรจะรู้เรื่องของใครที่จะมาเป็นผู้นำ และจะมาเป็นด้วยวิธีการไหน แบบไหน จะอยู่เหนือกติกาของรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนควรจะรับทราบ” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวย้ำ
          นายสุรพงษ์ตั้งข้อสังเกตว่า ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศส่วนหนึ่งที่ออกมาโจมตีรัฐบาลก่อนหน้านี้ เชื่อได้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับอดีต รมว.การต่างประเทศที่เป็นตัวเต็งนายกฯ คนกลาง
นายวราเทพกล่าวว่า ต้องยุติเรื่องที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ส่วนเจตนาการเปิดชื่อนายกฯคนกลางในเวลานี้นั้น ต้องถามนายณัฐวุฒิเอง
    ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน กล่าวว่า ดูรายชื่อแล้วมีความรู้ความสามารถทุกคน บางคนรู้จักและสนิท จึงอยากเรียนด้วยความเคารพ ท่านอย่าหาทุกข์ใส่ตัวเลย ถ้าเข้ามาเป็นนายกฯ คนกลาง จะพบทันทีว่านรกมีจริง เริ่มตั้งแต่ประกาศชื่อ ครอบครัวจะเดือดร้อน โทรศัพท์จะลั่นบ้าน ไปไหนไม่สะดวก อย่าเลย 
หลังให้สัมภาษณ์ ร.ต.อ.เฉลิมได้แจกเอกสารประกอบการให้สัมภาษณ์กรณีนายกฯ มาตรา 7 โดยในเอกสารระบุว่า หากปฏิบัติตามมาคือ ใครจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ และใครจะรับผิดชอบ หากการบริหารประเทศของนายกฯ คนกลางล้มเหลว นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยย้อนยุคไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นายอดิศรมองว่า ไม่เชื่อระบบกฎหมายจะเมตตาฝ่ายเราอยู่แล้ว อนาคตนำไปสู่นายกฯ มาตรา 7 แน่นอน วันนี้เปิดไพ่เล่นกันหมดแล้ว 
ขู่สงครามกลางเมือง
    นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า อยากเตือนไปยังกลุ่มคนหรือองค์กรอิสระต่างๆ ที่พยายามทำให้ให้เกิดนายกฯ คนนอก ตอนนี้ประชาชนอดทนมากแล้ว หากเกิดความวุ่นวาย เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น คนที่พยายามให้มีนายกฯ คนนอกนั้นคือคนสุมไฟ 
“คนบ้านผมก็มีปืนเหมือนกัน เป็นปืนแก๊ป แต่ก็ยิงคนตายได้ เมื่อถึงเวลาไม่มีใครกลัวใคร ที่พูดก็แค่อยากจะเตือนคนที่คิดจะทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง” นายวิสุทธิ์กล่าว
นายจุฤทธิ์กล่าวว่า วันนี้สมควรปลดนายณัฐวุฒิออกจาก รมช.พาณิชย์ เพราะไม่สามารถแบ่งแยกสถานะตนเองได้ เพราะสิ่งที่นายณัฐวุฒิทำคือการขายฝัน 
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งมีรายชื่อเป็นนายกฯ คนกลาง กล่าวว่า ต้องไปถามคนพูด เพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้อยู่ในกระบวนการอะไร คิดว่าถ้าทุกพวกทุกฝ่ายจับคำพูดของแต่ละพวกมาเป็นอารมณ์ มาแสวงหาคำตอบก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งมาขึ้นเรื่อยๆ 
“ไม่ทราบว่าคนพูด พูดด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่เท่าที่สอบถามจากฝ่ายประชาสัมพันธ์กองทัพบกบอกว่าเขาคิดและประเมินสถานการณ์ขึ้นมาเอง สิ่งสำคัญคือจะเตือนสังคมว่าการจะพูดจาอะไรออกไป หากท่านพูดจาที่ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นมาเอง เป็นเรื่องที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล มันก็เหมือนดูถูก เอาเปรียบคนที่ถูกกล่าวถึง เพราะเขาไม่มีโอกาสตอบโต้ การพูดจาที่ไม่มีหลักฐานใช้การประเมินและวิเคราะห์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมทำให้ประชาชนดูหมิ่นเกลียดชังถือว่าไม่เป็นธรรม และถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขา คิดว่าคนพูดต้องไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองให้ได้เสียก่อนทั้งเรื่องคดีความ ปัญหาเรื่องข้าว ปัญหาของชาวนา ในฐานะเป็นอดีตรัฐมนตรี อย่ามาพูดเรื่องอื่นที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ต้องไปถามเขา เขาตั้งตนเองได้ไหม ถ้าตั้งไม่ได้แล้วจะมาถามทำไม  แล้วถามจะไปเป็นนายกฯ ไปด้วยกติกาไหน และกติกาจะเกิดหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่อย่าถามว่าจะทำนั่นทำนี่หรือไม่ ไม่ตอบ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน ไม่ใช่เรื่องของตนเอง
ถามต่อว่า มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม เป็นหนึ่งในแคนดิเดตด้วย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ท่านไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้บอกว่าท่านอยากเป็น หรือใครจะมาบอกให้ท่านเป็น ก็ไม่มี ไม่มีคนพูด ไม่มีคนมาขอร้อง ไม่มีคนมาถาม มีแต่คนพูดกันไปมา ต้องไปหาต้นตอว่าพูดกันมาเพราะอะไร ต้องการหวังผลอะไร และไม่เคยคุยอะไรในเรื่องพวกนี้  พล.อ.ประวิตรก็รำคาญ แต่ถามว่ารักบ้านเมืองหรือไม่ท่านก็รัก เพราะทหารทุกคนรักหมด เพราะถ้าไม่รักบ้านเมืองแสดงว่าไม่ใช่ทหาร 
แนะให้ยึดศาลเป็นที่ตั้ง
"ผมสนิทกับคุณสุเทพเรื่องอะไร เพราะท่านเคยเป็นรัฐบาลจะให้ผมสนิทกับใคร เพราะผมทำงานมากับทุกรัฐบาลไม่เห็นมีปัญหา ส่วนจะถูกหรือผิดจะต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ต้องเชื่อมั่นกระบวนการศาล ถ้าศาลว่าอย่างไรผมก็เอาตามนั้น ผมไม่สามารถตอบโต้กระบวนการยุติธรรมได้ ถ้าบอกว่าผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ผมจะไม่งอแง ต้องยึดถือแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง และเป็นกระบวนการที่ยอมรับในสังคมโลก ถ้าไม่ยอมรับกันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กันด้วยอะไร หรือจะให้รบราฆ่าฟันเหมือนสมัยโบราณ" ผบ.ทบ.ย้อนถามเมื่อถูกซักว่า พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรสนิทสนมกับนายสุเทพ
    ถามอีกว่า มองว่าการตั้งนายกฯ คนกลางจะเป็นทางออกแก้ไขปัญหาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ ตอบไม่ได้ ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีบทเรียนเสียที ต้องแก้ปัญหาประเทศชาติไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ยังกลับไปสู่วังวนอันเก่า จึงต้องกลับมาทบทวนว่าปัญหาเกิดจากอะไร เกิดจากใคร แต่ปัญหาทั้งหมดไม่ได้เริ่มต้นที่ทหาร และทุกครั้งไม่เคยเริ่มต้นที่ทหาร ทหารไม่เคยขัดแย้งกับใคร แต่มีการเริ่มต้นกันมาก่อน และทหารก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทุกครั้งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย 
"ทางออกมีอยู่แล้วไปหากันเอง ผมพูดมา 3 ปีครึ่ง มีคำแนะนำ 100 กว่าอย่าง แต่ไม่เอาสักอย่างก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง หากมีความขัดแย้งประชาชนก็ต้องแก้ปัญหากับประชาชนด้วยกัน ไม่ใช่ทั้งหมดอีนุงตุงนังโยงใยไปหมดใครก็แก้ไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญจนถูกมองว่าเป็นการเปิดช่องให้มีนายกฯ คนกลางว่า ป.ป.ช.มีอิสระในการทำหน้าที่ ตัดสินคดีตรงไปตรงมา ไม่ทำงานไปสอดรับหรืออิงองค์กรใด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา จึงขออย่าให้นำการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ไปผูกโยงการเมือง การตั้งข้อสังเกตต่างๆ น่าจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. มากกว่า
    ส่วนนายสุเทพให้สัมภาษณ์ก่อนนำผู้ชุมนุมเดินขบวนว่า การที่ กกต.เตรียมหารือเพื่อหาทางออกให้ประเทศนั้น กปปส. ยืนยันไม่หารือและไม่เจรจา ยกเว้นเจรจาแบบตัวต่อตัวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และต้องเปิดเผยผ่านทีวีเท่านั้น ส่วนกรณีนายณัฐวุฒิที่เปิดรายชื่อนายกฯ คนกลางนั้นเป็นเพียงจินตนาการของคนเสื้อแดง เพราะ กปปส.ยังไม่เคยหารือหรือทาบทามบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ คนกลาง เนื่องจากต้องขจัดระบอบทักษิณ และนายกฯ ลาออกก่อน ถึงจะหานายกฯ คนกลาง
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนและกรรมการ กปปส. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายณัฐวุฒิมโนแบบไร้ขอบเขต นึกหน้าใครที่พอมีชื่อเสียงและไม่สวามิภักดิ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเป็นขี้ข้าก็จับชื่อใส่มาหมด แต่ในดวงใจของ พ.ต.ท.ทักษิณหากเลือกตั้งสำเร็จ และเกิดกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์โดนถอดถอนนั้น มีการเตรียมคนไว้ขึ้นเป็นนายกฯ แล้ว คือ 1.นายสุรพงษ์ 2.ร.ต.อ.เฉลิม 3.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 4.นายโภคิน พลกุล 5.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ 6.นายบรรหาร ศิลปอาชา 7.นายนพดล ปัทมะ 8.นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ 9.นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ 
สำหรับความเคลื่อนไหวของ กปปส.นั้น ตั้งแต่เวลา 09.30 น. นายสุเทพพร้อมแกนนำได้นำผู้ชุมนุมออกเดินขบวนเชิญชวนคนกรุงเทพฯ ออกมาร่วมชุมนุมใหญ่วันที่ 29 มี.ค. เป็นวันที่ 2 เพื่อปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง แม้อากาศร้อนอบอ้าว แต่บรรยากาศการเดินยังคงคึกคัก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของการ์ดอย่างเข้มงวด
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า เส้นทางเดินเท้าในวันที่ 26 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 3 จะเดินผ่านถนนพระรามที่ 4 สามย่าน ปทุมวัน ราชเทวี ประตูน้ำ หลังสวน และกลับสู่เวทีที่สวนลุมพินี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น